(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)
ความหน้าซื่อใจคดและความชอบโอ้อวดของธรรมาจารย์และชาวฟาริสี
23 1ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า 2“พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส 3ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิดaแต่อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ 4เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้ว 5เขาทำกิจการทุกอย่างเพื่อให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่นb 6เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม 7ชอบให้ผู้คนคำนับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’c
8“ส่วนท่านทั้งหลายdอย่าให้ผู้ใดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผู้เดียวและทุกคนเป็นพี่น้องกัน 9ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’e เพราะว่าพระบิดาของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ 10อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’fเพราะพระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า 11ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น 12ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น
พระเยซูเจ้าทรงประณามบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี
13“วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านปิดประตูอาณาจักรใส่หน้ามนุษย์ ท่านไม่เข้าไปและไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้g (14)h
15“วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อทำให้คนเพียงคนเดียวกลับใจiและเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ทำให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า
16“วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ผู้นำทางที่ตาบอด ท่านกล่าวว่าj ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงทองคำในพระวิหาร ก็ต้องปฏิบัติตามคำสาบาน’ 17คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากัน ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 18ท่านยังกล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็ต้องปฏิบัติตามคำสาบาน’ 19คนตาบอดเอ๋ย สิ่งใดสำคัญยิ่งกว่ากัน เครื่องบูชาหรือพระแท่นที่ทำให้เครื่องบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์ 20เพราะฉะนั้น ผู้ที่สาบานอ้างถึงพระแท่น ก็สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่บนพระแท่นนั้นด้วย 21และผู้ที่สาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้างถึงพระวิหาร รวมทั้งพระผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย 22ผู้ที่สาบานอ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระที่นั่งของพระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย
23“วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่าk แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่องที่สำคัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์ บทบัญญัติเหล่านี้จำเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่น ๆ
24“ผู้นำทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกน้ำ แต่กลับกลืนอูฐทั้งตัว
25“วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก ด้านในมีแต่ความสกปรกคือการข่มขู่แย่งชิง และราคะตัณหาl 26ฟาริสีตาบอดเอ๋ย จงล้างด้านในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย
27“วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเป็นเหมือนหลุมศพทาสีขาว ภายนอกดูงดงามแต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสิ่งสกปรกทุกอย่าง 28ท่านก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคด และความอธรรม
29“วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านสร้างหลุมศพให้บรรดาประกาศก ประดับอนุสาวรีย์ของผู้ชอบธรรม 30ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยบรรพบุรุษ เราคงจะไม่ร่วมมือในการหลั่งเลือดบรรดาประกาศกเหล่านี้’ 31ดังนี้ ท่านก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า เป็นลูกหลานของผู้ที่ได้ฆ่าบรรดาประกาศก 32ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำงานที่บรรพบุรุษของท่านได้เริ่มไว้ให้สำเร็จไปเถิด”m
ความผิดและโทษที่กำลังมาถึง
33“บรรดางูพิษ สัญชาติงูร้ายเอ๋ย ท่านจะหลีกเลี่ยงโทษนรกได้อย่างไรเล่า 34เราส่งประกาศก และผู้ปรีชากับธรรมาจารย์มาพบท่านnท่านจะฆ่าบางคน จะนำบางคนไปตรึงกางเขน จะเฆี่ยนบางคนในศาลาธรรมของท่าน จะเบียดเบียนเขาตามเมืองต่าง ๆ 35เมื่อเป็นดังนี้ โลหิตของผู้ชอบธรรมทุกคนที่หลั่งลงบนแผ่นดินจะตกลงเหนือท่าน นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์oบุตรของบาราคิยาห์ ซึ่งท่านได้ประหารระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชา 36เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแก่คนรุ่นนี้”
คำเตือนต่อกรุงเยรูซาเล็ม
37“เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศกpเอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาพบเจ้า กี่ครั้งกี่หนqแล้วที่เราอยากรวบรวมบุตรของท่านเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่ท่านไม่ต้องการ 38บัดนี้ บ้านของท่านทั้งหลายจะต้องถูกทิ้งร้างr
39“เราบอกท่านว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีก จนถึงเวลาที่ท่านจะกล่าวว่า
ขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า”s
23 a ประชาชนต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบรรดาธรรมาจารย์ ในฐานะที่คำสอนนี้เป็นธรรมประเพณีที่สืบทอดมาจากโมเสส ในที่นี้พระเยซูเจ้ามิได้กล่าวถึงการแปลความหมายตามใจของพวกธรรมาจารย์ พระองค์ตรัสถึงเรื่องการแปลความหมายนี้แล้วในที่อื่น (ดู 15:1-20; 16:6; 19:3-9)
b “กลักบรรจุพระวาจา” เป็นกลักเล็ก ๆ บรรจุพระวาจาสำคัญที่สุดในธรรมบัญญัติ ชาวยิวผูกกลักนี้ไว้ที่แขนหรือที่หน้าผาก เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งใน อพย 13:9,16; ฉธบ 6:8; 11:18 อย่างเคร่งครัด ชาวยิวติดพู่ไว้ที่มุมทั้งสี่ของผ้าคลุมกาย (ดู กดว 15:38 เชิงอรรถ c)
c “รับบี” เป็นคำภาษาอาราเมอิก แปลว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า” เป็นตำแหน่งที่ชาวยิวใช้เรียกอาจารย์ ศิษย์ของพระเยซูเจ้าก็เคยเรียกพระองค์เช่นนี้ด้วย (26:25,49)
d ข้อ 8-12 พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์เท่านั้น แต่เดิมอาจไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำปราศรัยกับประชาชนตอนนี้
e “บิดา” หรือ “Abba” ในภาษาอาราเมอิก เป็นคำเรียกให้เกียรติอีกคำหนึ่ง ใช้กับสมาชิกสภาสูงโดยเฉพาะ
f “อาจารย์” คำภาษากรีกยังมีความหมายว่า “ผู้นำ” หรือ “หัวหน้า” ด้วย พระเยซูเจ้าอาจทรงกล่าวพาดพิงถึงผู้นำทางศาสนาในกลุ่มชนกุมรานที่ได้ชื่อว่า “อาจารย์แห่งความชอบธรรม”
g ข้อเรียกร้องของบรรดาธรรมาจารย์ในการปฏิบัติตามบทบัญญัติละเอียดลออมากจนปฏิบัติตามเกือบไม่ได้
h สำเนาโบราณบางฉบับเพิ่มข้อ 14 ว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านกินบ้านของหญิงม่าย อธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง ท่านจะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น” ซึ่งเป็นข้อความที่คัดมาจาก มก 12:40; ลก 20:47 ผู้คัดลอกนำมาแทรกไว้ตรงนี้เพื่อให้คำประณามมีจำนวนแปดประการ แต่ มธ ต้องการให้มีเพียงเจ็ดประการเท่านั้น (ดู 6:9 เชิงอรรถ d)
i ชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้าพยายามทุกวิถีทางชักชวนให้คนต่างศาสนากลับใจมานับถือศาสนายิว
jพวกรับบีพยายามช่วยประชาชนที่สาบานโดยไม่ยั้งคิดให้พ้นจากข้อผูกพันของคำสาบานโดยใช้เหตุผลยอกย้อนเพื่อแก้ตัว
k ธรรมบัญญัติของโมเสสเรียกเก็บภาษีหนึ่งในสิบของผลิตผลทางการเกษตร เช่น ข้าว น้ำมันมะกอก เหล้าองุ่น พวกธรรมาจารย์ประยุกต์ใช้บทบัญญัตินี้แม้กับพืชผักเล็กน้อยที่มีในสวนครัวด้วยเพื่อแสดงว่าตนมีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างมาก
l “ราคะตัณหา” สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ความอธรรม” “ความโสมม” “ความโลภ”
m พระเยซูเจ้าทรงกล่าวเป็นนัยถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่กำลังจะมาถึง (เทียบ 21:38ฯ)
n “ธรรมาจารย์” ในที่นี้ หมายถึงธรรมทูตคริสตชน ไม่ใช่ธรรมาจารย์ของชาวยิว (เทียบ 10:41; 13:52)
o เศคาริยาห์ที่กล่าวถึงในที่นี้อาจเป็นคนเดียวกับที่กล่าวถึงใน 2 พศด 24:20-22 เขาเป็นคนสุดท้ายที่พระคัมภีร์กล่าวว่าถูกฆ่า (2 พศด เป็นหนังสือฉบับสุดท้ายในสารบบพระคัมภีร์ของชาวยิว) ส่วนอาแบลเป็นคนแรกที่พระคัมภีร์เล่าว่าถูกฆ่า (ปฐก 4:8) วลีว่า “บุตรของบาราคิยาห์” อาจมาจากชื่อของประกาศกเศคาริยาห์ “บุตรของเบเรคิยาห์” (ดู ศคย 1:1) บางคนคิดว่าวลีนี้เป็นคำที่ผู้คัดลอกได้ต่อเติมไว้
p เรื่องประกาศกถูกฆ่า ดู 1 พกษ 19:10,14; 2 พศด 24:20-22; ยรม 26:20-23; กจ 7:52; 1 ธส 2:15; ฮบ 11:37 และตำนานอื่น ๆ นอกสารบบพระคัมภีร์ของชาวยิว
q พระเยซูเจ้าคงได้เสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็มหลายครั้ง (ดู ยน) แต่พระวรสารสหทรรศน์ไม่ได้กล่าวถึง
r ในไม่ช้าพระเยซูเจ้าจะไม่อยู่กับชาวยิวอีกต่อไป ประชาชนไม่ยอมรับพระองค์ พระเจ้าจะทรงละทิ้งกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารเช่นกัน
s ใน ลก 13:35 ดูเหมือนว่าพระเยซูเจ้าทรงหมายความว่า ชาวยิวจะไม่เห็นพระองค์อีกจนกว่าพระองค์จะเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ใบลาน (ลก 19:28ฯ) แต่ในบริบทของ มธ พระวาจานี้น่าจะหมายถึงการเสด็จกลับมาอย่างทรงชัยในวันสิ้นพิภพ เวลานั้นชาวยิวที่คืนดีกับพระเจ้าแล้วจะโห่ร้องรับเสด็จพระองค์ (เทียบ รม 11:25ฯ)