“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

หนังสือดาเนียล

  1. บทที่ 1
  2. บทที่ 2
  3. บทที่ 3
  4. บทที่ 4
  5. บทที่ 5
  6. บทที่ 6
  7. บทที่ 7
  8. บทที่ 8
  9. บทที่ 9
  10. บทที่ 10
  11. บทที่ 11
  12. บทที่ 12
  13. บทที่ 13
  14. บทที่ 14

บทนำ: ชายหนุ่มชาวฮีบรูในราชสำนักของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

 

1 1ปีที่สามในรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงยกทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม 2องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ รวมทั้งเครื่องใช้ส่วนหนึ่งของพระวิหารของพระเจ้าไว้ในมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ทรงนำสิ่งของเหล่านี้มายังแผ่นดินชินาร์a และทรงเก็บไว้ในห้องคลังวิหารของเทพเจ้าของพระองค์

3กษัตริย์ทรงบัญชาอัชเปนัส หัวหน้ามหาดเล็ก ให้นำชาวอิสราเอลบางคนที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือมาจากตระกูลขุนนาง 4เป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายสมบูรณ์ รูปร่างงาม เฉลียวฉลาด มีปรีชา เรียนรู้วิชาการต่างๆ ได้รวดเร็ว และรอบคอบในการตัดสินb ให้มาอยู่ในราชสำนัก เพื่อเรียนเขียนและพูดภาษาของชาวเคลเดีย 5กษัตริย์ทรงกำหนดให้เขาได้รับส่วนอาหารและเหล้าองุ่นจากโต๊ะเสวยของพระองค์ทุกวัน เขาจะต้องรับการศึกษาเป็นเวลาสามปี เมื่อครบกำหนดแล้ว จะได้เข้ารับราชการ 6ในบรรดาชายหนุ่มเหล่านี้มีชาวยูดาห์ คือดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 7แต่หัวหน้ามหาดเล็กตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลได้ชื่อว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์ได้ชื่อว่าชัดรัค มิชาเอลได้ชื่อว่าเมชาค และอาซาริยาห์ได้ชื่อว่าอาเบดเนโกc

8ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำตนเป็นมลทิน โดยกินอาหารหรือดื่มเหล้าองุ่นจากโต๊ะเสวยของกษัตริย์ เขาจึงขอหัวหน้ามหาดเล็กอย่าได้บังคับตนให้เป็นมลทินd 9พระเจ้าทรงบันดาลให้หัวหน้ามหาดเล็กพอใจและเห็นชอบกับดาเนียล 10แต่หัวหน้ามหาดเล็กก็ทักท้วงดาเนียลว่า “ข้าพเจ้าเกรงกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของท่าน ถ้าพระองค์ทรงเห็นว่าท่านทั้งสี่คนมีใบหน้าซีดกว่าใบหน้าชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่มีอายุเท่ากัน ท่านก็จะทำให้ข้าพเจ้าต้องเสี่ยงชีวิตถูกกษัตริย์ลงโทษ” 11ดาเนียลจึงบอกผู้ที่หัวหน้ามหาดเล็กกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ว่า 12“จงทดลองผู้รับใช้ของท่านเป็นเวลาสิบวัน ท่านจงให้พวกเรากินแต่ผักและดื่มน้ำเปล่า 13แล้วท่านจงเปรียบเทียบใบหน้าของพวกเรากับใบหน้าของบรรดาชายหนุ่มที่กินเครื่องเสวยของกษัตริย์ และจงทำกับผู้รับใช้ของท่านตามที่ท่านเห็นควรเถิด” 14เขาก็ยอมทำตามข้อเสนอนี้และทดลองเป็นเวลาสิบวัน 15เมื่อครบสิบวันแล้วก็ปรากฏว่าใบหน้าของชายหนุ่มเหล่านี้ดีกว่า เปล่งปลั่งกว่าใบหน้าของชายหนุ่มอื่นๆ ที่กินเครื่องเสวยของกษัตริย์ 16ตั้งแต่นั้นมา ผู้ดูแลก็สั่งให้งดนำเครื่องเสวยและเหล้าองุ่นที่เขาทั้งสี่คนควรจะได้รับนั้น นำแต่ผักมาให้เขากิน 17พระเจ้าประทานความรู้ ความเชี่ยวชาญในการอ่านเขียนและปรีชาญาณแก่ชายหนุ่มทั้งสี่คน และทรงบันดาลให้ดาเนียลอธิบายความหมายของนิมิตและความฝันได้อีกด้วย

18เมื่อครบกำหนดที่กษัตริย์ทรงบัญชาให้นำชายหนุ่มทุกคนเข้าเฝ้า หัวหน้ามหาดเล็กนำเขาเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ 19กษัตริย์ทรงสนทนากับเขาทุกคน และทรงเห็นว่าไม่มีใครเฉลียวฉลาดเหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ เขาทั้งสี่คนจึงได้เข้ารับราชการ 20เมื่อกษัตริย์ตรัสถามเรื่องราวที่ต้องใช้ปรีชาญาณและความรอบรู้ พระองค์ก็ทรงพบว่าคำตอบของชายหนุ่มเหล่านี้ดีกว่าคำตอบของบรรดาโหราจารย์และผู้วิเศษ ซึ่งอยู่ทั่วอาณาจักรของพระองค์ถึงสิบเท่า 21ดาเนียลรับราชการตลอดมาจนถึงปีที่หนึ่งในรัชกาลของกษัตริย์ไซรัส

 

1 a “แผ่นดินชินาร์” ต้นฉบับภาษากรีกว่า “แผ่นดินบาบิโลน” (ดู ยชว 7:21)

b “รอบคอบในการตัดสิน” หนุ่มเหล่านี้จะได้รับการอบรมมิใช่เพื่อเป็นเพียงมหาดเล็กรับใช้ในราชสำนักเท่านั้น แต่ยังจะต้องเป็นที่ปรึกษาราชการของกษัตริย์อีกด้วย จึงต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องวรรณกรรมเพื่อทำหน้าที่อาลักษณ์ ผู้แปลเอกสารเก็บรวบรวมหนังสือราชการ เป็นนักปราชญ์และโหราจารย์ ฯลฯ และต้องรับการศึกษาอบรมตั้งแต่เยาว์วัย

c “อาเบดเนโก” อาจเป็นการจงใจเขียนชื่อ “อาเบดนาบู” (= ผู้รับใช้ของเทพเจ้า “นาบู” ของชาวเคลเดีย) ให้เพี้ยนไปเพื่อหลีกเลี่ยงนามของเทพเจ้า เช่นเดียวกับชื่อ “อิชโบเชท” และ “เมฟิโบเชท” (2 ซมอ 2:8; 4:4) เป็นการจงใจเปลี่ยนจากชื่อ “อิชบาอัล” และ “เมริบาอัล” เพื่อหลีกเลี่ยงนามของเทพเจ้า “บาอัล”

d ในสมัยที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงบังคับชาวยิวให้รับขนบธรรมเนียมของชาวกรีก การกินอาหารที่ธรรมบัญญัติห้ามนับว่าเป็นการละทิ้งศาสนายิว (ดู 2 มคบ 6:18–7:42)

พระสุบินของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

รูปปั้นทำด้วยวัตถุหลายชนิด

 

กษัตริย์ตรัสถามบรรดาโหราจารย์

2 1ปีที่สองในรัชกาลของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ทรงพระสุบินa ซึ่งทำให้ทรงวุ่นวายพระทัยมากจนบรรทมไม่หลับ 2จึงทรงบัญชาให้เรียกบรรดาโหราจารย์ ผู้วิเศษ มายากร และชาวเคลเดียbเข้ามาอธิบายความหมายของพระสุบิน เขาทั้งหลายก็เข้ามาเฝ้ากษัตริย์ 3พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เราฝันไป และจิตใจของเราก็วุ่นวาย อยากรู้ว่าความฝันนั้นหมายถึงอะไร” 4ชาวเคลเดียก็ทูลตอบกษัตริย์เป็นภาษาอาราเมอิกว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงพระเจริญตลอดไปcเถิด โปรดทรงเล่าพระสุบินให้ผู้รับใช้ของพระองค์ฟังเถิด แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำนายพระสุบินให้พระองค์” 5กษัตริย์ทรงตอบชาวเคลเดียว่า “เราออกข้อกำหนดเช่นนี้ว่า ถ้าท่านไม่เล่าความฝันให้เรารู้และไม่ทำนายฝันให้ ท่านจะถูกตัดเป็นชิ้นๆ และบ้านของท่านจะถูกทำลายให้เป็นกองขยะ 6แต่ถ้าท่านเล่าความฝันและทำนายฝันให้เรา ท่านจะได้รับของขวัญ รางวัล และเกียรติยศยิ่งใหญ่ จงเล่าความฝันและทำนายฝันให้เราเถิด” 7เขาเหล่านั้นทูลตอบอีกครั้งหนึ่งว่า “ขอพระราชาทรงเล่าพระสุบินให้ผู้รับใช้ของพระองค์ฟังเถิด และข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำนายพระสุบินให้” 8กษัตริย์ทรงตอบว่า “เรารู้ดีว่าท่านพยายามจะถ่วงเวลาไว้ เพราะท่านเข้าใจการตัดสินใจของเราแล้ว 9ถ้าท่านไม่เล่าว่าเราฝันอะไร ชะตากรรมของท่านก็มีอย่างเดียว ท่านตกลงกันพูดเท็จและหลอกลวงเรา รอให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น จงบอกว่าเราฝันอะไร แล้วเราจะรู้ว่าท่านทำนายฝันให้เราได้” 10ชาวเคลเดียจึงทูลตอบกษัตริย์ว่า “ไม่มีผู้ใดในโลกจะตอบสนองตามที่ทรงเรียกร้องได้ ไม่มีกษัตริย์ยิ่งใหญ่และทรงอานุภาพพระองค์ใดจะทรงถามเรื่องเช่นนี้จากโหราจารย์ ผู้วิเศษ หรือชาวเคลเดีย 11สิ่งที่พระราชาทรงเรียกร้องนั้นยากและไม่มีผู้ใดจะตอบได้นอกจากเทพเจ้าซึ่งไม่อยู่กับมนุษย์” 12กษัตริย์กริ้วอย่างมาก รับสั่งให้ประหารชีวิตผู้มีปรีชาทุกคนของกรุงบาบิโลน 13มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้บรรดาผู้มีปรีชาถูกประหารชีวิต ดาเนียลกับเพื่อนๆ ก็ถูกตามหาเพื่อถูกประหารชีวิตด้วย

ดาเนียลเสนอตนทำนายพระสุบิน

            14ดาเนียลกล่าวถ้อยคำรอบคอบและชาญฉลาดกับอารีโอคหัวหน้าราชองครักษ์ ซึ่งกำลังจะไปประหารชีวิตบรรดาผู้มีปรีชาของกรุงบาบิโลน 15เขาถามอารีโอคข้าราชการผู้ใหญ่ของกษัตริย์ว่า “ทำไมกษัตริย์จึงทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงเช่นนี้” อารีโอคก็ชี้แจงเหตุผลให้ดาเนียลรู้ 16ดาเนียลจึงเข้าเฝ้าและทูลขอเวลาเพื่อจะทำนายพระสุบิน 17แล้วดาเนียลก็กลับบ้าน เล่าเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์เพื่อนของตนฟัง 18เขาทั้งหลายจึงวอนขอพระกรุณาจากพระเจ้าแห่งสวรรค์dให้ทรงเปิดเผยความลับeนี้ ดาเนียล เพื่อนๆ และบรรดาผู้มีปรีชาของกรุงบาบิโลนจะไม่ต้องถูกประหารชีวิต 19พระเจ้าทรงเปิดเผยความลับแก่ดาเนียลในนิมิตเวลากลางคืน ดาเนียลจึงถวายพระพรfแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์ว่า

20“ขอถวายพระพรแด่พระนามพระเจ้าตลอดไป

                    เพราะพระองค์ทรงพระปรีชาญาณและพระอานุภาพ

          21พระองค์ทรงสับเปลี่ยนเวลาและฤดูกาล

                    พระองค์ทรงถอดกษัตริย์จากตำแหน่งและทรงแต่งตั้ง

          พระองค์ประทานปรีชาญาณแก่ผู้มีปรีชา

                    ประทานความรู้แก่ผู้มีปัญญา

          22พระองค์ทรงเปิดเผยสิ่งลึกลับและซ่อนเร้น

                    ทรงทราบสิ่งที่อยู่ในความมืด

          และความสว่างอยู่กับพระองค์g

          23ข้าแต่พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้า

                    ข้าพเจ้าขอสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์

          เพราะพระองค์ประทานปรีชาญาณและพละกำลังแก่ข้าพเจ้า

                    ทรงเปิดเผยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ความลับที่ข้าพเจ้าทั้งหลายทูลถาม

          และทรงแจ้งให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้คำถามของกษัตริย์”

          24แล้วดาเนียลก็เข้าไปหาอารีโอค ซึ่งกษัตริย์ทรงมอบหน้าที่ให้ประหารชีวิตบรรดาผู้มีปรีชาของกรุงบาบิโลน เขาเข้าไปพูดว่า “อย่าฆ่าบรรดาผู้มีปรีชาของกรุงบาบิโลนเลย แต่จงนำข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้ากษัตริย์เถิด ข้าพเจ้าจะทำนายพระสุบินให้ทรงทราบ” 25อารีโอคจึงรีบนำดาเนียลเข้าเฝ้ากษัตริย์ กราบทูลว่า “ข้าพเจ้าพบชายคนหนึ่งในหมู่ผู้ที่ถูกจับเป็นเชลยมาจากแคว้นยูดาห์ เขาจะทำนายพระสุบินให้ทรงทราบ” 26กษัตริย์จึงตรัสถามดาเนียล ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเบลเทชัสซาร์ดังนี้ “ท่านจะเล่าว่า เราได้ฝันเห็นอะไร และทำนายฝันให้เราได้ไหม” 27ดาเนียลทูลตอบว่า “ความลับที่พระราชาทรงถามให้อธิบายนั้นไม่มีผู้มีปรีชา ผู้วิเศษ โหราจารย์ หรือหมอดูจะอธิบายได้ 28แต่มีพระเจ้าบนสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยความลับทั้งหลายได้ พระองค์ทรงแจ้งให้พระราชาเนบูคัดเนสซาร์ทรงทราบสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวาระสุดท้าย นี่คือสิ่งที่ทรงเห็นในพระสุบิน ขณะที่บรรทมหลับบนพระแท่น”h

          29“ข้าแต่พระราชา เมื่อพระองค์บรรทมบนพระแท่น ก็ทรงคิดถึงเรื่องในอนาคต และพระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความลับ มีพระประสงค์จะแจ้งให้พระราชาทรงทราบสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 30พระเจ้าทรงเปิดเผยความลับนี้แก่ข้าพเจ้า มิใช่เพราะข้าพเจ้ามีปรีชาเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย แต่เพื่อข้าพเจ้าจะได้ทำนายพระสุบิน และพระองค์จะทรงทราบความคิดที่รบกวนพระทัย”

          31“ข้าแต่พระราชา ในนิมิตพระองค์ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่มากตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์ รูปนั้นส่องแสงแรงกล้าดูน่ากลัว 32เศียรของรูปทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ อกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและโคนขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 33ขาทำด้วยเหล็ก ส่วนเท้าทำด้วยเหล็กปนดินเผา 34ขณะที่กำลังทอดพระเนตรอยู่นั้น หินก้อนหนึ่งหลุดจากภูเขา มิใช่ด้วยมือของมนุษย์i มาปะทะรูปปั้นนั้นที่เท้าซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเผา ทำให้เท้านั้นแตกเป็นชิ้นๆ 35แล้วทั้งเหล็กปนกับดินเผา ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ต่างก็แหลกละเอียดเหมือนแกลบบนลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดมันไป ไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย ส่วนหินก้อนที่ปะทะรูปนั้นก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ ขยายไปทั่วแผ่นดิน 36นี่คือพระสุบิน บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำนายพระสุบินให้พระราชาทรงทราบ”

          37“ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งสวรรค์ประทานราชอาณาจักร อานุภาพ พลังและพระเกียรติยศjแด่พระองค์ 38และทรงมอบมนุษย์ สัตว์ในทุ่งนาและนกในอากาศ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา ให้ทรงปกครองทุกสิ่ง พระองค์คือเศียรทำด้วยทองคำ 39ต่อจากพระองค์จะมีอีกราชอาณาจักรหนึ่ง ด้อยกว่าราชอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมาแทน แล้วจะมีราชอาณาจักรที่สามทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วแผ่นดิน 40ต่อจากนั้นจะมีราชอาณาจักรที่สี่ซึ่งแข็งเหมือนเหล็ก เหล็กทุบทุกสิ่งให้แตกเป็นชิ้นๆ ฉันใด ราชอาณาจักรนั้นก็จะทำลายอาณาจักรอื่นๆ ให้แหลกฉันนั้น 41ดังที่พระองค์ทรงเห็น เท้าและนิ้วเท้าkของรูปนั้นเป็นดินเผาปนเหล็ก หมายความว่าราชอาณาจักรนั้นจะไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จะมีความแข็งของเหล็กอยู่บ้าง เพราะมีเหล็กปนกับดินเผา ดังที่ทรงเห็น 42นิ้วเท้าเป็นเหล็กปนดินเผาฉันใด ราชอาณาจักรนั้นก็จะแข็งบ้าง เปราะบางบ้างฉันนั้น 43ที่พระองค์ทรงเห็นเหล็กปนดินเผา หมายความว่ากษัตริย์จะมีความสัมพันธ์กันด้วยการสมรสl แต่จะไม่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกับเหล็กที่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับดินเผา 44ในรัชสมัยของกษัตริย์เหล่านี้ พระเจ้าแห่งสวรรค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรหนึ่งขึ้น ซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลาย และจะไม่ตกไปอยู่ในมือของชนชาติอื่น ราชอาณาจักรนี้จะทำลายราชอาณาจักรอื่นๆ ทั้งหมดให้แหลกละเอียดจนสิ้นเชิง และจะคงอยู่ตลอดไป 45นี่คือความหมายของหินที่พระองค์ทรงเห็นหลุดออกมาจากภูเขามิใช่ด้วยมือมนุษย์ ซึ่งทำให้เหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเผา เงิน และทองคำแตกเป็นชิ้นๆ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงเปิดเผยให้พระราชาทรงทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระสุบินนี้เป็นความจริง และคำทำนายพระสุบินก็เชื่อถือได้”

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงยืนยันความเชื่อถึงพระเจ้า

          46กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงกราบลงพระพักตร์จรดพื้น คารวะดาเนียล และรับสั่งให้นำเครื่องบูชาและเครื่องหอมมาให้ดาเนียล 47กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “แน่ทีเดียว พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของเทพเจ้าทั้งหลาย และทรงเป็นเจ้านายของกษัตริย์ทั้งปวง ทรงเป็นผู้เปิดเผยธรรมล้ำลึก เพราะท่านเปิดเผยธรรมล้ำลึกนี้ได้” 48แล้วกษัตริย์ประทานเกียรติยศแก่ดาเนียล และประทานของกำนัลมีค่าจำนวนมากแก่เขาด้วย ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองแคว้นบาบิโลนทั้งหมด และเป็นหัวหน้าของบรรดาผู้มีปรีชาแห่งกรุงบาบิโลน 49ดาเนียลทูลขอกษัตริย์ให้ทรงแต่งตั้งชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกเป็นผู้ปกครองแคว้นบาบิโลน ดาเนียลเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์อยู่ในราชสำนักต่อไป

2 a “ทรงพระสุบิน” พระเจ้าทรงใช้ความฝันเพื่อทรงสื่อสารกับมนุษย์ (ดูบทที่ 4 และ 7) เทียบ ความฝันของอับราฮัม (ปฐก 15:12) ของอาบีเมเลค (ปฐก 20:3) ของยาโคบ (ปฐก 28:10-22; ดู ปฐก 37:5 เชิงอรรถ d; มธ 1:20 เชิงอรรถ h)

b “ชาวเคลเดีย” ในที่นี้หมายถึงผู้ทำนายอนาคต ซึ่งเป็นศาสตร์ที่คิดว่าเริ่มขึ้นในแคว้นเคลเดีย (หรือ “เมโสโปเตเมีย”) ชื่อต่างๆ ที่หมายถึงผู้ทำนายอนาคตได้ (โหราจารย์ ผู้วิเศษ หมอดู ฯลฯ) ใน ดนล 2:2,10,27; 4:4; 5:7,11,15 ไม่มีความหมายเจาะจงโดยเฉพาะที่แตกต่างกัน

c จากตรงนี้ตัวบทต้นฉบับเปลี่ยนจากภาษาฮีบรูมาเป็นภาษาอาราเมอิก จนจบบทที่ 7 “ขอทรงพระเจริญตลอดไป” เป็นคำถวายพระพรแด่กษัตริย์ที่พบได้ในเอกสารโบราณภาษาอัคคาเดีย และนิยมใช้กันในราชสำนักของชาวเปอร์เซียจนถึงสมัยที่ชาวมุสลิมเข้ามาปกครองดินแดนแถบนี้

d “พระเจ้าแห่งสวรรค์” เป็นสำนวนที่ชาวยิวใช้เมื่อพูดถึงพระเจ้าของตนกับชนต่างชาติ (2:37,44; อสร 5:11; 6:9,10; นหม 1:4; 2:4,20; ทบต 7:12; ยดธ 5:8) ในทำนองเดียวกัน ยังมีสำนวน “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์” (ดนล 5:23; ทบต 7:11) “กษัตริย์แห่งสวรรค์” (ดนล 4:37) “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่” (ดนล 2:44; อศร 5:8)

e “ความลับ” มาจากคำภาษาเปอร์เซียว่า “raz” เราไม่พบคำนี้ในพระคัมภีร์ฉบับอื่นนอกจากใน ดนล แต่ยังพบได้ในเอกสารที่ “กุมราน” (Qumran) คำนี้นอกจากจะหมายถึง “ความลับ” โดยทั่วไปแล้ว ยังหมายถึง “ธรรมล้ำลึก” ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้มนุษย์ทราบด้วย คล้ายกับคำภาษากรีกว่า “mysterion” ที่นักบุญเปาโลจะใช้บ่อยๆ (ดู รม 16:25 เชิงอรรถ l)

f คำถวายพระพรแด่พระเจ้าของชาวยิวมีกฎเกณท์โครงสร้างดังนี้ (1) เริ่มต้นด้วยการเรียกขานพระเจ้าหรือพระนามพระองค์ ตามด้วย (2) การกล่าวถึงพระพรต่างๆ ที่ได้รับจากพระองค์ เมื่อใช้ในพิธีกรรม คำถวายพระพรจะจบโดยซ้ำข้อความแรกที่เรียกขานพระเจ้าและกล่าวสรุปโดยย่ออีกครั้งหนึ่งถึงพระพรต่างๆ ที่ได้รับ

g “ความสว่างอยู่กับพระองค์” พันธสัญญาเดิมมักจะกล่าวเสมอว่าพระเจ้าทรงมีแสงสว่างห้อมล้อมอยู่เสมอ (อพย 24:17; อสค 1:27; ฮบก 3:4) หรือกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง” (ปชญ 7:26; อสย 60:19-20) พันธสัญญาใหม่แสดงความคิดนี้อย่างชัดเจนมากกว่าอีก (ดู 1 ทธ 6:16; ยก 1:17; 1 ยน 1:5-7; แต่เทียบ ยน 8:12 เชิงอรรถ b) ชาวยิวผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์บางคนในสมัยแรกๆ เคยอ้างข้อความในข้อนี้เพื่อพิสูจน์ว่าพระเมสสิยาห์จะทรงได้รับสมญานามว่า “ความสว่าง”

h พระสุบินของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์นี้เป็นอุปมานิทัศน์เรื่องแรกใน ดนล อุปมานิทัศน์ต่างๆ ในหนังสือนี้เป็นการเล่าอย่างเป็นปริศนาถึงอาณาจักรยิ่งใหญ่ต่างๆ ซึ่งจะขึ้นมามีอำนาจตามลำดับในประวัติศาสตร์ คืออาณาจักรบาบิโลนใหม่ อาณาจักรมีเดีย อาณาจักรเปอร์เซีย และอาณาจักรกรีก (ของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช และอาณาจักรในอาเซียน้อยซึ่งบรรดาแม่ทัพของพระองค์จะปกครองในเวลาต่อมา) อุปมานิทัศน์นี้ได้รับความคิดมาจากความเชื่อถือของคนโบราณเกี่ยวกับยุคต่างๆ ของโลก โดยใช้โลหะชนิดต่างๆ ที่มีค่าลดหลั่นลงมาเป็นสัญลักษณ์ อาณาจักรสุดท้ายที่จะมาถึงคืออาณาจักรของพระเมสสิยาห์ อาณาจักรต่างๆ ของแผ่นดินจะล่มสลาย และพระเจ้าจะทรงสถาปนาพระอาณาจักรใหม่ซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป อาณาจักรนี้คือ “อาณาจักรสวรรค์” (ดู มธ 4:17 เชิงอรรถ f) (คำอธิบายต่อไปดูเหมือนจะอธิบายเรื่องราวใน ดนล 7 มากกว่า เราจะใส่ข้อความนี้ไว้ที่นั่น)

i “มิใช่ด้วยมือมนุษย์” แปลตามตัวอักษรว่า “มิใช่ด้วยมือ” (เทียบ อสย 31:8)

j อำนาจของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มาจากพระเจ้า มิใช่เพราะพระองค์ทรงมีพระธรรมชาติพระเจ้าดังที่ทรงอ้าง (ดู ดนล 3; ยดธ 3:8; 6:2; 11:7)

k “เท้าและนิ้วเท้า” แปลตามตัวอักษรว่า “เท้าและนิ้ว(เท้า)” เทียบกับข้อ 42 ซึ่งตัวบทว่า “นิ้วของเท้า” ผู้แปลบางคนจึงแปลเพียงว่า “เท้า” ทั้งสองแห่ง

l “มีความสัมพันธ์กันด้วยการสมรส” คงจะหมายถึงการสมรสหลายครั้งระหว่างราชวงศ์เซเลวซิดของซีเรียกับราชวงศ์โทเลมีของอียิปต์ ซึ่งไม่อาจทำให้ราชวงศ์ทั้งสองรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้จริงๆ แต่จะมีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอยู่เสมอ

การบังคับให้กราบไหว้รูปปั้นทองคำ

 

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงตั้งรูปปั้นทองคำ

3 1กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์aมีรับสั่งให้สร้างรูปปั้นทองคำ สูงสามสิบเมตร กว้างสามเมตร ตั้งไว้บนที่ราบดูราในแคว้นบาบิโลน 2แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเรียกประชุมบรรดาผู้ว่าราชการภาค ผู้ว่าราชการแคว้น ผู้ว่าราชการเมือง มนตรีที่ปรึกษา เสนาบดีการคลัง ผู้พิพากษา ผู้ปกครองและบรรดาเจ้าหน้าที่อื่นๆ ของแคว้นต่างๆ ให้มาร่วมงานฉลองพิธีเปิดรูปปั้นที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มีรับสั่งให้ตั้งขึ้น 3บรรดาผู้ว่าราชการภาค ผู้ว่าราชการแคว้น ผู้ว่าราชการเมือง มนตรีที่ปรึกษา เสนาบดีการคลัง ผู้พิพากษา ผู้ปกครองและบรรดาเจ้าหน้าที่อื่นๆ ของแคว้นต่างๆ ก็มาร่วมงานเปิดรูปปั้นที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มีรับสั่งให้ตั้งขึ้น เขาทั้งหลายมายืนอยู่หน้ารูปปั้นนั้น 4ผู้ประกาศประกาศเสียงดังว่า “ประชาชนที่มีเชื้อชาติและพูดภาษาต่างๆ จงฟังเถิด 5เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีอื่นๆb ท่านทั้งหลายจงกราบนมัสการรูปปั้นทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มีรับสั่งให้ตั้งไว้ 6ผู้ใดไม่ยอมกราบนมัสการรูปนั้น จะต้องถูกโยนลงไปในเตาที่มีไฟลุกโพลงทันที” 7ดังนั้น เมื่อได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีอื่นๆ ประชาชนที่มีเชื้อชาติและพูดภาษาต่างๆ ก็กราบนมัสการรูปปั้นทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มีรับสั่งให้ตั้งไว้

เพื่อนทั้งสามคนของดาเนียลถูกกล่าวหาและถูกลงโทษ

            8เวลานั้น ชาวเคลเดียบางคนเข้ามาฟ้องกล่าวหาชาวยิว 9ทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงพระเจริญตลอดไปเถิด 10ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกาว่าผู้ใดได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ต้องกราบนมัสการรูปปั้นทองคำ 11ผู้ใดไม่กราบนมัสการจะต้องถูกโยนลงไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง 12บัดนี้ ข้าแต่พระราชา ชาวยิวบางคนที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้ปกครองแคว้นบาบิโลน คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขาไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ ไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งไว้” 13กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก มีรับสั่งให้นำตัวชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกเข้ามา คนเหล่านี้ก็เข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ 14กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความจริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่เราตั้งไว้ 15บัดนี้ เมื่อท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุงและเครื่องดนตรีทุกชนิด จงเตรียมพร้อมที่จะกราบนมัสการรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น ถ้าท่านไม่ยอมทำเช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง แล้วพระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้”

          16ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ 17ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระหัตถ์พระองค์ได้ ข้าแต่พระราชา 18แม้พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงช่วย ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น”

          19กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนเป็นดุดันต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า 20และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง 21เขาทั้งสามคนก็ถูกมัดไว้ทั้งที่ยังสวมเสื้อคลุม กางเกง หมวกและเครื่องแต่งกายอื่นๆ และถูกโยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง 22ทหารปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์อย่างเคร่งครัด ไฟในเตาจึงร้อนจัด เปลวไฟก็เผาคนเหล่านั้นที่โยนชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกลงในเตาไฟ 23ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ทั้งสามคนนี้ตกลงไปในเตาที่มีไฟลุกโพลงทั้งๆ ที่ถูกมัด

บทเพลงของอาซาริยาห์ในเตาไฟc

            24เขาทั้งสามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้าและถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 25อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้

            26ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย

                        ขอถวายพระพรแด่พระองค์

            พระองค์ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ

                        และพระนามพระองค์ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ตลอดไป

            27พระองค์ทรงเที่ยงธรรมในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ

                        พระราชกิจทั้งมวลของพระองค์เป็นความจริง

            วิถีทางของพระองค์ถูกต้องทุกประการ

                        พระองค์ทรงตัดสินอย่างเที่ยงธรรม

            28พระวินิจฉัยที่ทรงกระทำต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย

                        และต่อกรุงเยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษก็เที่ยงธรรม

            พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งกับข้าพเจ้าทั้งหลาย

อย่างถูกต้องแท้จริงเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย

29ใช่แล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปและล่วงละเมิด

โดยละทิ้งพระองค์ไปทำบาปมากมาย

ไม่เชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์

30ไม่ได้ปฏิบัติตามที่รับสั่งให้ทำ

เพื่อความดีของข้าพเจ้าทั้งหลาย

ไม่ได้ทำตามที่พระองค์ทรงบัญชา

31บัดนี้ ทุกสิ่งที่ทรงบันดาลให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

ทุกอย่างที่ทรงกระทำ

พระองค์ทรงกระทำอย่างเที่ยงธรรม

32พระองค์ทรงมอบข้าพเจ้าทั้งหลายให้แก่ศัตรูผู้ไร้ศีลธรรม

แก่ผู้เลวร้ายที่สุดในบรรดาผู้ไม่นับถือพระเจ้า

ทรงมอบข้าพเจ้าทั้งหลายแก่กษัตริย์อธรรมที่เลวร้ายที่สุดในแผ่นดิน

33บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่กล้าเอ่ยปากพูด

ผู้รับใช้และนมัสการพระองค์ต้องอับอายและถูกดูหมิ่น

34ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไป

เพราะเห็นแก่พระนามพระองค์

ขออย่าทรงทำลายพันธสัญญาของพระองค์เลย

35ขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไปจากข้าพเจ้าทั้งหลาย

เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหายdของพระองค์

เพราะเห็นแก่อิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์

และเพราะเห็นแก่อิสราเอลผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

36พระองค์ทรงสัญญาแก่เขาเหล่านี้ว่า

จะให้เขามีลูกหลานจำนวนมากดุจดวงดาวในท้องฟ้า

ดุจเม็ดทรายบนชายทะเล

37ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นชนชาติเล็กน้อยที่สุด

วันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย

38บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มีผู้นำ ไม่มีประกาศก ไม่มีเจ้านาย

ไม่มีเครื่องเผาบูชา ไม่มีเครื่องบูชา ไม่มีของถวาย ไม่มีการถวายกำยาน

ไม่มีสถานที่ที่จะถวายผลิตผลแรกแด่พระองค์เพื่อจะได้รับพระกรุณา

39แต่ขอให้จิตที่ตรมตรอมและใจที่ถ่อมตนเป็นที่พอพระทัย

ดังแกะเพศผู้และโคเพศผู้ที่ถวายเป็นเครื่องเผาบูชา

ดังลูกแกะอ้วนพีนับพันๆ ตัวถวายพระองค์

40ขอทรงพระกรุณารับข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเครื่องบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้

แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะติดตามพระองค์ต่อไป

เพราะผู้ที่วางใจในพระองค์ย่อมไม่ได้รับความอับอาย

41บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายติดตามพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ

ยำเกรงพระองค์และแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

42ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องได้รับความอับอาย

แต่โปรดทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามพระกรุณา

และตามพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์เถิด

43โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นด้วยกิจการอัศจรรย์ของพระองค์

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพระเกียรติแก่พระนามพระองค์เถิด

44ทุกคนที่ทำร้ายผู้รับใช้ของพระองค์จงประสบหายนะ

ให้เขาทั้งหลายต้องอับอายและสิ้นอำนาจ

ให้พลังของเขาหมดสิ้นลงเถิด

45โปรดให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ทรงพระเกียรติรุ่งโรจน์ทั่วแผ่นดิน

 

46ผู้รับใช้ของกษัตริย์ที่จับชายหนุ่มทั้งสามคนโยนลงไปในไฟยังคงใส่น้ำมันดิน ปอ เศษป่าน และกิ่งไม้แห้งลงในไฟต่อไป 47จนเปลวไฟพลุ่งขึ้นสูงสี่สิบเก้าศอกเหนือเตาไฟ 48และแลบออกมาเผาชาวเคลเดียที่อยู่ใกล้เตาไฟ 49แต่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงไปอยู่ในเตาไฟพร้อมกับอาซาริยาห์และเพื่อนๆ ขับไล่เปลวไฟให้ออกไปจากเตาไฟ 50ทำให้ภายในเตาไฟเย็นสดชื่นเหมือนมีลมพัดละอองน้ำค้างมา ไฟจึงไม่สัมผัสเขาทั้งสามคน ไม่ทำอันตรายให้เขาเจ็บปวด

 

บทเพลงของชายหนุ่มสามคนในเตาไฟ

51ชายหนุ่มทั้งสามคนร้องเพลงสรรเสริญ ขอบพระคุณ และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพร้อมกันในเตาไฟว่า

52“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย

ขอถวายพระพรแด่พระองค์

สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป

ขอถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติของพระองค์

สมควรแล้วที่พระนามจะได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป

53ขอถวายพระพรแด่พระองค์ในพระวิหารแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์

สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป

54ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์แห่งพระอาณาจักรของพระองค์

สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป

55ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ทอดพระเนตรเห็นแม้กระทั่งในที่ลึก พระองค์ประทับบน

พระบัลลังก์เหนือบรรดาเครูบe

สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป

56ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับเหนือแผ่นฟ้าในสวรรค์

สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป

57ผลงานทั้งหลายจากพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงถวายพระพรแด่พระองค์เถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

58ทูตสวรรค์ทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงถวายพระพรแด่พระองค์เถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

59สวรรค์เอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

60น้ำทั้งหลายที่อยู่เหนือแผ่นฟ้า จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

61ดวงดาวทั้งหลายเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

62ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

63ดวงดาวในท้องฟ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

64ฝนและน้ำค้างเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

65ลมทั้งหลายเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

66ไฟและความร้อนเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

67ความหนาวและความร้อนfเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

68น้ำค้างและน้ำค้างแข็งเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

69น้ำแข็งและความหนาวเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

70ธารน้ำแข็งและหิมะเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

71กลางวันและกลางคืนเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

72ความสว่างและความมืดเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

73ฟ้าแลบและเมฆเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

74แผ่นดินเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

75ภูเขาและเนินเขาเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

76ทุกสิ่งที่งอกขึ้นจากพื้นดินเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

77ตาน้ำทั้งหลายเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

78ทะเลและแม่น้ำทั้งหลายเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

79ปลาใหญ่และทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวในทะเลเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

80นกทั้งหลายในอากาศเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

81สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

82มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

83ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

84บรรดาสมณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่พระองค์เถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

85บรรดาผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่พระองค์เถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

86จิตและวิญญาณของบรรดาผู้ชอบธรรมเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

87บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์และผู้มีใจถ่อมตนเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

88ฮานันยาห์ อาซาริยาห์ และมิชาเอลเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

จงสรรเสริญและยกย่องพระองค์ตลอดไป

เพราะพระองค์ทรงปลดปล่อยข้าพเจ้าทั้งหลายจากแดนผู้ตาย

ทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจของความตาย

ทรงกอบกู้ข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเปลวไฟที่ลุกโพลง

ทรงฉุดข้าพเจ้าทั้งหลายออกมาจากเตาไฟ

89จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะพระองค์พระทัยดี

เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดไป

90ทุกคนที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์เถิด

เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดไป

 

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงยอมรับว่าพระเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์

            91(24)กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงประหลาดพระทัยมาก ทรงลุกขึ้นทันที ตรัสกับบรรดาข้าราชบริพารว่า “พวกเรามัดชายสามคนโยนลงไปในไฟมิใช่หรือ” เขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า” 92(25)พระองค์ตรัสต่อไปว่า “แต่เราเห็นชายสี่คนไม่ถูกมัดกำลังเดินอยู่กลางเปลวไฟโดยไม่ได้รับอันตรายเลย ใบหน้าของชายคนที่สี่นั้นคล้ายกับใบหน้าของเทพบุตร”g 93(26)แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เสด็จมาใกล้ประตูเตาที่ไฟลุกโพลงอยู่นั้น ตรัสว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุดhเอ๋ย จงออกมาเถิด” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกก็ออกมาจากเตาไฟ 94(27)บรรดาผู้ว่าราชการภาค ผู้ว่าราชการแคว้น ผู้ว่าราชการเมือง และข้าราชบริพารอื่นๆ ของกษัตริย์มาชุมนุมกันเพื่อดูคนเหล่านี้ ก็เห็นว่าไฟไม่มีอำนาจใดเหนือร่างกายของเขา ผมบนศีรษะของเขาก็ไม่ไหม้ไฟแม้แต่เส้นเดียว เสื้อคลุมของเขาก็ไม่เสียหาย และไม่มีกลิ่นไฟติดตัวของเขาเลย 95(28)กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสว่า “ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยกอบกู้ผู้รับใช้ที่วางใจในพระองค์ เขายอมละเมิดคำสั่งของเรา และยอมพลีร่างกายให้ถูกไฟเผาiดีกว่าที่จะรับใช้และนมัสการเทพเจ้าอื่นนอกจากพระเจ้าของตน 96(29)เราจึงออกกฤษฎีกาว่าประชาชนที่มีเชื้อชาติและภาษาใดๆ ซึ่งกล่าวดูหมิ่นพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก จะต้องถูกตัดร่างเป็นชิ้นๆ และบ้านของเขาจะถูกทำลายให้เป็นซากปรักหักพัง เพราะไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ช่วยให้รอดพ้นได้เช่นนี้”

97(30)ตั้งแต่วันนั้น กษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก มีตำแหน่งปกครองแคว้นบาบิโลนสูงกว่าเดิม

พระสุบินเรื่องอนาคต : กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเสียพระสติ

 

พระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

            98(31)กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงพระอักษรถึงชนทุกชาติทุกภาษา ซึ่งอาศัยอยู่ทั่วแผ่นดินว่า

“ท่านทั้งหลายจงมีสันติสุขและความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น 99(32)เราเห็นสมควรที่จะแจ้งให้ท่านรู้ถึงปาฏิหาริย์และอัศจรรย์ที่พระเจ้าสูงสุดทรงกระทำแก่เรา

100(33)ปาฏิหาริย์ของพระองค์ช่างยิ่งใหญ่

อัศจรรย์ของพระองค์ช่างน่าพิศวงอย่างยิ่ง

          พระอาณาจักรของพระองค์เป็นพระอาณาจักรนิรันดร

                    อำนาจปกครองของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”

3 a ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX และเทโอโดซิโอน เพิ่ม “ปีที่สิบแปดในรัชกาลของพระองค์”

b ชื่อเครื่องดนตรีต่างๆ เหล่านี้มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เขียนขึ้นในสมัยหลัง ไม่ใช่ในสมัยบาบิโลน การแปลชื่อเครื่องดนตรีเหล่านี้เป็นเพียงการแปลโดยคาดคะเน เช่นเดียวกับชื่อตำแหน่งข้าราชการต่างๆ ในข้อ 2 และ 3

c ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้อความในข้อ 24-90 แต่เดิมเขียนไว้เป็นภาษาอาราเมอิก แต่ต้นฉบับดังกล่าวคงสูญหายไป เหลือแต่สำนวนแปลโบราณทั้งภาษากรีกและภาษาซีเรียค เราแปลข้อความนี้ตามสำนวนแปลภาษากรีกของเทโอโดซิโอน สำนวนแปลภาษากรีกฉบับ LXX บางตอนแตกต่างกับสำนวนแปลของเทโอโดซิโอนทั้งในคำที่ใช้และลำดับข้อความ ต้นฉบับภาษาอาราเมอิกจะต่อไปในข้อ 91 ซึ่งเป็นเพียงข้อ 24 ในต้นฉบับนั้น

d “มิตรสหายของพระองค์” “มิตรสหาย” เป็นตำแหน่งมีเกียรติสูงในวัฒนธรรมของชาวตะวันออกกลาง ซึ่งยังเห็นได้ในหมู่ชาวมุสลิมจนทุกวันนี้

e “ประทับบนพระบัลลังก์เหนือบรรดาเครูบ” สำนวนนี้หมายถึงพระยาห์เวห์ ซึ่งมีหีบพันธสัญญาเป็นสัญลักษณ์ของการประทับอยู่ของพระองค์เหนือรูปเครูบสองตนบนฝาหีบ (เทียบ 1 ซมอ 4:4) ส่วน “เครูบ” ในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ดู อพย 25:18 เชิงอรรถ i; 1 พกษ 6:22-28; 2 พศด 3:10-13

f ข้อ 67-68 พบได้เพียงในสำนวนแปลฉบับ LXX และในสำเนาโบราณฉบับเดียวเท่านั้นของสำนวนแปลของเทโอโดซิโอน

g “เทพบุตร” หมายถึงทูตสวรรค์ผู้รับใช้พระเจ้า ที่พระองค์ทรงส่งมาอารักขาชายหนุ่มทั้งสามคน (ดู ข้อ 95 (28) ด้วย)

h “พระเจ้าสูงสุด” เป็นสมญานามของพระเจ้าที่พบเสมอในบทเพลงสดุดี ส่วนในหนังสืออื่นๆ ของพระคัมภีร์ ผู้ใช้สมญานามนี้มักจะเป็นชนต่างชาติ (ดู ปฐก 14:18; กดว 24:16; อสย 14:14)

i “ยอมพลีร่างกายให้ถูกไฟเผา” สำนวนแปลของเทโอโดซิโอน ซึ่งนักบุญเปาโลจะนำมาใช้ใน 1 คร 13:3

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเล่าพระสุบิน

4 1“เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์aอยู่เป็นสุขที่บ้านและมีความเจริญรุ่งเรืองในวังของเรา 2เราฝันเห็นเรื่องน่ากลัวทำให้ตกใจ ขณะที่เรานอนอยู่บนเตียง ความคิดและนิมิตที่เกิดขึ้นในหัวของเราทำให้เราตกใจ 3เราจึงออกกฤษฎีกาเรียกบรรดาผู้มีปรีชาของกรุงบาบิโลนมาหาเรา เพื่อทำนายฝัน 4บรรดาโหราจารย์ ผู้วิเศษ ชาวเคลเดียและมายากรก็เข้ามา แต่เมื่อเราเล่าความฝันให้เขาฟัง เขาก็ทำนายฝันให้เราไม่ได้ 5ในที่สุด ดาเนียลเข้ามาหาเรา เขามีอีกชื่อหนึ่งว่าเบลเทชัสซาร์ตามนามเทพเจ้าของเราb เขามีจิตของบรรดาเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์c เราเล่าความฝันให้เขาฟังว่า

6“เบลเทชัสซาร์หัวหน้าของบรรดาโหราจารย์เอ๋ย เรารู้ว่าจิตของบรรดาเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในท่าน และไม่มีความลับใดๆ ที่ยากเกินกว่าที่ท่านจะทำนายได้ นี่คือนิมิตdที่เราเห็นในความฝัน ท่านจงทำนายฝันให้เราเถิด

7“นิมิตที่เกิดขึ้นในหัวของเราเมื่อเรานอนอยู่บนเตียงก็คือ

เราเห็นต้นไม้eสูงใหญ่ตรงกลางแผ่นดิน

8ต้นไม้นั้นเติบโตใหญ่ขึ้นและแข็งแรง

ยอดขึ้นไปถึงท้องฟ้า

แลเห็นได้จนสุดปลายแผ่นดิน

9ใบก็สวยงามและผลก็อุดมสมบูรณ์

เป็นอาหารเลี้ยงทุกชีวิต

สัตว์ทั้งหลายมาอาศัยอยู่ใต้ร่มของต้นไม้นั้น

นกในอากาศก็มาทำรังอยู่บนกิ่งก้าน

สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็เลี้ยงชีวิตจากต้นไม้นั้น

10“ขณะที่เรานอนบนเตียง เราเห็นนิมิตที่เกิดขึ้นในหัวของเราว่า

          ทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์fลงมาจากสวรรค์

          11ร้องเสียงดังว่า

                    “จงตัดต้นไม้ต้นนี้ จงลิดกิ่ง

จงเขย่าใบให้ร่วง และให้ผลกระจัดกระจายไป

สัตว์ทั้งหลายจงหนีไปจากใต้ต้นไม้นั้น

และนกจงหนีไปจากกิ่งก้านเถิด

12แต่จงปล่อยให้ตอและรากอยู่ในดิน

จงนำโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์มามัดตอนั้นไว้

ให้อยู่กลางหญ้าในทุ่ง

ตอนั้นจะได้เปียกน้ำค้างจากท้องฟ้า

จะกินหญ้าอยู่กับสัตว์ในทุ่ง

13เขาจะไม่มีสติปัญญาอย่างมนุษย์อีกต่อไปg

แต่จะมีสัญชาตญาณของสัตว์

เขาจะอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นเวลาเจ็ดปีh

14นี่คือคำพิพากษาที่บรรดาทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ประกาศ

ตามคำสั่งของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์i

ผู้มีชีวิตทั้งหลายจะได้รู้ว่าพระเจ้าผู้สูงสุดทรงปกครองเหนือราชอาณาจักรของมนุษย์

พระองค์จะประทานราชอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย

หรือจะทรงแต่งตั้งผู้ต่ำต้อยที่สุดให้ปกครองอาณาจักรนั้น

15นี่คือความฝันที่เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้เห็น บัดนี้ เบลเทชัสซาร์เอ๋ย ท่านจงทำนายฝันนี้ให้เราเถิด เพราะท่านมีจิตของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในท่าน ส่วนผู้มีปรีชาทั้งหลายในราชอาณาจักรของเรา ไม่มีผู้ใดทำนายฝันให้เราได้”

ดาเนียลทำนายพระสุบินของกษัตริย์

            16ดาเนียลผู้มีชื่อว่าเบลเทชัสซาร์มึนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดทำให้เขาวุ่นวายใจ กษัตริย์จึงตรัสว่า “เบลเทชัสซาร์เอ๋ย อย่าให้ความฝันหรือคำทำนายฝันทำให้ท่านวุ่นวายใจเลย” เบลเทชัสซาร์ทูลตอบว่า “ข้าแต่พระราชา ขอให้ความฝันนี้เป็นความจริงสำหรับผู้ที่เกลียดชังพระองค์ และขอให้คำทำนายฝันนี้ตกแก่ศัตรูของพระองค์เถิด 17ต้นไม้ที่พระองค์ทรงเห็น ซึ่งเติบโตและแข็งแรงจนยอดขึ้นไปถึงท้องฟ้าแลเห็นได้ทั่วแผ่นดิน 18ใบก็สวยงามและผลก็อุดมสมบูรณ์ เป็นอาหารเลี้ยงทุกชีวิต สัตว์ทั้งหลายมาอาศัยใต้ร่มต้นไม้ และนกในอากาศก็มาทำรังอยู่บนกิ่งก้านนั้น 19คือพระองค์ ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เจริญขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า อำนาจปกครองของพระองค์แผ่ขยายไปถึงสุดปลายแผ่นดิน 20พระราชาทอดพระเนตรเห็นทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมาจากสวรรค์พูดว่า “จงตัดต้นไม้นี้ลงและทำลายเสีย แต่จงปล่อยให้ตอและรากอยู่ในดิน จงเอาโซ่เหล็กและโซ่ทองสัมฤทธิ์มามัดตอนั้นไว้ ให้อยู่กลางหญ้าในทุ่ง ตอนั้นจะได้เปียกน้ำค้างจากท้องฟ้า จะกินหญ้าอยู่กับสัตว์ในทุ่ง และจะเป็นเช่นนั้นเป็นเวลาเจ็ดปี 21ข้าแต่พระราชา นี่คือคำทำนายพระสุบิน นี่เป็นพระราชกฤษฎีกาที่พระเจ้าสูงสุดทรงกำหนดไว้สำหรับพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า 22พระองค์จะทรงถูกขับไล่ไปจากสังคมมนุษย์ และจะทรงพำนักอยู่กับสัตว์ในทุ่ง พระองค์จะเสวยหญ้าเหมือนกับโค และจะทรงเปียกน้ำค้างจากท้องฟ้า พระองค์จะทรงอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นเวลาเจ็ดปี จนกว่าพระองค์จะทรงยอมรับว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองเหนืออาณาจักรของมนุษย์ และจะประทานอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย 23การที่ทรงมีพระบัญชาให้ตอและรากของต้นไม้ยังอยู่ก็หมายความว่าพระองค์จะทรงกลับมาปกครองพระอาณาจักรอีก เมื่อพระองค์ทรงยอมรับว่าสวรรค์มีอำนาจปกครอง 24ข้าแต่พระราชา โปรดทรงฟังคำแนะนำของข้าพเจ้าเถิด โปรดทรงชดเชยบาปด้วยการให้ทานj ชดเชยความชั่วโดยการแสดงเมตตาจิตต่อคนยากจน แล้วพระองค์จะได้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”

เหตุการณ์เป็นไปตามพระสุบิน

            25เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ 26สิบสองเดือนต่อมา ขณะที่พระองค์ทรงพระดำเนินอยู่บนดาดฟ้าของพระราชวังที่กรุงบาบิโลน 27กษัตริย์ตรัสว่า “นี่คือกรุงบาบิโลนยิ่งใหญ่มิใช่หรือ เราสร้างไว้ด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ของเราให้เป็นราชสำนักเพื่อสิริรุ่งโรจน์สูงส่งของเรา”k 28กษัตริย์ตรัสยังไม่ทันสิ้นกระแสรับสั่ง ก็มีเสียงลงมาจากสวรรค์ว่า

“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เอ๋ย เราพูดกับท่านว่าอาณาจักรของท่านถูกยกไปจากท่านแล้ว 29ท่านจะถูกขับไล่ออกไปจากหมู่มนุษย์ ท่านจะอาศัยอยู่กับสัตว์ในทุ่งนา ท่านจะกินหญ้าเหมือนโค ท่านจะอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นเวลาเจ็ดปี จนกว่าท่านจะยอมรับว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองเหนืออาณาจักรทั้งหลายของมนุษย์ และทรงมอบอาณาจักรนั้นแก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย”

30ทันใดนั้น ถ้อยคำเหล่านี้ก็เป็นความจริงสำหรับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ทรงถูกขับไล่จากหมู่มนุษย์ เสวยหญ้าเหมือนโค และพระวรกายก็เปียกน้ำค้างจากท้องฟ้า พระเกศางอกยาวเหมือนขนนกอินทรี และพระนขาก็ยาวเหมือนเล็บของนก

          31กษัตริย์ตรัสว่า “เมื่อครบกำหนดแล้วl เรา เนบูคัดเนสซาร์เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า จิตใจก็กลับปกติเหมือนเดิม เราจึงถวายพระพรแด่พระเจ้าสูงสุด

          สรรเสริญและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไป

                    พระอานุภาพของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์

          พระอาณาจักรของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุคน

          32ทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินเหมือนกับไม่มีค่า

                    พระองค์ทรงจัดทุกสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินตามพระประสงค์

          ไม่มีผู้ใดยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ได้

                    ไม่มีผู้ใดทูลถามพระองค์ได้ว่า ‘พระองค์ทรงกระทำสิ่งใด’”

          33“เวลานั้นเอง จิตใจของเราก็กลับปกติเหมือนเดิม เราได้รับความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีคืนมาเพื่อสิริรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักรของเรา บรรดาข้าราชบริพารและเจ้านายก็กลับมาหาเราอีก เราได้รับอำนาจปกครองเป็นกษัตริย์อีกครั้งหนึ่ง และได้รับเกียรติยศมากกว่าเดิม 34บัดนี้เรา เนบูคัดเนสซาร์

ขอสรรเสริญ ยกย่องและถวายพระเกียรติแด่กษัตริย์แห่งสวรรค์

เพราะพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์เป็นความจริง

และวิถีทางของพระองค์ก็ยุติธรรม

พระองค์มีพระอำนาจกดผู้ดำเนินในความเย่อหยิ่งให้ต่ำลงได้”

4 a “เรา กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” ต้นฉบับภาษากรีกเพิ่มรายละเอียดว่า “ปีที่สิบเจ็ดในรัชกาลของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระองค์ตรัสว่า...” นอกจากนั้น ตัวบทภาษากรีกฉบับ LXX ยังยาวกว่าต้นฉบับภาษาอาราเมอิกประมาณหนึ่งในสี่ แม้ว่ายังละข้อความบางข้อในภาษาอาราเมอิกด้วย

b “นามเทพเจ้าของเรา” คือเทพเจ้า “เบล” ชื่อเทพเจ้านี้ยังปรากฏในพระนามของกษัตริย์ “เบลชัสซาร์” ด้วย (ดู 5:1 เชิงอรรถ a)

c “จิตของบรรดาเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์” กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงเชื่อว่าดาเนียลทำนายฝันได้ เพราะได้รับการดลใจจากบรรดาเทพเจ้า เช่นเดียวกับที่กษัตริย์ฟาโรห์ทรงวินิจฉัยเมื่อโยเซฟทำนายพระสุบินให้พระองค์ (ปฐก 41:38; แต่ดู อสย 11:12 เชิงอรรถ c และ 63:10) * ในข้อนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงอ้างถึงเทพเจ้าหลายองค์ เช่นเดียวกับชนต่างศาสนา แต่ในข้อ 34 พระองค์จะทรงยอมรับว่ามีพระเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียว เช่นเดียวกับกษัตริย์เบลชัสซาร์ใน 5:11, 14

d “นี่คือนิมิต” แปลโดยคาดคะเน ต้นฉบับภาษาอาราเมอิกว่า “ภาพนิมิตของความฝัน”

e “ต้นไม้” เป็นสัญลักษณ์ว่าอำนาจของอาณาจักรย่อมเจริญเติบโตขึ้นอยู่ตลอดเวลา (เทียบ อสค 17:1-10, 22-24 โดยเฉพาะ 31:3-14; ดู อสย 10:33–11:1)

f “ทูตสวรรค์” แปลตามตัวอักษรว่า “ผู้ตื่นเฝ้าอยู่เสมอ” ไม่เคยหลับ เพื่อปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า ในสมัยต่อมาวลี “ผู้ตื่นเฝ้าอยู่เสมอ” ถูกนำมาใช้เมื่อกล่าวถึง “ทูตสวรรค์” ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เป็นผู้พิทักษ์รักษามนุษย์

g “เขาจะไม่มีสติปัญญาอย่างมนุษย์อีกต่อไป” แปลตามตัวอักษร “ใจของเขาจะไม่เป็นใจของมนุษย์อีกต่อไป” คนโบราณคิดว่า “หัวใจ” เป็นอวัยวะที่ใช้คิด

h “เจ็ดปี” แปลตามตัวอักษรว่า “เจ็ดวาระ” หรือ “เจ็ดระยะเวลา”

i “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ในที่นี้หมายถึงบรรดาทูตสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้ประกาศพระประสงค์ของพระเจ้าแก่มนุษย์

j “ชดเชยบาป...ให้ทาน” “ชดเชยบาป” แปลตามตัวอักษรว่า “แยกตนจากบาป” ส่วน “ให้ทาน” แปลตามตัวอักษรว่า “กิจการดี” ซึ่งในบริบทหมายถึง “การให้ทาน” เช่นเดียวกับใน ทบต 12:9; 14:11

k กรุงบาบิโลนเคยเป็นหนึ่งในบรรดา “สิ่งมหัศจรรย์” ของโลกในสมัยโบราณ ในภายหลัง ชื่อกรุงบาบิโลนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จยิ่งใหญ่ของมนุษย์แม้จะไม่ถาวร จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหยิ่งยโสทั้งของมนุษย์และของปีศาจ ตรงกันข้ามกับความยิ่งใหญ่ของนครเยรูซาเล็มในสวรรค์ ซึ่งเป็นนครของพระเจ้า (เทียบ วว 14:8; 16:19; 17:5; 18:2,10, 21) ความคิดเช่นนี้สืบเนื่องมาจากคำสอนของบรรดาประกาศก เช่น อสย 21:9 บทที่ 4 นี้ทั้งบทมีเจตนาจะแสดงว่าความหยิ่งจองหองจะถูกกดให้ต่ำลงอย่างไร กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทรงมีสติสัมปชัญญะคืนมาได้ก็ต่อเมื่อทรงยอมรับว่ามีพระเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

l ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX เพิ่มเติมรายละเอียดมากกว่าต้นฉบับภาษาอาราเมอิกว่า กษัตริย์ทรงหายเป็นปกติเพราะทรงยอมรับผิดและทรงอธิษฐานภาวนา ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏองค์ในพระสุบิน ทูลว่าพระองค์จะทรงได้รับพระอาณาจักรคืนมา คำพูดตอนนี้จึงเป็นการประกาศยอมรับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระองค์

กษัตริย์เบลชัสซาร์ทรงจัดงานฉลอง

 

5 1กษัตริย์เบลชัสซาร์aทรงจัดงานเลี้ยงฉลองแก่เจ้านายหนึ่งพันคน และเสวยน้ำจัณฑ์พร้อมกับเจ้านายเหล่านั้น 2เมื่อกษัตริย์เบลชัสซาร์เสวยน้ำจัณฑ์มากแล้ว มีพระบัญชาให้นำภาชนะทองคำและเงิน ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พระบิดาทรงนำมาจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มออกมา เพื่อพระองค์จะทรงใช้เสวยพร้อมกับบรรดาเจ้านาย พระสนมและนางห้ามของพระองค์ 3บรรดาผู้รับใช้จึงนำภาชนะทองคำและเงินซึ่งถูกนำมาจากพระวิหารของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์ทรงใช้ภาชนะเหล่านี้เสวยพร้อมกับบรรดาเจ้านาย พระสนมและนางห้ามของพระองค์ 4ขณะที่ทุกคนกำลังดื่มเหล้าองุ่นและสรรเสริญเทพเจ้าที่ทำด้วยทองคำ เงินb ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้และหิน 5ทันใดนั้น นิ้วมือมนุษย์ปรากฏขึ้นและเขียนบนผนังของท้องพระโรงตรงหน้าเชิงประทีป เมื่อกษัตริย์ทรงเห็นนิ้วมือที่กำลังเขียนอยู่ 6พระพักตร์ของพระองค์ก็ซีดเผือด พระดำริทำให้พระองค์ตกพระทัย พระวรกายก็อ่อนเปลี้ย พระชานุก็กระทบกัน 7กษัตริย์จึงรับสั่งเสียงดังให้เรียกมายากร ชาวเคลเดีย และโหราจารย์เข้ามาเฝ้า ตรัสกับบรรดาผู้มีปรีชาของกรุงบาบิโลนว่า “ผู้ที่อ่านข้อเขียนนี้และอธิบายความหมายให้เราได้ เราจะให้ผู้นั้นสวมเสื้อสีม่วงแดง สวมสร้อยคอทองคำ และจะแต่งตั้งเขาให้มีอำนาจปกครองเป็นลำดับที่สามcในราชอาณาจักรของเรา” 8ผู้มีปรีชาทุกคนของกษัตริย์ก็เข้ามาเฝ้า แต่ไม่มีผู้ใดอ่านข้อเขียนนั้น หรืออธิบายความหมายให้กษัตริย์ทรงทราบได้ 9กษัตริย์เบลชัสซาร์ตกพระทัยมาก พระพักตร์ซีดเผือด บรรดาเจ้านายทั้งหลายก็วุ่นวายใจด้วย 10พระชนนีของกษัตริย์ทรงได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และเสียงร้องของบรรดาเจ้านาย จึงเสด็จเข้ามาในท้องพระโรงงานเลี้ยง ตรัสถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงพระเจริญเป็นนิตย์เถิด ขออย่าได้ตกพระทัย อย่าให้พระพักตร์ของพระองค์ซีดไป 11ในพระราชอาณาจักรของพระองค์มีชายคนหนึ่งซึ่งมีจิตของบรรดาเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยที่พระบิดาของพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ทุกคนเห็นว่าเขามีความสว่าง มีปัญญาและปรีชาญาณ เหมือนปรีชาญาณของบรรดาเทพเจ้า กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระบิดาของพระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าของบรรดาโหราจารย์ ผู้วิเศษ ชาวเคลเดียและมายากรd 12ทุกคนเห็นว่าดาเนียลผู้นี้ ซึ่งกษัตริย์ประทานนามว่าเบลเทชัสซาร์มีจิตสุขุมเป็นพิเศษ มีความรู้ความเข้าใจในการทำนายฝัน แก้ปริศนาและแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ขอทรงเรียกดาเนียลให้เข้ามาเฝ้าเพื่ออธิบายความหมายของข้อเขียนนี้เถิด”

          13มีผู้นำดาเนียลเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านคือดาเนียล ชาวยิวคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระบิดาของเราทรงจับเป็นเชลยจากแคว้นยูดาห์มาอยู่ที่นี่ใช่ไหม 14เราได้ยินว่าท่านมีจิตของบรรดาเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ และทุกคนรู้ว่าท่านมีความสว่าง มีปัญญาและปรีชาญาณพิเศษกว่าผู้อื่น 15ก่อนหน้านี้ เราสั่งให้เรียกบรรดาผู้มีปรีชา และผู้วิเศษเข้ามาเพื่ออ่านข้อเขียนนี้ และอธิบายความหมายให้เรา แต่เขาทั้งหลายทำไม่ได้ 16เราได้ยินว่าท่านอธิบายและแก้ปริศนาได้ ถ้าท่านอ่านข้อเขียนนี้และอธิบายความหมายให้เราได้ เราจะให้ท่านสวมเสื้อสีม่วงแดง สวมสร้อยคอทองคำ และจะแต่งตั้งท่านให้มีอำนาจปกครองเป็นลำดับที่สามในราชอาณาจักร”

          17ดาเนียลทูลตอบว่า “ขอพระองค์ทรงเก็บของพระราชทานไว้กับพระองค์ และประทานเป็นรางวัลแก่ผู้อื่นเถิด ข้าพเจ้าจะอ่านข้อเขียนนี้ถวาย และจะอธิบายความหมายให้ทรงทราบ 18ข้าแต่พระราชา พระเจ้าสูงสุดเคยประทานพระราชอาณาจักร ความยิ่งใหญ่ ความรุ่งโรจน์ และความเจริญรุ่งเรืองแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พระบิดาของพระองค์e 19และเพราะความยิ่งใหญ่นี้ที่พระเจ้าประทานให้พระบิดา บรรดาชนชาติ ประชาชนที่พูดภาษาต่างๆ จึงยำเกรงและกลัวพระบิดาจนตัวสั่น พระองค์ทรงประหารหรือทรงไว้ชีวิตตามที่พอพระทัย ทรงยกย่องหรือทรงทำให้ตกต่ำตามที่พอพระทัยเช่นเดียวกัน 20แต่เมื่อพระทัยของพระบิดาผยองขึ้น และจิตใจของพระองค์ก็แข็งกระด้างด้วยความหยิ่งยโส พระเจ้าจึงทรงถอดพระองค์ลงจากราชบัลลังก์ และทรงริบพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ 21พระเจ้าทรงขับไล่พระบิดาออกไปจากหมู่มนุษย์ ทรงกระทำให้พระทัยของพระบิดาเป็นเหมือนใจสัตว์ป่า ต้องทรงพำนักอยู่ในหมู่ลาป่าและเสวยหญ้าเหมือนโค พระวรกายของพระบิดาต้องเปียกชุ่มน้ำค้างจากท้องฟ้า จนกว่าจะทรงยอมรับว่าพระเจ้าสูงสุดทรงปกครองอาณาจักรของมนุษย์ และทรงแต่งตั้งผู้ปกครองตามที่พอพระทัย 22บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์เบลชัสซาร์ พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แม้ทรงทราบเรื่องนี้แล้วก็ยังมิได้ถ่อมพระองค์ลง 23ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังทรงยกพระองค์ขึ้นดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ ทรงให้นำภาชนะแห่งพระวิหารของพระเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์ แล้วพระองค์ก็เสวยเหล้าองุ่นจากภาชนะเหล่านั้น พร้อมกับบรรดาเจ้านาย พระสนมและนางห้ามของพระองค์ พระองค์ทรงสรรเสริญบรรดาเทพเจ้าที่ทำด้วยเงิน ทองคำ ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ไม้และหิน เทพเจ้าเหล่านี้มองไม่เห็น ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจอะไรเลย พระองค์มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งๆ ที่พระชนมชีพของพระองค์อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า และวิถีชีวิตทั้งหมดของพระองค์ก็เป็นของพระเจ้าด้วย 24พระเจ้าจึงทรงส่งมือมาเขียนข้อความนี้ไว้ 25ซึ่งอ่านได้ว่า ‘เมเน เทเคล เปเรส’f 26นี่คือความหมายของข้อเขียน ‘เมเน’ มีความหมายว่า ‘นับแล้ว’ พระเจ้าทรงนับวันพระอาณาจักรของพระองค์แล้ว และทรงนำพระอาณาจักรมาถึงจุดจบ 27‘เทเคล’ มีความหมายว่า ‘ชั่งแล้ว’ พระองค์ทรงถูกชั่งบนตราชูและปรากฏว่าทรงมีน้ำหนักไม่พอ 28‘เปเรส’ มีความหมายว่า ‘แบ่งแล้ว’ พระอาณาจักรของพระองค์ถูกแบ่งแล้วและถูกมอบแก่ชาวมีเดียและชาวเปอร์เซีย”

          29กษัตริย์เบลชัสซาร์จึงทรงบัญชาข้าราชบริพารให้นำเสื้อสีม่วงแดงมาสวมให้ดาเนียล นำสร้อยคอทองคำมาสวมคอ และมีผู้ประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ดาเนียลมีอำนาจปกครองเป็นลำดับที่สามในราชอาณาจักร

          30คืนนั้นเอง กษัตริย์เบลชัสซาร์ของชาวเคลเดียก็ทรงถูกปลงพระชนม์

5 a “เบลชัสซาร์” ภาษาบาบิโลนว่า “เบลชาร์อูซูร์” แปลว่า “ขอเทพเจ้าเบลทรงคุ้มครองกษัตริย์” กษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า “เบลชัสซาร์” ไม่ใช่พระโอรสของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แต่เป็นพระโอรสของกษัตริย์นาโบนีดัส ตามประวัติศาสตร์ เบลชัสซาร์ไม่เคยได้รับตำแหน่งกษัตริย์ เป็นแต่เพียงผู้สำเร็จราชการแทนพระบิดา เมื่อพระบิดาเสด็จไปประทับอยู่ที่เทมา (Teima) ซึ่งเป็นโอเอซิสแห่งหนึ่งในทะเลทรายอาหรับระหว่างปี 552-545 ก่อน ค.ศ.

b “เงิน” แปลตามต้นฉบับของเทโอโดซีโอน ไม่มีในต้นฉบับภาษาอาราเมอิก (MT)

c “อำนาจปกครองเป็นลำดับที่สาม” ตำแหน่งผู้ปกครองคนที่สองรองจากกษัตริย์มีหลักฐานในเอกสารทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีตำแหน่งปกครอง “เป็นคนที่สาม” รองจากกษัตริย์ในเอกสารใดๆ เลย ข้อความนี้ในภาษาอาราเมอิกก็ไม่ชัดเจน คำแปลจึงเป็นเพียงการคาดคะเน เช่นเดียวกับใน 5:16,29 และ 6:3 บางคนเข้าใจว่าอาณาจักรบาบิโลนในขณะนั้นแบ่งเป็นสามส่วน มีผู้ปกครองสามคน แต่ละคนปกครองหนึ่งส่วน

d ต้นฉบับภาษาอาราเมอิกยังเสริมว่า “พระบิดาของพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้” แต่ข้อความนี้ไม่มีในสำนวนแปลโบราณใดๆ เลย

e ในข้อ 19-21 ดาเนียลสรุปสั้นๆ เรื่องราวที่เล่าไว้ในบทที่ 4

f “เมเน เทเคล เปเรส” แปลตามต้นฉบับภาษากรีก ทั้งฉบับ LXX และฉบับของเทโอโดซีโอน และตามสำนวนแปลภาษาละติน ต้นฉบับภาษาอาราเมอิกว่า “เมเน เมเน เทเคล และปาร์ซิน” คำ “ปาร์ซิน” เป็นพหูพจน์ของ “เปเรส” ชวนให้คิดถึง “ชาวเปอร์เซีย” ด้วย

6 1กษัตริย์ดาริอัสชาวมีเดียaทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อมา พระองค์ทรงพระชนมายุหกสิบสองพรรษา

ดาเนียลในถ้ำสิงโต

 

บรรดาผู้ว่าราชการภาคไม่พอใจการเลื่อนตำแหน่งของดาเนียล

            2กษัตริย์ดาริอัสพอพระทัยแต่งตั้งผู้ว่าราชการภาคหนึ่งร้อยยี่สิบคนทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้มีผู้ปกครองแทนพระองค์อยู่ทุกภาค 3และทรงแต่งตั้งผู้ตรวจราชภาคสามคน ดาเนียลเป็นผู้ตรวจราชการภาคด้วย ผู้ว่าราชการภาคแต่ละคนต้องรายงานต่อผู้ตรวจราชการเหล่านี้ เพื่อกษัตริย์จะไม่ทรงขาดผลประโยชน์ 4ดาเนียลมีคุณสมบัติพิเศษเหนือผู้ตรวจราชการและผู้ว่าราชการภาคทุกคน กษัตริย์จึงทรงคิดจะแต่งตั้งเขาให้ปกครองราชอาณาจักรทั้งหมด 5ทั้งผู้ตรวจราชการและผู้ว่าราชการภาคจึงหามูลเหตุกล่าวหาดาเนียลเกี่ยวกับการบริหารราชการ แต่ก็หามูลเหตุหรือความผิดไม่ได้ เพราะเขาซื่อสัตย์ ไม่มีความบกพร่องหรือความผิดพลาดใดๆ เลย 6คนเหล่านั้นจึงพูดกันว่า “พวกเราจะหามูลเหตุกล่าวหาดาเนียลไม่ได้เลย นอกจากเรื่องที่เขาปฏิบัติตามธรรมบัญญัติแห่งพระเจ้าของเขา” 7ผู้ตรวจราชการและผู้ว่าราชการภาครีบไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ ทูลว่า “ข้าแต่พระราชาดาริอัส ขอทรงพระเจริญเทอญ 8ผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ผู้ว่าราชการแคว้น ผู้ว่าราชการภาค มนตรีที่ปรึกษาและผู้ว่าราชการเมืองทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่า ควรออกพระราชกฤษฎีกาสั่งว่า ในช่วงเวลาสามสิบวัน ถ้าผู้ใดวอนขอจากเทพเจ้าหรือมนุษย์นอกเหนือจากพระราชา ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต 9ข้าแต่พระราชา บัดนี้ โปรดทรงออกพระราชกฤษฎีกาและลงพระนาม เพื่อจะเปลี่ยนแปลงและยกเลิกไม่ได้ตามกฎหมายของชาวมีเดียและชาวเปอร์เซีย” 10กษัตริย์ดาริอัสจึงทรงลงพระนามในพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นกฎหมาย”

ดาเนียลอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า

          11เมื่อดาเนียลรู้ว่ากษัตริย์ทรงลงพระนามประกาศพระราชกฤษฎีกา เขาก็เข้าไปในบ้านซึ่งมีหน้าต่างห้องชั้นบนเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็มb เขาคุกเข่าวันละสามครั้งเพื่ออธิษฐานภาวนาและสรรเสริญพระเจ้าของตน ดังที่เขาเคยทำมาก่อน 12ผู้ต้องการกล่าวหาดาเนียลจึงวิ่งเข้าไปในบ้าน พบดาเนียลกำลังอธิษฐานภาวนาทูลขอพระเจ้าของตน 13เขาทั้งหลายจึงรีบเข้าเฝ้ากษัตริย์ ทูลเรื่องประกาศห้ามว่า “ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกามิใช่หรือว่า ในช่วงเวลาสามสิบวัน ถ้าผู้ใดวอนขอจากเทพเจ้าหรือมนุษย์นอกจากพระราชา ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต” กษัตริย์ตรัสตอบว่า “ถูกแล้ว ตามกฎหมายของชาวมีเดียและชาวเปอร์เซีย กฤษฎีกาฉบับนี้ยกเลิกไม่ได้” 14คนเหล่านั้นจึงทูลว่า “ข้าแต่พระราชา ดาเนียลผู้นั้นซึ่งเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ถูกจับเป็นเชลยมาจากแคว้นยูดาห์ ไม่เคารพพระองค์ และไม่เคารพพระราชกฤษฎีกาของพระองค์ เขาอธิษฐานภาวนาวันละสามครั้ง” 15เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ก็ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก และทรงตั้งพระทัยจะช่วยดาเนียลให้รอดพ้น ทรงพยายามหาวิธีการจนถึงเวลาดวงอาทิตย์ตก 16แต่คนเหล่านั้นกลับมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อีก ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงทราบว่าตามกฎหมายของชาวมีเดียและชาวเปอร์เซีย พระราชกฤษฎีกาและข้อกำหนดใดๆ ที่กษัตริย์ทรงลงพระนามแล้วจะยกเลิกไม่ได้”

ดาเนียลถูกโยนลงในถ้ำสิงโต

            17กษัตริย์จึงทรงบัญชาให้ไปจับดาเนียล นำมาโยนลงในถ้ำสิงโต กษัตริย์ตรัสแก่ดาเนียลว่า “ขอพระเจ้าของท่านที่ท่านรับใช้อย่างซื่อสัตย์ตลอดมา ทรงช่วยท่านให้รอดพ้นเถิด” 18มีคนนำหินก้อนหนึ่งมาปิดปากถ้ำไว้ กษัตริย์ทรงประทับตราด้วยพระธำมรงค์ของพระองค์ และด้วยตราของบรรดาเจ้านาย เพื่อมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของดาเนียลได้ 19แล้วกษัตริย์ก็เสด็จกลับพระราชวัง ทรงอดพระกระยาหารตลอดคืนนั้น ไม่ทรงยอมรับความบันเทิงใดๆc และบรรทมไม่หลับ

          20วันรุ่งขึ้น กษัตริย์ทรงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ รีบเสด็จไปยังถ้ำสิงโต 21เมื่อเสด็จมาใกล้ถ้ำที่ดาเนียลอยู่ พระองค์ทรงเรียกดาเนียลด้วยพระสุรเสียงโทมนัสว่า “ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เอ๋ย พระเจ้าของท่านที่ท่านรับใช้อย่างซื่อสัตย์ตลอดมาทรงช่วยท่านให้รอดพ้นจากสิงโตได้หรือไม่” 22ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงพระเจริญเทอญ 23พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาปิดปากสิงโตไว้ ไม่ให้มันทำอันตรายข้าพเจ้าได้ เพราะทรงเห็นว่าข้าพเจ้าไม่มีความผิดเฉพาะพระพักตร์ ข้าแต่พระราชา ข้าพเจ้ามิได้ทำผิดประการใดต่อพระองค์อีกด้วย” 24กษัตริย์ทรงยินดีอย่างยิ่ง ทรงบัญชาให้นำดาเนียลออกมาจากถ้ำ เมื่อเขาออกมาแล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย เพราะเขาไว้ใจในพระเจ้าของตน 25กษัตริย์จึงทรงบัญชาให้นำคนเหล่านั้นที่กล่าวหาดาเนียลมาโยนลงในถ้ำสิงโตพร้อมกับบุตรภรรยา และก่อนที่เขาเหล่านี้ไปถึงก้นถ้ำ สิงโตก็กระโจนใส่เขาและขย้ำเขาจนกระดูกแหลกละเอียดทั้งหมด

กษัตริย์ทรงยืนยันความเชื่อในพระเจ้า

            26กษัตริย์ดาริอัสจึงทรงพระอักษรถึงชนทุกชาติทุกภาษาที่อาศัยอยู่ทั่วแผ่นดินว่า “ท่านทั้งหลายจงมีสันติสุขและความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นเถิด 27เราสั่งให้ออกกฤษฎีกานี้ว่า ทุกคนที่อยู่ใต้ปกครองของเราต้องเคารพยำเกรงพระเจ้าของดาเนียล

          เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์

                    ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์

          พระอาณาจักรของพระองค์จะไม่ถูกทำลาย

                    และอำนาจปกครองของพระองค์จะดำรงอยู่ตลอดไป

          28พระองค์ทรงปลดปล่อยและช่วยให้รอดพ้น

                    ทรงกระทำปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์

          ในสวรรค์และบนแผ่นดิน

                    พระองค์ทรงช่วยดาเนียลให้รอดพ้นจากอุ้งเล็บของสิงโต”

29ดาเนียลผู้นี้จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ดาริอัส และในรัชสมัยของกษัตริย์ไซรัสชาวเปอร์เซียd

6 a “กษัตริย์ดาริอัสชาวมีเดีย” ไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ กษัตริย์ที่ทรงเข้ายึดกรุงบาบิโลนในปี 539 ก่อน ค.ศ. คือกษัตริย์ไซรัสชาวเปอร์เซีย ซึ่งทรงมีชัยต่อชาวมีเดียมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ปี 550 ก่อน ค.ศ.

b “กรุงเยรูซาเล็ม” ขนบประเพณีอธิษฐานภาวนาโดยหันหน้าไปทางกรุงเยรูซาเล็มเริ่มขึ้นอย่างน้อยตั้งแต่สมัยที่ชาวยิวถูกเนรเทศไปอยู่ที่บาบิโลน (587-538 ก่อน ค.ศ.)

c “ความบันเทิง” แปลโดยคาดคะเน ต้นฉบับไม่ชัดเจน อาจหมายถึงการบรรเลงดนตรี หรือการหาความสุขกับนางบำเรอ

d “เจริญรุ่งเรือง” ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองอาณาจักร” * “เจริญรุ่งเรือง...ชาวเปอร์เซีย” ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ดาเนียลได้รับแต่งตั้งให้ปกครองอาณาจักรของกษัตริย์ดาริอัส และกษัตริย์ไซรัสชาวเปอร์เซียทรงได้รับราชอาณาจักรของกษัตริย์ดาริอัส”

ความฝันของดาเนียล – สัตว์ร้ายสี่ตัว

 

นิมิตเห็นสัตว์ร้ายa เห็นผู้อาวุโสและบุตรแห่งมนุษย์

7 1ปีที่หนึ่งในรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน ดาเนียลฝันและเห็นนิมิตในความคิดของตนขณะที่นอนอยู่บนเตียง เขาจึงบันทึกความฝันนั้นไว้ และเล่าเรื่องดังต่อไปนี้ 2ดาเนียลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นลมทั้งสี่จากท้องฟ้าลงมาทำให้ทะเลใหญ่ปั่นป่วน 3สัตว์ร้ายมหึมาสี่ตัวมีลักษณะต่างกันขึ้นมาจากทะเล 4ตัวแรกbเหมือนสิงโตมีปีกนกอินทรี ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ขนปีกของมันถูกถอนออกไป มันถูกยกขึ้นจากแผ่นดินให้ยืนบนสองเท้าเหมือนมนุษย์ และได้รับจิตใจของมนุษย์ 5ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวที่สองcเหมือนหมี มันยืนเอียงตัวไปข้างหนึ่ง ใช้ฟันคาบกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ในปาก มีเสียงสั่งมันว่า “จงลุกขึ้นกินเนื้อให้มากๆ” 6ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมองดูนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งdเหมือนเสือดาว มีปีกนกสี่ปีกบนหลัง สัตว์ร้ายตัวนี้มีสี่หัว และได้รับอำนาจปกครอง 7ต่อจากนั้น ขณะที่ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวที่สี่e ร้ายกาจ น่ากลัวและแข็งแรงยิ่งนัก มีฟันเหล็กมหึมาเพื่อกินและบดขยี้เหยื่อ และใช้เท้าเหยียบสิ่งที่เหลือกินนั้นไว้ สัตว์ร้ายตัวนี้มีสิบเขาต่างจากสัตว์ร้ายอื่นๆ ทั้งหมดที่มาก่อน 8เมื่อข้าพเจ้ากำลังมองดูเขาสัตว์เหล่านี้ ข้าพเจ้าก็เห็นเขาสัตว์เล็กๆf อีกเขาหนึ่งงอกขึ้นมาในหมู่เขาสัตว์เหล่านั้น ทำให้เขาสัตว์ชุดแรกสามเขาถูกถอนออกไปเพื่อให้เขาเล็กๆ นั้นขึ้นมาแทน ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเล็กๆ นั้นมีตาเหมือนตามนุษย์ มีปากพูดจาโอหังg

9ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมองดูอยู่นั้น

ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถูกนำมาตั้งไว้h

และผู้สูงด้วยวัยวุฒิท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์

สวมอาภรณ์ขาวอย่างหิมะ

ผมบนศีรษะขาวเหมือนขนแกะ

บัลลังก์ของเขาเหมือนเปลวเพลิง

มีล้อเหมือนไฟลุกโพลง

10เบื้องหน้าเขามีธารไฟไหลออกมา

ผู้รับใช้จำนวนมาก นับล้านนับโกฎิอสงไขยคอยเฝ้ารับใช้เขา

การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น

และบรรดาหนังสือก็เปิดออกi

11ข้าพเจ้าจ้องดูต่อไป เพราะเขาเล็กๆ นั้นพูดจาโอหัง แล้วข้าพเจ้าก็เห็นสัตว์ร้ายตัวนั้นถูกฆ่า และร่างของมันก็ถูกทำลายโยนทิ้งลงไปในกองไฟ 12สัตว์ร้ายตัวอื่นๆ ก็สูญเสียอำนาจปกครอง แต่ชีวิตjของมันยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งตามกำหนด

13ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป

ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์k

มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า

เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้แนะนำเขาแก่ท่านผู้นั้น

14เขาได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์ และอาณาจักร

ประชาชนทุกชาติทุกภาษารับใช้เขา

อำนาจปกครองของเขาเป็นอำนาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด

และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำลายเลย

ความหมายของนิมิต

            15ข้าพเจ้า ดาเนียล มีจิตใจเป็นทุกข์ เพราะนิมิตในความคิดทำให้ข้าพเจ้ากังวลใจl 16ข้าพเจ้าจึงเข้าไปใกล้ผู้หนึ่งที่อยู่ที่นั่น และถามเขาถึงความหมายของนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็น ผู้นั้นก็ตอบข้าพเจ้าและอธิบายความหมายของนิมิตให้ฟังดังต่อไปนี้ 17“สัตว์ร้ายมหึมาทั้งสี่ตัวหมายถึงกษัตริย์สี่พระองค์ซึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน 18แต่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์mของพระเจ้าผู้สูงสุดจะได้รับพระอาณาจักร และจะครอบครองพระอาณาจักรนั้นตลอดไปทุกยุคทุกสมัย” 19ข้าพเจ้าอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับสัตว์ร้ายตัวที่สี่ซึ่งต่างจากสัตว์ร้ายอื่นๆ ทุกตัว มันน่ากลัวอย่างยิ่ง มีฟันเหล็กและเล็บเท้าทองสัมฤทธิ์ มันกินและบดขยี้เหยื่อ และเหยียบสิ่งที่เหลือกินนั้นไว้ 20ข้าพเจ้ายังอยากรู้เรื่องเขาสิบเขาซึ่งอยู่บนหัวของมัน และเรื่องเขาเล็กๆ เขาสุดท้ายซึ่งงอกขึ้นมา ทำให้เขาชุดแรกสามเขาถูกถอนออกไป และทำไมเขานั้นจึงมีตามากมายและมีปากที่พูดจาโอหัง และทำไมเขานั้นจึงดูเหมือนจะใหญ่โตกว่าเขาอื่นๆ 21ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น เขานี้ก็ทำสงครามกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมีชัยชนะ 22จนกว่าผู้สูงด้วยวัยวุฒิมาถึงและให้ความยุติธรรมแก่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์nของพระเจ้าผู้สูงสุด แล้วเวลาก็มาถึง เมื่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้ครอบครองพระอาณาจักร 23ผู้นั้นตอบข้าพเจ้าว่า

          “สัตว์ร้ายตัวที่สี่หมายถึงราชอาณาจักรที่สี่

                    ที่จะเกิดขึ้นบนแผ่นดิน

          เป็นราชอาณาจักรที่ต่างจากราชอาณาจักรอื่นๆ ทั้งหมด

                    ราชอาณาจักรนี้จะกิน บดขยี้ และเหยียบย่ำทั่วแผ่นดิน

          24ส่วนเขาสิบเขาหมายถึงกษัตริย์สิบพระองค์

ซึ่งจะขึ้นมาปกครองราชอาณาจักรนั้น

ต่อจากกษัตริย์เหล่านี้จะมีกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง

ต่างจากกษัตริย์ทั้งหลายก่อนหน้านั้น

กษัตริย์พระองค์นี้จะทรงพิชิตกษัตริย์สามพระองค์

25จะตรัสลบหลู่พระเจ้าผู้สูงสุด

จะทรงทำลายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด

จะทรงคิดเปลี่ยนแปลงวันฉลองและธรรมบัญญัติo

บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะถูกมอบแก่พระองค์เป็นเวลาสามปีครึ่งp

26แต่เมื่อจะมีการพิจารณาคดี

อำนาจปกครองของพระองค์จะถูกยกไป

จะถูกทำลาย และจะพินาศจนสิ้นเชิง

27แล้วราชอาณาจักร อำนาจปกครอง

และความยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทั้งหลายภายใต้ท้องฟ้า

จะถูกมอบแก่ประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด

อาณาจักรนี้จะเป็นอาณาจักรนิรันดร

และอาณาจักรอื่นๆ ทั้งหมดจะรับใช้และอ่อนน้อมเชื่อฟังพระอาณาจักรนี้”

28“เรื่องเล่าจบที่นี่

ข้าพเจ้า ดาเนียล มีความคิดวุ่นวายใจมาก หน้าตาซีดเซียว ข้าพเจ้าจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ”

7 a นิมิตนี้สอดคล้องกับพระสุบินของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในบทที่ 2 รูปปั้นทำด้วยโลหะสี่ชนิดในพระสุบินที่ถูกก้อนหินจากภูเขาทำลายนั้นหมายถึงอาณาจักรทั้งสี่ (2:28 เชิงอรรถ h) ซึ่งปกครองโลกต่อจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ในบทที่ 7 นี้ สัตว์ร้ายทั้งสี่ตัวก็หมายถึงอาณาจักรทั้งสี่อาณาจักรที่จะมาก่อนอาณาจักรของ “บุตรแห่งมนุษย์” นิมิตนี้ซึ่งหมายถึงวาระสุดท้ายของโลกจะมีความชัดเจนมากขึ้นใน วว 13

b สัตว์ร้ายตัวแรกหมายถึงอาณาจักรบาบิโลน

c สัตว์ร้ายตัวที่สองหมายถึงอาณาจักรของชาวมีเดีย ผู้เขียนคิดว่าชาวมีเดียมีอำนาจปกครองสืบต่อทันทีจากอาณาจักรบาบิโลน (ดู 6:1 เชิงอรรถ a)

d สัตว์ร้ายตัวที่สามหมายถึงอาณาจักรเปอร์เซีย

e สัตว์ร้ายตัวที่สี่หมายถึงอาณาจักรของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช (สิ้นพระชนม์ 323 ก่อน ค.ศ.) และของบรรดาผู้สืบตำแหน่งต่อมา (เทียบ 2:40; 8:5; 11:3) เขาสัตว์ทั้งสิบเขาหมายถึงกษัตริย์ในราชวงศ์เซเลวซิด “เขาสัตว์” บ่อยๆ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของ “กำลังกาย” หรือ “อำนาจปกครอง” (ฉธบ 37:17; 1 พกษ 22:11; สดด 75:5; 92:10)

f “เขาสัตว์เล็กๆ” หมายถึงกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 (เอปีฟาเนส) (175-164 ก่อน ค.ศ.) พระองค์ทรงยึดอำนาจปกครองโดยทรงกำจัดกษัตริย์สามพระองค์ที่ทรงเป็นคู่แข่งในการสืบราชสมบัติ

g “พูดจาโอหัง” หมายถึงถ้อยคำดูหมิ่นพระเจ้าที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสตรัส (ข้อ 25; 11:36; 1 มคบ 1:21, 24, 45 และ วว 13:5)

h “บัลลังก์” ที่ถูกนำมาตั้งนี้เป็นที่นั่งของบรรดาผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาคดี ตามธรรมประเพณีโบราณของชาวยิว (หนังสือเอโนค) พระเจ้าประทานสิทธิพิเศษแก่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ให้นั่งบัลลังก์พิพากษานานาชาติเคียงข้างพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงสัญญาเช่นนี้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นใน มธ 19:28; ลก 22:30; วว 3:21; 20:4 พระบัลลังก์ของพระเจ้าที่มีล้อเป็นไฟชวนให้คิดถึงพระราชรถของพระเจ้าใน อสค 1

i “บรรดาหนังสือก็เปิดออก” หนังสือเหล่านี้บันทึกกิจการทั้งดีและชั่วของมนุษย์ (ยรม 17:1; สดด 40:8; 56:8; มลค 3:16; ลก 10:20; วว 20:12 เชิงอรรถ i) ส่วนเรื่อง “หนังสือแห่งชีวิต” ดู 12:1 เชิงอรรถ a

j การต่อชีวิตของอาณาจักรอื่นๆ เป็นระยะเวลาที่ไม่มีกำหนดนั้นไม่เป็นอันตรายต่อความเชื่อของประชากรของพระเจ้า เมื่อประชากรเป็นอิสระจากการปกครองของอาณาจักรเหล่านั้นแล้ว

k “บุตรแห่งมนุษย์” ก่อนอื่นหมายถึง “มนุษย์” โดยทั่วไป (ดู สดด 8:4) พระเจ้าทรงใช้วลีนี้เรียกประกาศกเอเสเคียล แต่ในหนังสือดาเนียล วลีนี้ยังชวนให้คิดถึงความหมายเพิ่มเติมที่หมายถึงปัจเจกบุคคลหนึ่ง ที่หนังสือนอกสารบบพระคัมภีร์ของชาวยิว (เอโนค, 2 เอสดรา) และธรรมประเพณีของธรรมาจารย์ตั้งแต่คริสตศตวรรษที๋ 2 ถึง 9 กล่าวถึง พระเยซูเจ้าทรงใช้วลีนี้หมายถึงพระองค์เอง (ดู มธ 8:20 เชิงอรรถ h) วลีนี้ยังมีความหมายโดยรวม หมายถึงประชากรของพระเจ้า ดังที่เข้าใจได้จากข้อ 18 และ 22 เพราะ “บุตรแห่งมนุษย์” และ “บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด” ดูเหมือนจะเป็นชนกลุ่มเดียวกัน แต่ความหมายโดยรวมเป็นการขยายความจากความหมายถึงปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง เพราะ “บุตรแห่งมนุษย์” เป็น “ผู้นำ” เป็น “ผู้แทน” และเป็น “รูปแบบ” ของ “บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้สูงสุด”

l “ทำให้ข้าพเจ้ากังวลใจ” เป็นการแปลโดยคาดคะเน

m “บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์” หมายถึง “ประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” เช่นเดียวกับใน 8:24; อสย 4:3; ดู อพย 19:6 เชิงอรรถ c; กดว 16:3

n “ให้ความยุติธรรมแก่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์” ยังแปลได้อีกว่า “มอบอำนาจพิพากษาให้แก่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์”

o “เปลี่ยนแปลง...ธรรมบัญญัติ” ชวนให้คิดถึงการที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงบังคับให้ชาวยิวปฏิบัติตามธรรมเนียมกรีก ทรงห้ามไม่ให้ฉลองวันสับบาโตและเทศกาลต่างๆ ตามธรรมบัญญัติ (เทียบ 1 มคบ 1:41-53)

p “สามปีครึ่ง” (ดู 4:13 เชิงอรรถ h) “สามปีครึ่ง” หรือ “ครึ่งสัปดาห์ของปี” (9:27) เป็นระยะเวลาโดยประมาณของการเบียดเบียนในรัชกาลกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนส (169-164 ก่อน ค.ศ.) ระยะเวลาเบียดเบียนเช่นนี้อาจถูกกล่าวถึงโดยใช้สำนวนอื่นอีก เช่น “1260 วัน” หรือ “42 เดือน” (เดือนหนึ่งมี 30 วัน เพราะฉะนั้น 42 x 30 = 1260) (ดู วว 11:2-3; 12:14; 13:5) ซึ่งระยะเวลานี้หมายถึงระยะเวลาที่จักรวรรดิโรมันเบียดเบียนพระศาสนจักร (ดู ลก 4:25 และ ยก 5:17 ด้วย) ในข้อความเหล่านี้ เช่นเดียวกับใน ดนล “สามปีครึ่ง” หมายถึงระยะเวลาแห่งความทุกข์ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นแก่ผู้มีความเชื่อในระยะเวลาจำกัด หลังจากนั้นเขาจะได้รับความช่วยเหลือให้พ้นทุกข์

ดาเนียลเห็นนิมิต – แกะเพศผู้และแพะเพศผู้

 

นิมิตที่ดาเนียลเห็น

8 1ปีที่สามในรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์a ข้าพเจ้า ดาเนียล เห็นนิมิตอีก หลังจากเห็นนิมิตครั้งแรกแล้วb 2ข้าพเจ้าเห็นนิมิตดังนี้ ขณะที่กำลังอยู่ที่นครสุสาc ซึ่งเป็นเมืองป้อมในแคว้นเอลาม นิมิตปรากฏขณะที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำอุลัยd ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นก็เห็นแกะเพศผู้eตัวหนึ่งยืนอยู่บนฝั่งแม่น้ำ มีเขาสองเขายาวมาก เขาหนึ่งยาวกว่าอีกเขาหนึ่ง และเขาที่ยาวกว่าfนั้นงอกขึ้นมาภายหลัง 4ข้าพเจ้าเห็นแกะเพศผู้ตัวนั้นกำลังขวิดไปทางตะวันตก ทางเหนือและทางใต้ ไม่มีสัตว์ตัวใดต้านทานมัน หรือช่วยให้พ้นจากอำนาจของมันได้ มันทำตามใจชอบของมันและมีอำนาจมากขึ้น

          5ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังไตร่ตรองอยู่นั้น แพะเพศผู้gตัวหนึ่งมาจากทิศตะวันตก เหาะข้ามทั่วแผ่นดินโดยไม่แตะต้องพื้นเลย แพะตัวนี้มีเขาเด่นใหญ่โตhเขาหนึ่งอยู่ระหว่างตา 6มันเข้ามาใกล้แกะเพศผู้ที่มีเขายาวสองเขา ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่บนฝั่งแม่น้ำ มันวิ่งเข้าชนแกะเพศผู้ตัวนั้นสุดกำลัง 7ข้าพเจ้าเห็นแพะเพศผู้ตัวนี้เข้าโจมตีแกะตัวนั้นด้วยความโกรธ มันขวิดจนทำให้เขาทั้งสองของแกะเพศผู้ตัวนั้นหัก แกะเพศผู้ไม่มีกำลังต้านทานมันได้ มันขวิดจนแกะเพศผู้ล้มลงที่พื้นและถูกเหยียบไว้ ไม่มีใครช่วยแกะเพศผู้ให้พ้นจากอำนาจของมันได้ 8แพะเพศผู้ก็มีอำนาจมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อมันมีอำนาจสูงสุด เขาเด่นใหญ่โตของมันก็หัก และเขาเด่นใหญ่โตอีกสี่เขาก็งอกขึ้นมาแทน หันไปทางทิศทั้งสี่ของท้องฟ้าi

          9มีเขาเล็กๆ เขาหนึ่งงอกขึ้นมาจากเขาเหล่านี้ มันขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างมากไปทางใต้ ทางตะวันออก และทางแผ่นดินรุ่งโรจน์j 10มันใหญ่ขึ้นจนถึงดวงดาวkบนท้องฟ้า มันโยนดวงดาวส่วนหนึ่งลงมาบนแผ่นดินและเหยียบไว้ 11มันใหญ่ขึ้นจนท้าทายหัวหน้าดวงดาวl ยกเลิกการถวายบูชาประจำวัน และทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกทิ้งร้าง 12กองทหารถูกกำหนดด้วยเจตนาร้ายให้มาขัดขวางการถวายบูชาประจำวันm เขาเล็กๆ นั้นเหวี่ยงความจริงลงพื้นดิน ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จทั้งนั้น

          13ข้าพเจ้าได้ยินผู้ศักดิ์สิทธิ์nท่านหนึ่งกำลังพูด และได้ยินผู้ศักดิ์สิทธิ์อีกท่านหนึ่งถามผู้ที่กำลังพูดอยู่oนั้นว่า “เหตุการณ์ในนิมิตนี้จะคงอยู่นานเท่าใด บาปน่ารังเกียจจะแทนที่การถวายบูชาประจำวันpนานเท่าใด สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และดวงดาวจะถูกเหยียบย่ำนานเท่าใด” 14ผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นตอบว่าq “นานหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบวันr แล้วสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์”s

ทูตสวรรค์กาเบรียลอธิบายความหมายของนิมิต

            15ขณะที่ข้าพเจ้า ดาเนียล เห็นนิมิตนี้และพยายามเข้าใจความหมาย ก็เห็นผู้หนึ่งเหมือนมนุษย์ยืนอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า 16ข้าพเจ้าได้ยินเสียงชายผู้หนึ่งตะโกนอยู่ริมแม่น้ำอุลัยtว่า “กาเบรียลเอ๋ย จงอธิบายความหมายของนิมิตนี้ให้เขาฟังเถิด” 17กาเบรียลจึงเข้ามาใกล้ที่ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ และเมื่อเขามาแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกกลัว กราบลงหน้าจรดพื้นดิน แต่เขาพูดว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเข้าใจเถิดว่านิมิตนี้เป็นเรื่องวาระสุดท้ายของโลก” 18ขณะที่เขากำลังพูด ข้าพเจ้ายังกราบหน้าจรดพื้นและหมดสติไป แต่เขาสัมผัสข้าพเจ้า พยุงให้ยืนขึ้น 19เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าต้องการเปิดเผยให้ท่านรู้สิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพระพิโรธuจะถึงจุดจบ เพราะนิมิตนี้เกี่ยวข้องกับวาระสุดท้ายของโลก 20แกะเพศผู้ที่ท่านได้เห็นมีสองเขาหมายถึงกษัตริย์ของชาวมีเดียและกษัตริย์ของชาวเปอร์เซีย 21ส่วนแพะเพศผู้หมายถึงกษัตริย์ของชาวกรีก และเขาเด่นใหญ่โตระหว่างตาหมายถึงกษัตริย์องค์แรก 22ส่วนเขาอีกสี่เขาที่งอกขึ้นแทนเขาที่หักไปนั้นหมายถึงอาณาจักรสี่อาณาจักรซึ่งจะเกิดขึ้นจากอาณาจักรนั้น แต่จะไม่มีอำนาจเทียบเท่ากับอาณาจักรแรกนั้น

          23ตอนปลายของอาณาจักรเหล่านี้ เมื่อความชั่วร้ายจะถึงที่สุดv

                    จะมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งขึ้นครองราชย์ พระองค์จะทรง “เจ้าเล่ห์และไร้ยางอาย”

          24อำนาจของพระองค์จะขยายมากขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะพลังของตนw

                    พระองค์จะทรงนำหายนะยิ่งใหญ่ x

          จะทรงประสบความสำเร็จในการกระทำ

                    จะทรงทำลายบรรดาผู้ทรงอำนาจและประชากรบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์

          25พระองค์จะทรงใช้ความฉลาดล่อลวงคนทั้งหลาย

                    พระทัยของพระองค์จะหยิ่งผยองขึ้น

          พระองค์จะทรงทำลายคนจำนวนมากโดยฉับพลัน

                    พระองค์จะทรงลุกขึ้นต่อสู้กับเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่

          จะทรงถูกทำลาย แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์y

          26คำอธิบายนิมิตเรื่องยกเลิกการถวายบูชาเวลาเย็นและเวลาเช้านี้เป็นความจริง

                    แต่ท่านจงเก็บนิมิตนี้ไว้เป็นความลับเถิด

เพราะกว่าเหตุการณ์ที่กล่าวถึงจะเกิดขึ้นก็เป็นเวลาอีกนานในอนาคต”z

27ข้าพเจ้า ดาเนียล หมดเรี่ยวแรงและป่วยอยู่หลายวัน แล้วข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นไปปฏิบัติราชการต่อไป แต่ข้าพเจ้าก็ยังกังวลใจ เพราะไม่เข้าใจความหมายของนิมิตนั้น

8 a ตั้งแต่ตรงนี้ไป ต้นฉบับหนังสือดาเนียลกลับมาเป็นภาษาฮีบรูอีกครั้งหนึ่ง หลังจากใช้ภาษาอาราเมอิกมาตั้งแต่ 2:4 “กษัตริย์เบลชัสซาร์” ดู 5:1 เชิงอรรถ a

b “นิมิตครั้งแรก” หมายถึงนิมิตที่เล่าในบทที่ 7 ซึ่งมีความหมายคล้ายกับนิมิตซึ่งจะเล่าอีกแบบหนึ่งในบทที่ 8 นี้

c “นครสุสา” เป็นราชธานีแห่งหนึ่งของกษัตริย์ในราชวงศ์อัคเมนิด เราไม่รู้ว่าขณะนั้นดาเนียลอยู่ที่นครสุสา หรือเพียงแต่เห็นนครสุสาในนิมิตเท่านั้น

d “แม่น้ำอุลัย” เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านนครสุสา  “ริมฝั่งแม่น้ำ” แปลโดยคาดคะเน เพราะคำภาษาฮีบรูคำนี้พบเพียงในข้อ 2,3 และ 6 เท่านั้น บางคนแปลว่า “ประตู” ตามสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

e “แกะเพศผู้” ความหมายของสัญลักษณ์ “แกะเพศผู้” และ “แพะเพศผู้” ดู อสค 34:17ฯ; ศคย 10:3

f “เขาที่ยาวกว่า” หมายถึงอำนาจของอาณาจักรเปอร์เซียซึ่งพิชิตอาณาจักรของชาวมีเดียและเข้าปกครองดินแดนที่เคยอยู่ใต้อำนาจปกครองของอาณาจักรนี้ (ดู ข้อ 20)

g “แพะเพศผู้” หมายถึงกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช (เทียบ ข้อ 21 และ 2:40; 7:7; 11:3)

h “มีเขาเด่นใหญ่โต” แปลโดยคาดคะเน

i ข้อนี้หมายถึงการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งทำให้อาณาจักรของพระองค์ต้องแบ่งเป็นสี่ส่วน ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงอาณาจักรส่วนที่เป็นของราชวงศ์เซเลวซิดแห่งซีเรียเท่านั้น เช่นเดียวกับใน 7:7 แต่ในที่นี้กล่าวถึงเพียงแต่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนส (ข้อ 9) โดยไม่กล่าวถึงกษัตริย์พระองค์อื่นก่อนหน้านั้น

j “แผ่นดินรุ่งโรจน์” หมายถึงแผ่นดินปาเลสไตน์

k “ดวงดาว” หมายถึงทูตสวรรค์และบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ประชากรของพระเจ้า (ดู 12:3; มธ 13:43)

l “หัวหน้าดวงดาว” หมายถึง “พระเจ้า”

m “กองทหาร…ถวายบูชาประจำวัน” แปลโดยคาดคะเน ต้นฉบับภาษาฮีบรูไม่ชัดเจน อาจหมายถึงการที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงห้ามมิให้มีการถวายบูชาประจำวันแด่พระเจ้า

n “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” อาจหมายถึง “ทูตสวรรค์” (ดู 4:10 เชิงอรรถ f)

o “ถามผู้ที่กำลังพูดอยู่” แทนที่ดาเนียลจะเป็นผู้ถามคำถามนี้ กลับเล่าว่าตนได้ยินทูตสวรรค์สนทนากัน วิธีเขียนเช่นนี้ยังพบได้อีกใน ศคย 1:8-17

p “การถวายบูชาประจำวัน” แปลโดยคาดคะเน ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX ว่า “การถวายบูชาประจำวันถูกยกเลิก”

q “ตอบว่า” แปลตามตัวอักษรว่า “ตอบแก่ข้าพเจ้าว่า” แต่สำนวนแปลโบราณว่า “ตอบแก่เขา” ซึ่งหมายถึง “แก่ผู้ถาม”

r “หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบวัน” ตามตัวอักษรว่า “สองพันสามร้อยเวลาเย็นและเวลาเช้า” หมายถึงการถวายบูชาตอนเย็น “หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบครั้ง” และการถวายบูชาตอนเช้า “หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบครั้ง” จำนวน “หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบวัน” เกือบเท่ากับ “สามปีครึ่ง” (คือ “หนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน”) ใน 7:25 ซึ่งอาจหมายถึงระยะเวลาที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงเบียดเบียนชาวยิวก็ได้

s “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” วลีนี้มีความหมายมากกว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในช่วงระยะเวลานั้น แต่ยังหมายถึงยุคของพระเมสสิยาห์อีกด้วย

t “ตะโกนอยู่ริมแม่น้ำอุลัย” บางคนแปลว่า “ตะโกนผ่านประตูอุลัย” (เทียบ ข้อ 2 เชิงอรรถ d)

u “พระพิโรธ” หมายถึงเวลาแห่งความทุกข์ที่พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าและทรงกำหนดไว้ (เทียบ 11:36; 1 มคบ 1:64; อสย 10:25; 26:20)

v “ความชั่วช้าจะถึงที่สุด” แปลตามตัวอักษรว่า “ความครบครันของการล่วงละเมิด”

w “ไม่ใช่เพราะพลังของตน” ผู้เบียดเบียนชาวยิวเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อลงโทษประชากรของพระองค์

x “นำหายนะยิ่งใหญ่” บางคนแปลโดยคาดคะเนว่า “วางแผนการใหญ่โต”

y “ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์” อาจพาดพิงถึงเหตุการณ์สองเรื่อง คือการที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสสิ้นพระชนม์โดยไม่ถูกปลงพระชนม์ แต่เพราะความเศร้าพระทัย (ดู 1 มคบ 6:8-16; 2 มคบ 9) หรืออาจหมายความว่าผู้เบียดเบียนชาวยิวไม่ว่าจะมีชัยชนะหรือตาย (ข้อ 24) ก็เป็นการกระทำของพระเจ้าแต่พระองค์เดียวเท่านั้น (เทียบ 2:34)

z นิมิตที่ดาเนียลเห็นไม่เหมือนกับนิมิตที่ประกาศกเอเสเคียลได้เห็นและเป็นความจริงเกือบในทันที (อสค 12:21-28) ส่วนนิมิตที่ดาเนียลเห็นจะเป็นจริงในอนาคตห่างไกลเท่านั้น (เทียบ 12:4, 9-13)

คำพยากรณ์ถึงเจ็ดสิบสัปดาห์ในอนาคต

 

คำอธิษฐานภาวนาของดาเนียล

9 1ปีที่หนึ่งในรัชกาลกษัตริย์ดาริอัสพระโอรสของกษัตริย์อาหสุเอรัส เชื้อพระวงศ์ชาวมีเดียทรงครองราชย์เหนืออาณาจักรของชาวเคลเดียa 2เมื่อทรงครองราชย์เป็นปีแรก ข้าพเจ้า ดาเนียล อ่านพระคัมภีร์ พยายามเข้าใจจำนวนปีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้แก่ประกาศกเยเรมีย์ว่า กรุงเยรูซาเล็มจะเป็นสิ่งปรักหักพังอยู่นานเจ็ดสิบปี 3ข้าพเจ้าจึงหันหน้าไปหาพระเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่ออธิษฐานและวอนขอพระองค์ด้วยการจำศีลอดอาหาร สวมผ้ากระสอบและโปรยเถ้าบนศีรษะ 4ข้าพเจ้าได้อธิษฐานภาวนาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และสารภาพbว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ 5ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป ทำผิด ประพฤติชั่วร้าย เป็นกบฏ หันเหไปจากบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ 6ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งพูดในพระนามพระองค์ต่อบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านาย บรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อประชากรทั้งมวลของแผ่นดิน 7ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความเที่ยงธรรมเป็นของพระองค์ ส่วนความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นของชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และชาวอิสราเอลทั้งมวล ทั้งเป็นของผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ทรงบันดาลให้เขาไปอยู่อย่างกระจัดกระจาย เพราะความทรยศซึ่งเขาได้ทำต่อพระองค์ 8ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นของบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านายและบรรดาบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ 9ส่วนพระกรุณาและการอภัยโทษเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ที่ได้กบฏต่อพระองค์ 10มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พระองค์ประทานให้โดยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์ 11ชาวอิสราเอลทุกคนได้ละเมิดธรรมบัญญัติของพระองค์ และได้หันเหไปเพื่อไม่ต้องฟังพระสุรเสียงของพระองค์ การสาปแช่งที่บันทึกไว้เป็นคำสาบานในธรรมบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกอยู่เหนือข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะได้ทำบาปผิดต่อพระองค์ 12พระองค์ทรงกระทำตามพระวาจาที่ได้ตรัสกล่าวโทษข้าพเจ้าทั้งหลาย และบรรดาผู้ปกครองcโดยทรงนำภัยพิบัติให้ลงมาเหนือข้าพเจ้าทั้งหลายที่กรุงเยรูซาเล็ม เป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงที่ไม่เคยเกิดขึ้นใต้ท้องฟ้านี้เลย 13ภัยพิบัติทั้งหมดนี้เกิดขึ้นดังที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้ทูลวอนขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้กลับใจละทิ้งความชั่วร้าย และมิได้ใส่ใจต่อความจริงของพระองค์ 14พระยาห์เวห์ทรงเก็บภัยพิบัติdไว้ และทรงส่งลงมาเหนือข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายทรงเที่ยงธรรมในพระราชกิจที่ทรงกระทำ แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายก็มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 15บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ และทรงสร้างชื่อเสียงที่ยังคงอยู่จนทุกวันนี้ แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป ประพฤติชั่วร้าย 16ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเห็นแก่พระราชกิจเที่ยงธรรมeทั้งมวล ขอให้พระพิโรธและความกริ้วของพระองค์พ้นไปจากกรุงเยรูซาเล็มนครของพระองค์ และพ้นจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ กรุงเยรูซาเล็มและประชากรของพระองค์กลายเป็นที่เยาะเย้ยของทุกชนชาติที่อยู่โดยรอบ เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาป และบรรพบุรุษของข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิดต่อพระองค์ 17บัดนี้ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาและคำวอนขอของผู้รับใช้พระองค์f ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเห็นแก่พระองค์g โปรดให้พระพักตร์ทอแสงเหนือสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซึ่งถูกทำลาย 18ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดทรงเอียงพระกรรณฟัง โปรดทรงเปิดพระเนตรดูสิ่งปรักหักพังของข้าพเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งนครซึ่งเป็นที่เรียกขานพระนามพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายนำคำวอนขอมาถวายเฉพาะพระพักตร์ มิใช่เพราะกิจการดีที่ได้ทำ แต่เพราะพระกรุณายิ่งใหญ่ของพระองค์ 19ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟัง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงให้อภัย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงใส่พระทัยและโปรดกระทำทันทีเพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะนครนี้และประชากรของพระองค์เรียกขานพระนามพระองค์”

ทูตสวรรค์กาเบรียลอธิบายความหมายของคำพยากรณ์

            20ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูด กำลังอธิษฐานภาวนาและสารภาพบาปของข้าพเจ้า และบาปของอิสราเอลประชากรของข้าพเจ้า พร้อมกับนำคำวอนขอมาถวายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าของข้าพเจ้าอยู่นั้น 21ขณะที่กำลังพูดและอธิษฐานภาวนา กาเบรียลผู้ที่ข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตแต่ก่อนนั้น บินอย่างรวดเร็วมาพบข้าพเจ้าhในเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น 22เขามาiอธิบายเรื่องราวแก่ข้าพเจ้า พูดว่า “ดาเนียลเอ๋ย บัดนี้ ข้าพเจ้าออกมาช่วยท่านให้มีความรู้และความเข้าใจ 23เมื่อท่านเริ่มวอนขอ พระเจ้าก็ตรัสพระวาจาหนึ่งที่ข้าพเจ้านำมาแจ้งให้ท่านรู้ เพราะท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักมากj ดังนั้น จงตั้งใจฟังคำนั้นและเข้าใจนิมิตเถิดk

          24“วาระเจ็ดปีเจ็ดสิบวาระlเป็นเวลาที่ทรงกำหนดไว้

สำหรับประชากรของท่านและสำหรับนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

เพื่อให้การละเมิดจบสิ้น

เพื่อเลิกการทำบาป ชดเชยความชั่วร้าย

นำความชอบธรรมนิรันดรเข้ามา

เพื่อประทับตรารับรองmนิมิตและคำพยากรณ์

และเพื่อเจิมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดn

25จงรู้และเข้าใจเถิดว่า

นับตั้งแต่มีพระดำรัส

ให้ชาวยิวกลับจากเนรเทศและสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่

จนถึงเวลาของผู้นำที่รับเจิมo

จะต้องผ่านวาระเจ็ดปีเจ็ดวาระและหกสิบสองวาระ

เมืองนี้จะสร้างขึ้นใหม่โดยมีลานสาธารณะและคูเมืองp

            แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ลำบาก

          26เมื่อวาระเจ็ดปีหกสิบสองวาระครบแล้ว

                    ผู้รับเจิมท่านหนึ่งqจะถูกกำจัดไปโดยไม่มีความผิดr

          แล้วผู้นำคนหนึ่งกับกองทัพจะมาทำลายเมืองและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

                    จุดจบของผู้นำนี้จะเป็นเสมือนน้ำท่วม

          จะมีสงครามและการทำลายจนถึงวาระสุดท้าย

                    ดังที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้s        

          27ในวาระเจ็ดปีสุดท้ายนี้

ผู้นำท่านนั้นจะทำพันธสัญญามั่นคงกับคนจำนวนมากt

จะสั่งให้เลิกการถวายบูชาและของถวายอื่นๆu

เป็นเวลาครึ่งวาระเจ็ดปี

ทางด้านหนึ่งของพระวิหารv

เขาจะตั้งรูปผู้ทำลายที่น่ารังเกียจw

จนถึงวาระสุดท้าย เมื่อหายนะที่ถูกกำหนดไว้จะลงมาเหนือผู้ทำลายนี้”

9 a เรื่องกษัตริย์ดาริอัส ดู 6:1 เชิงอรรถ a และ 7:5 เชิงอรรถ a

b บทภาวนาต่อไปนี้ชวนให้คิดถึงเรื่องราวหลายตอนในพระคัมภีร์ เป็นบทภาวนาที่มีลักษณะคล้ายกับบทภาวนาของอาซาริยาห์ (3:24-45) บรค บทที่ 1 และบทที่ 2 ก็เขียนตามแบบของคำภาวนาบทนี้

c “ผู้ปกครอง” แปลตามตัวอักษรว่า “บรรดาผู้พิพากษาผู้ตัดสินข้าพเจ้าทั้งหลาย” คำว่า “พิพากษา” หรือ “ตัดสิน” ในภาษาฮีบรูยังมีความหมายว่า “ปกครอง” อีกด้วย เพราะการพิจารณาคดีเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ต้องให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนใต้ปกครองของตน

d “ทรงเก็บภัยพิบัติ” แปลตามตัวอักษรว่า “ทรงเฝ้าภัยพิบัติ” คำว่า “เฝ้า” ยังมีความหมายอีกว่า “รอเวลา” ที่จะทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นความจริง รากศัพท์ภาษาฮีบรูของคำว่า “เฝ้า” ยังมีเสียงคล้ายกับคำว่า “ต้นอัลมอนด์” ซึ่งประกาศกเยเรมีย์จะใช้เป็นสัญลักษณ์ของการรอคอยก่อนที่พระเจ้าจะทรงส่งภัยพิบัติมาลงโทษประชากรอิสราเอล (ยรม 1:11-12; เทียบ 31:28; 44:27)

e “พระราชกิจเที่ยงธรรม” หมายถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยประชากรอิสราเอลให้รอดพ้น และทรงลงโทษศัตรูของอิสราเอลในอดีต

f “ผู้รับใช้พระองค์” เทียบ 1 พกษ 8:23; นหม 1:6,11; สดด 130:2

g “เพราะเห็นแก่พระองค์” แปลตามสำนวนแปลโบราณของเทโอโดซีโอน และตามข้อ 19 แปลตามตัวอักษรว่า “เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า”

h “บินอย่างรวดเร็วมาพบข้าพเจ้า” แปลตามตัวอักษรว่า “บินอย่างเร็วมาสัมผัสข้าพเจ้า”

i “เขามา” แปลตามต้นฉบับภาษากรีก LXX และสำนวนแปลโบราณภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “เขาบอกข้าพเจ้า”

j “ผู้ที่พระเจ้าทรงรักมาก” เราจะพบวลีนี้อีกใน 10:11, 19

k คำพยากรณ์ต่อไปนี้กล่าวพาดพิงถึงการที่กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงเบียดเบียนชาวยิว เช่นเดียวกับในบทที่ 8 และ 10 แต่ลีลาการเขียนที่นี่ทำให้ข้อความเป็นเพียงปริศนาที่ชวนให้คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่กล่าวนามของผู้เกี่ยวข้อง และกล่าวถึงบุคคลต่างๆ อย่างคลุมเครือไม่เจาะจง ชวนให้คิดว่าคำพยากรณ์มีความหมายมากกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยเท่านั้น

l “วาระเจ็ดปีเจ็ดสิบวาระ” แปลตามตัวอักษรว่า “เจ็ดสิบสัปดาห์” เลข 70 หมายถึงความสมบูรณ์ ระยะเวลา 70 ปีในที่นี้นับตั้งแต่วันที่ประกาศกเยเรมีย์ได้รับการเปิดเผย (ข้อ 25) จนถึงวันที่ชาวยิวกลับจากเนรเทศที่กรุงบาบิโลนมาสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่โดยประมาณ (2 พศด 26:22-23 = อสร 1:1-2) ประกาศกกล่าวถึงการกลับจากเนรเทศเป็นการที่คำทำนายนี้ของประกาศกเยเรมีย์เป็นความจริงเมื่อกษัตริย์ไซรัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้ชาวยิวกลับไปยังแผ่นดินบ้านเกิดในปี 538 ก่อน ค.ศ. ส่วนระยะเวลา 70 สัปดาห์หรือ 490 ปี เป็นการประมาณเวลาถึงการที่พระเจ้าจะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นโดยสมบูรณ์หลังการเบียดเบียนของกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนส ซึ่งผู้เขียนยังไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร

m “ประทับตรารับรอง” ยังมีความหมายว่า “จะเป็นความจริงโดยสมบูรณ์”

n “เจิมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” หมายถึงการที่ยูดาสมัคคาบีจะชำระพระวิหารในวันที่ 14 ธันวาคม ปี 164 ก่อน ค.ศ. ซึ่งอาจรวมการเจิมพระแท่นบูชาและมหาสมณะด้วย (ดู 1 พศด 23:13)

o “ผู้นำที่รับเจิม” คำว่า “ผู้รับเจิม” ในภาษาฮีบรูคือ “เมสสิยาห์” (ดู อพย 30:22 เชิงอรรถ d; 1 ซมอ 9:26 เชิงอรรถ n; อสย 45:1)

p “มีลานสาธารณะและคูเมือง” หมายถึงการบูรณะกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ในสมัยชาวเปอร์เซียปกครอง

q “ผู้รับเจิมท่านหนึ่ง” คงหมายถึงมหาสมณะโอนีอัสที่ 3 ซึ่งถูกผู้สนับสนุนกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสปลดจากตำแหน่งในปี 175 ก่อน ค.ศ. และประหารชีวิตเมื่อปี 170 ก่อน ค.ศ. (ดู 2 มคบ 4:30-38) “ผู้รับเจิม” ผู้นี้ยังอาจเป็นบุคคลเดียวกันที่ได้รับนามว่า “เจ้านายแห่งพันธสัญญา” ใน 11:22 ก็ได้

r “โดยไม่มีความผิด” แปลตามสำนวนแปลโบราณของเทโอโดซีโอน ต้นฉบับภาษาฮีบรูไม่สมบูรณ์ มีเพียงคำว่า “ไม่มี...” เฉยๆ

s ดู 8:25 เชิงอรรถ y

t “คนจำนวนมาก” หมายถึงชาวยิวที่สนับสนุนนโยบายกรีกนิยมของกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนส (ดู 11:32; 1 มคบ 1:43; 2 มคบ 4:10) พวกเหล่านี้เป็นศัตรูกับชาวยิวที่จงรักภักดีต่อพระยาห์เวห์และธรรมบัญญัติตลอดมาในสมัยของพวกมัคคาบี

u “สั่งให้เลิกการถวายบูชาและของถวายอื่นๆ” หมายถึงการกระทำเพื่อดูหมิ่นพระยาห์เวห์ตามพระบัญชาของกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนส ไม่ได้หมายความว่าพันธสัญญาใหม่จะมาแทนที่พันธสัญญาเดิม

v “ทางด้านหนึ่งของพระวิหาร” แปลตามตัวอักษรว่า “ทางปีกหนึ่ง”

w “ผู้ทำลายที่น่ารังเกียจ” สำนวนนี้ชวนให้คิดถึงรูปเทพเจ้าที่ชนต่างชาตินับถือ และบ่อยๆ ชาวอิสราเอลถูกบังคับให้ตั้งรูปเคารพของเทพเจ้าเหล่านี้ (เช่น พระบาอัล) ในพระวิหาร แต่ข้อความนี้น่าจะหมายโดยเฉพาะถึงรูปเคารพของเทพเจ้าซูสซึ่งชาวกรีกนับถือที่ภูเขาโอลิมปัสและกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงสั่งให้สร้างในบริเวณพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม (ดู 2 มคบ 6:2)

นิมิตยิ่งใหญ่

 เวลาที่พระเจ้าทรงลงโทษ

 

นิมิตเห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าลินิน

10 1ปีที่สามในรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พระเจ้าทรงเปิดเผยพระวาจาแก่ดาเนียล ผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่า เบลเทชัสซาร์ พระวาจานี้เป็นจริง กล่าวถึงสงครามยิ่งใหญ่a เขาเข้าใจพระวาจานี้โดยเห็นนิมิต

          2เวลานั้น ข้าพเจ้า ดาเนียล ไว้ทุกข์อยู่สามสัปดาห์ 3ไม่ได้กินอาหารอร่อย ทั้งเนื้อและเหล้าองุ่นไม่ได้เข้าปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้น้ำมันหอมชโลมตัวเลยตลอดสามสัปดาห์ 4วันที่ยี่สิบสี่เดือนที่หนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่บนฝั่งแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำไทกริส 5ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าลินิน มีเข็มขัดทองคำบริสุทธิ์คาดสะเอวไว้

6ร่างกายของเขาเป็นเหมือนเพทาย

ใบหน้าของเขาเหมือนฟ้าแลบ

ดวงตาของเขาเหมือนคบเพลิง

แขนและขาเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์สุกใส

และเสียงถ้อยคำของเขาเหมือนเสียงผู้คนจำนวนมาก

7ข้าพเจ้า ดาเนียลแต่ผู้เดียวเห็นนิมิตนั้น คนที่อยู่กับข้าพเจ้าไม่เห็นนิมิต แต่เขากลัวตัวสั่นมากจนวิ่งไปหลบซ่อน 8ข้าพเจ้าอยู่แต่ลำพัง พิจารณาดูนิมิตยิ่งใหญ่นี้ ข้าพเจ้าสิ้นแรง หน้าตาสุกใสของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าซีด ข้าพเจ้าหมดแรง 9ข้าพเจ้าได้ยินเสียงถ้อยคำของเขา แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเสียงถ้อยคำนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นลม ล้มลงหน้าฟุบกับพื้นดิน

ทูตสวรรค์ปรากฏ

            10ทันใดนั้น มือหนึ่งมาสัมผัสข้าพเจ้า พยุงข้าพเจ้าที่กำลังตัวสั่นให้คุกเข่า เอามือยันพื้นไว้ 11เขาบอกข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย ผู้ที่พระเจ้าทรงรักมาก จงเข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากำลังจะพูดกับท่าน จงยืนตรง เพราะบัดนี้พระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาพบท่าน” เมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยืนขึ้นตัวสั่น 12เขาพูดต่อไปว่า “ดาเนียลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านพยายามเข้าใจ และถ่อมตนลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของท่านนั้น พระองค์ทรงฟังถ้อยคำของท่าน และข้าพเจ้าก็มาเพราะถ้อยคำของท่านด้วย 13เจ้านายของอาณาจักรเปอร์เซียขัดขวางข้าพเจ้าไว้เป็นเวลายี่สิบเอ็ดวัน แต่มีคาเอลbเจ้านายผู้หนึ่งชั้นหัวหน้ามาช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงละเขาไว้ที่นั่นcให้อยู่กับบรรดากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย 14ข้าพเจ้ามาอธิบายให้ท่านเข้าใจเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่ประชากรของท่านในอนาคต เพราะยังมีนิมิตเกี่ยวกับวันเหล่านั้น”

          15ขณะที่เขากำลังพูดกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ก้มหน้าสู่พื้นดินพูดไม่ออก 16แต่ผู้หนึ่งมีรูปร่างมนุษย์มาสัมผัสริมฝีปากของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็อ้าปากพูดได้อีก และพูดกับผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะนิมิตนี้และหมดแรง 17ผู้รับใช้ผู้นี้ของเจ้านายของข้าพเจ้าจะพูดกับเจ้านายได้อย่างไร เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าไม่มีกำลังเหลืออยู่เลยจนหายใจไม่ออก” 18แล้วผู้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผู้นั้นสัมผัสข้าพเจ้าอีก คืนกำลังให้ข้าพเจ้า พูดว่า 19“ผู้ที่พระเจ้าทรงรักมาก อย่ากลัวเลย สันติสุขจงอยู่กับท่าน จงมีกำลังใจและมีพลังเข้มแข็งเถิด” ขณะที่เขากำลังพูดกับข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกมีกำลังขึ้น จึงพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าจงพูดเถิด เพราะท่านให้กำลังแก่ข้าพเจ้าแล้ว”

การเกริ่นถึงคำพยากรณ์d

          20เขาจึงพูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงมาพบท่าน บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปต่อสู้กับเจ้านายแห่งเปอร์เซียอีก และขณะที่ข้าพเจ้าออกไป เจ้านายแห่งกรีซeก็จะมา 21ข้าพเจ้าจะแจ้งให้ท่านรู้สิ่งที่มีเขียนไว้ในหนังสือแห่งความจริง ไม่มีผู้ใดช่วยข้าพเจ้าต่อสู้เจ้านายเหล่านี้ นอกจากมีคาเอลเจ้านายของท่านทั้งหลาย”

10 a “สงครามยิ่งใหญ่” เราไม่รู้แน่ว่าสงครามนี้หมายถึงสงครามอะไร อาจเป็นสงครามระหว่างทูตสวรรค์ (“เจ้านาย” ในข้อ 12-21) หรือสงครามระหว่างราชวงศ์เซเลวซิดและราชวงศ์โทเลมีในบทที่ 11

b “มีคาเอล” ทูตสวรรค์ที่ต่อสู้กับซาตานใน ศคย 3:1-2 ได้ชื่อว่า “มีคาเอล” ซึ่งแปลว่า “ใครเหมือนพระเจ้า” ใน ยด 9 ทูตสวรรค์มีคาเอลไม่ยอมปรักปรำลงโทษซาตานด้วยตนเอง แต่ปล่อยให้พระเจ้าทรงลงโทษ วว 12:7-12 ยังกล่าวถึงการต่อสู้ของมีคาเอลกับซาตาน มีคาเอลยังเป็นทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ประชากรของพระเจ้า (ดนล 10:21 และ 12:1) (ดู อพย 23:20 เชิงอรรถ i) “เจ้านายแห่งเปอร์เซีย” คงจะหมายถึงทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ชาวเปอร์เซียซึ่งเป็นองค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ชาติต่างๆ ที่เป็นศัตรูของอิสราเอล การต่อสู้ลึกลับนี้ระหว่างทูตสวรรค์เน้นว่าชะตากรรมของชาติต่างๆ เป็นความลับที่พระเจ้าทรงทราบแต่เพียงพระองค์เดียว จนกว่าจะทรงเปิดเผยให้แก่ผู้ที่ทรงโปรดปราน แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ยังไม่รู้ก่อนจะรับการเปิดเผยนี้

c “ละเขาไว้ที่นั่น” แปลตามต้นฉบับภาษากรีก ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “ข้าพเจ้าถูกละทิ้งไว้ที่นั่น”

d ในวรรณกรรมประเภทวิวรณ์ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมีบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วในสวรรค์ ทูตสวรรค์ได้รับคำสั่งให้มาแจ้งเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นจนถึงสมัยที่ชาวกรีกจะปกครองชาวยิว ทูตสวรรค์จึงหยุดต่อสู้กันมาแจ้งเรื่องราวให้ดาเนียลรู้

e “กรีซ” แปลตามตัวอักษรว่า “ยาวาน”

11 1ข้าพเจ้าเคยอยู่กับเขา เพื่อเสริมกำลังช่วยเหลือเขาในปีแรกแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัสชาวมีเดีย 2บัดนี้ ข้าพเจ้าจะแจ้งความจริงให้ท่านรู้

กษัตริย์ราชวงศ์เซเลวซิดกับราชวงศ์โทเลมี

          กษัตริย์สามพระองค์aจะปกครองอาณาจักรเปอร์เซียต่อไป และกษัตริย์องค์ที่สี่จะทรงสะสมทรัพย์สมบัติมากกว่ากษัตริย์พระองค์อื่นทั้งหมด เมื่อพระองค์ทรงอำนาจเพราะความร่ำรวยนี้แล้ว พระองค์ก็จะทรงรวบรวมกำลังพลทั้งหมดไปต่อสู้กับอาณาจักรกรีก 3แต่กษัตริย์ทรงอานุภาพพระองค์หนึ่งจะทรงขึ้นมาปกครองอาณาจักรยิ่งใหญ่ และจะทรงกระทำตามที่พอพระทัย 4เมื่อพระอานุภาพตั้งมั่นได้แล้ว ราชอาณาจักรของพระองค์ก็จะแตกและถูกแบ่งแยกออกตามทิศทั้งสี่ แต่จะไม่มีราชวงศ์สืบราชสมบัติb ราชอาณาจักรของพระองค์จะถูกแบ่งและยกให้แก่ผู้อื่นที่ไม่ใช่เชื้อสายของพระองค์ และเขาเหล่านี้จะไม่มีอำนาจเท่าเทียมกับพระองค์

          5กษัตริย์ทิศใต้cจะทรงเข้มแข็ง แต่แม่ทัพคนหนึ่งของพระองค์จะเข้มแข็งกว่าพระองค์ และจะปกครองอาณาจักรใหญ่กว่าอาณาจักรของพระองค์ 6ไม่กี่ปีต่อมา กษัตริย์ทิศใต้จะทรงทำสนธิสัญญาdกับกษัตริย์ทิศเหนือ และประทานพระธิดาให้เป็นมเหสีของกษัตริย์ทิศเหนือเพื่อรับรองมิตรภาพ แต่พระนางจะทรงรักษาพระอำนาจไว้ไม่ได้ ราชวงศ์จะไม่มั่นคง พระนางจะถูกปลงพระชนม์พร้อมกับผู้ติดตาม พระโอรสe และพระสวามีf

          ในสมัยนั้น 7หน่อจากรากของพระนางจะขึ้นมาแทนที่ และจะยกทัพมาต่อสู้กับกำลังพลและป้อมปราการของกษัตริย์ทิศเหนือ จะสู้รบและมีชัยชนะg 8เขาจะขนบรรดารูปเคารพ ภาชนะมีค่าทำด้วยเงินและทองคำที่ถวายแด่เทพเจ้าไปอียิปต์hเป็นของเชลย แล้วจะไม่ไปสู้รบกับกษัตริย์ทิศเหนืออีกหลายปี 9กษัตริย์ทิศเหนือจะยกทัพมาต่อสู้กับกษัตริย์ทิศใต้ แต่จะต้องทรงถอยทัพกลับไปยังแผ่นดินของพระองค์ 10พระโอรสทั้งสองพระองค์iของกษัตริย์ทิศเหนือจะทรงเตรียมกำลังพลจำนวนมาก พระโอรสพระองค์หนึ่งjจะทรงยกทัพมาเหมือนน้ำท่วมข้ามแผ่นดิน แล้วจะทรงกลับมาทำสงครามจนถึงป้อมปราการของศัตรู 11กษัตริย์ทิศใต้จะกริ้วมาก จะทรงยกทัพออกมาต่อสู้กับกษัตริย์ทิศเหนือ ซึ่งจะทรงจัดกองทัพใหญ่ แต่กองทัพนี้จะตกอยู่ในอำนาจของกษัตริย์ทิศใต้ 12และจะถูกทำลาย พระทัยของกษัตริย์ทิศใต้จะหยิ่งผยองขึ้น และแม้จะทรงทำลายกำลังเป็นหมื่นๆ คนแล้ว ก็ยังไม่ทรงชนะอย่างเด็ดขาด 13กษัตริย์ทิศเหนือจะทรงจัดกองทัพใหญ่อีก มีกำลังพลมากกว่าเดิม อีกสองสามปีต่อมาก็จะทรงยกกองทัพใหญ่นี้มาพร้อมกับอุปกรณ์จำนวนสงครามมาก 14เวลานั้น คนจำนวนมากจะลุกขึ้นเป็นกบฏต่อกษัตริย์ทิศใต้ และคนโหดร้ายในหมู่ประชากรของท่านจะเป็นกบฏด้วย เพื่อทำให้นิมิตเป็นจริง แต่คนเหล่านี้จะไม่ประสบความสำเร็จ 15กษัตริย์ทิศเหนือจะทรงยกทัพมาล้อมเมืองป้อมและจะยึดได้ กำลังพลของทิศใต้จะต้านทานไม่ได้ แม้ทหารที่ชำนาญศึกก็ยังไม่มีกำลังต้านทานได้ 16กษัตริย์ผู้บุกรุกจะทรงทำตามพระทัย ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ พระองค์จะทรงตั้งมั่นอยู่ในแผ่นดินรุ่งโรจน์ และจะทรงนำหายนะมาทั่วแผ่นดินนั้น 17พระองค์ตั้งพระทัยจะยึดอาณาจักรทั้งหมดของกษัตริย์ทิศใต้ จะทรงทำพันธสัญญากับกษัตริย์ทิศใต้ และเพื่อจะทำลายราชอาณาจักรนั้นk จะทรงยกพระธิดาองค์หนึ่งlให้เป็นมเหสีของกษัตริย์ทิศใต้ แต่แผนการนี้ของพระองค์จะไม่ประสบผลสำเร็จ 18แล้วพระองค์จะทรงมุ่งหน้าไปทางเมืองชายทะเลm จะทรงยึดได้หลายเมือง แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะทำให้ความหยิ่งผยองของพระองค์จบสิ้น จนพระองค์ต้องทรงอับอาย

          19พระองค์จะทรงมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการของแผ่นดินของพระองค์ แต่จะทรงพ่ายแพ้ และสิ้นพระชนม์โดยไม่ทรงทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยn 20กษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งoจะทรงสืบตำแหน่งแทน และจะทรงส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บภาษีตลอดทั่วอาณาจักรรุ่งโรจน์ แต่ไม่กี่วันต่อมา พระองค์จะถูกปลงพระชนม์มิใช่ต่อหน้าสาธารณชนหรือในการรบp

กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนส

            21คนอัปยศคนหนึ่งqซึ่งไม่มีสิทธิเป็นกษัตริย์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์สืบต่อมา พระองค์จะเสด็จมาโดยฉับพลันและจะทรงใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงราชอาณาจักรนั้นมาได้ 22ไม่มีกองทัพใดต้านทานพระองค์ได้ เจ้านายแห่งพันธสัญญาrก็จะถูกประหารชีวิตด้วย 23ชนหลายชาติจะทำสนธิสัญญากับพระองค์ แต่พระองค์จะทรงใช้กลอุบายเพิ่มอำนาจยิ่งขึ้น แม้ทรงมีกำลังพลเพียงเล็กน้อย 24พระองค์จะทรงเข้ายึดครองแคว้นที่อุดมสมบูรณ์โดยไม่มีใครคาดล่วงหน้า จะทรงกระทำสิ่งที่พระบิดาและบรรพบุรุษไม่เคยทรงกระทำ ทรงแจกจ่ายของเชลยและทรัพย์สินที่ยึดมาได้ให้แก่ทหารของพระองค์s จะทรงวางแผนเข้ายึดป้อมปราการ แต่แผนการนี้ดำเนินอยู่ได้ไม่นาน

          25พระองค์จะทรงปลุกพลังและความกล้าหาญ ยกทัพใหญ่ไปต่อสู้กับกษัตริย์ทิศใต้t กษัตริย์ทิศใต้ก็จะทรงยกกองทัพใหญ่มาทำสงครามด้วย แต่จะทรงต้านทานไม่ได้ เพราะมีหลายคนคิดปองร้ายพระองค์ 26แม้กระทั่งผู้ร่วมโต๊ะกับพระองค์ก็ยังทรยศ กองทัพของพระองค์จะถูกทำลาย ผู้คนจำนวนมากจะล้มตาย

27กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงคิดแต่จะปองร้ายกัน แม้จะประทับนั่งที่โต๊ะเจรจา ก็จะตรัสมุสาตกลงกันไม่ได้ เพราะวาระสุดท้ายยังมาไม่ถึง 28กษัตริย์ทิศเหนือจะทรงนำทรัพย์สมบัติจำนวนมากเสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระองค์ และตั้งพระทัยจะทำลายประชากรแห่งพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ จะทรงกระทำตามแผนแล้วเสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระองค์ 29เมื่อถึงเวลาที่กำหนด พระองค์จะเสด็จกลับมาบุกรุกทิศใต้อีกu แต่ครั้งนี้เหตุการณ์จะไม่เป็นไปเหมือนครั้งก่อน 30กองเรือของชาวคิทธิมvจะมาขวางพระองค์ พระองค์จะทรงหมดกำลังพระทัยและถอยทัพกลับไป แล้วจะทรงหันมาต่อสู้กับพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะทรงกลับมาปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่ละทิ้งพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์w

31กำลังพลของพระองค์จะทำลายป้อมปราการและพระวิหารx ทำให้เป็นมลทิน จะให้ยกเลิกการถวายบูชาประจำวัน จะตั้งรูปผู้ทำลายน่าสะอิดสะเอียนขึ้นที่นั่น 32พระองค์จะทรงใช้กลอุบายล่อลวงyผู้ละเมิดพันธสัญญาให้ละทิ้งศาสนา แต่ประชากรผู้ยอมรับพระเจ้าของตนจะยืนหยัดมั่นคงและต่อต้าน 33บรรดาผู้มีปรีชาในหมู่ประชากรจะสั่งสอนผู้คนจำนวนมาก แต่บางคนจะถูกฆ่าzด้วยดาบ บางคนจะถูกเผาไฟ จะถูกจับเป็นเชลย และถูกปล้นอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง 34ขณะที่คนเหล่านี้ถูกเบียดเบียน เขาจะได้รับความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย แต่คนจำนวนมากจะร่วมกับเขาโดยไม่จริงใจaa 35ผู้มีปรีชาบางคนจะล้มลงเพื่อชำระประชากรให้บริสุทธิ์ ทำให้ขาวสะอาดจนถึงวาระสุดท้ายซึ่งจะต้องมาถึงตามเวลากำหนด

36“กษัตริย์จะทรงกระทำตามพระทัย จะแสดงพระองค์หยิ่งผยองให้ยิ่งใหญ่กว่าเทพเจ้าใดๆbb จะตรัสดูหมิ่นพระเจ้าแห่งพระเจ้าทั้งหลาย แต่จะทรงประสบความสำเร็จจนกระทั่งพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธ เพราะสิ่งใดที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้จะเกิดขึ้น 37กษัตริย์พระองค์นี้จะไม่ทรงเคารพเทพเจ้าของบรรพบุรุษ และไม่ทรงเคารพเทพเจ้าที่บรรดาผู้หญิงเคารพรัก หรือเทพเจ้าใดๆ เลย เพราะทรงหยิ่งผยองเหนือทุกสิ่งcc 38แต่พระองค์จะทรงให้เกียรติยศแด่เทพเจ้าของป้อมปราการ พระองค์จะทรงเคารพเทพเจ้าองค์หนึ่งที่บรรพบุรุษไม่เคยรู้จัก จะทรงถวายทองคำ เงิน เพชรนิลจินดาและของถวายล้ำค่าแด่เทพเจ้าองค์นี้ 39กษัตริย์จะทรงเข้าโจมตีป้อมปราการด้วยความช่วยเหลือของเทพเจ้าต่างชาติdd จะประทานยศศักดิ์แก่ทุกคนที่ยอมรับนับถือเทพเจ้าองค์นี้ จะทรงแต่งตั้งเขาให้มีอำนาจปกครองเหนือผู้อื่น และจะประทานที่ดินให้เขาเป็นการตอบแทน”ee

วาระสุดท้าย

 

จุดจบของผู้เบียดเบียน

            40“เมื่อถึงวาระสุดท้าย กษัตริย์ทิศใต้จะทรงยกทัพมาต่อสู้ แต่กษัตริย์ทิศเหนือจะทรงเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วเหมือนพายุหมุนพร้อมด้วยรถศึก ทหารม้าและกองเรือใหญ่ พระองค์จะทรงเข้ามาบุกรุกแผ่นดินต่างๆ เหมือนน้ำท่วม 41จะทรงเข้ามาบุกรุกแผ่นดินรุ่งโรจน์ และคนจำนวนมากจะล้มตาย แต่ชาวเอโดม ชาวโมอับและชาวอัมโมนส่วนใหญ่ffจะพ้นจากพระหัตถ์ของพระองค์ 42พระองค์จะทรงยึดแผ่นดินได้มากมาย แม้แต่แผ่นดินอียิปต์ก็จะไม่รอดพ้น 43พระองค์จะทรงยึดทรัพย์สมบัติของอียิปต์ ทั้งทอง เงิน และสิ่งประเสริฐทุกอย่าง ชาวลิเบียและชาวเอธิโอเปียggก็จะยอมเป็นบริวารตามไปด้วย 44ข่าวจากทิศตะวันออกและทิศเหนือจะทำให้วุ่นวายพระทัย พระองค์จะกริ้วมาก จะเสด็จไปทำลายล้างผู้คนจำนวนมากให้หมดสิ้น 45พระองค์จะทรงตั้งกระโจมระหว่างทะเลและภูเขารุ่งโรจน์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะสิ้นพระชนม์hhโดยไม่มีผู้ใดมาช่วยเหลือเลย”

11 a “กษัตริย์สามพระองค์” หมายถึงกษัตริย์ชาวเปอร์เซียสามพระองค์ตามหนังสือ อสร-นหม ซึ่งอ้างถึงกษัตริย์ไซรัส (555-530 ก่อน ค.ศ.), กษัตริย์ดาริอัสที่ 1 (522-486 ก่อน ค.ศ.) และกษัตริย์เซอร์ซิสที่ 1 (ซึ่งพระคัมภีร์เรียกพระนามว่า “อาหสุเอรัส” 486-465 ก่อน ค.ศ.) โดยละเว้นไม่กล่าวถึงกษัตริย์คัมบีเซส (530-522 ก่อน ค.ศ.) พระโอรสของกษัตริย์ไซรัส ส่วน “กษัตริย์องค์ที่สี่” อาจหมายถึงกษัตริย์เปอร์เซียองค์สุดท้าย คือ กษัตริย์ดาริอัสที่ 3 (336-330 ก่อน ค.ศ.) ซึ่งทรงปราชัยแก่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช แต่ถ้านับ “กษัตริย์สามพระองค์” ตามลำดับตั้งแต่กษัตริย์ไซรัสเป็นพระองค์แรก ตามด้วยกษัตริย์คัมบีเซสและดาริอัสที่ 1 “กษัตริย์องค์ที่สี่” นี้คงจะหมายถึงกษัตริย์เซอร์ซิสที่ 1 มหาราช ซึ่งทรงยกทัพไปสู้รบในดินแดนของชาวกรีก แต่ประสบความปราชัยที่เมืองซาลามิสในปี 480 ก่อน ค.ศ.

b “ไม่มีราชวงศ์สืบราชสมบัติ” เมื่อกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ อาณาจักรยิ่งใหญ่ของพระองค์ถูกแบ่งให้แก่แม่ทัพทั้งสี่คนของพระองค์ ไม่ตกแก่พระโอรสองค์ใดเลย (ดู 2:40ฯ; 7:7; 8:8)

c “กษัตริย์ทิศใต้” หมายถึงกษัตริย์โทเลมีที่ 1 ซึ่งทรงปกครองอียิปต์ตั้งแต่ปี 323-285 ก่อน ค.ศ. และจะมีราชวงศ์ปกครองอียิปต์สืบต่อมาอีกนานจนชาวโรมันเข้ามายึดครอง * “แม่ทัพคนหนึ่งของพระองค์” ในข้อนี้หมายถึง “เซเลวคัสที่ 1 นิคาเตอร์” ซึ่งต่อมาจะเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นซีเรีย (312-280 ก่อน ค.ศ.) และตั้งราชวงศ์เซเลวซิดที่จะปกครองราชอาณาจักรยิ่งใหญ่ในเอเชียน้อย

d “ทำสนธิสัญญา” กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 2 เทโอส (261-246 ก่อน ค.ศ.) ทรงทำสนธิสัญญากับกษัตริย์โทเลมีที่ 2 ฟิลาเดลฟัส (285-246 ก่อน ค.ศ.) และทรงอภิเษกสมรสกับพระนางเบเรนิส พระธิดาของกษัตริย์โทเลมีราวปี 253 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 2 จึงทรงหย่าร้างกับพระนางลาวดิส มเหสีและพระขนิษฐาต่างพระมารดาของพระองค์ แต่ต่อมาก็ทรงคืนดีกับพระนาง ซึ่งจะทรงวางยาพิษปลงพระชนม์ทั้งกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 2 พระสวามี และพระนางเบเรนิสพร้อมกับพระโอรสซึ่งเกิดจากพระนางเบเรนิส รวมทั้งบรรดาข้าราชบริพารด้วย เซเลวคัสที่ 2 พระโอรสของพระนางลาวดิสทรงขึ้นครองราชย์สืบแทนพระบิดา (246-226 ก่อน ค.ศ.) แต่ต่อมาไม่นานกษัตริย์โทเลมีที่ 3 เอวแอร์เกเตส (246-221 ก่อน ค.ศ.) พระเชษฐาของพระนางเบเรนิสทรงมีชัยชนะกษัตริย์เซเลวคัสที่ 2 ทรงยึดทรัพย์สมบัติมากมายกลับไปอียิปต์ แต่มิได้ทรงทำลายล้างราชวงศ์เซเลวซิด ข้อความในข้อ 9 ที่กล่าวถึงกษัตริย์เซเลวคัสที่ 2 ทรงยกทัพมาต่อสู้กับอียิปต์ ไม่มีหลักฐานปรากฏในประวัติศาสตร์

e “พระโอรส” แปลโดยคาดคะเน ตามสำนวนแปลโบราณภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “ผู้ให้กำเนิด”

f “พระสวามี” แปลตามตัวอักษรว่า “ผู้ทรงอำนาจเหนือพระนาง”

g “มีชัยชนะ” กษัตริย์โทเลมีที่ 3 พระเชษฐาของพระนางลาวดิส ทรงยกทัพมาสู้รบกับกษัตริย์เซเลวคัสที่ 2 และยึดเมืองอันทิโอคได้ในปี 246 ก่อน ค.ศ. ทรงริบได้ของเชลยจำนวนมาก

h “อียิปต์” เป็นครั้งแรกที่หนังสือดาเนียลใช้คำว่า “อียิปต์” เรียกอาณาจักรที่ก่อนนั้นได้ชื่อเพียง “อาณาจักรทิศใต้” ส่วนสำนวนแปลภาษากรีกฉบับ LXX ใช้คำ “อียิปต์” ตลอดมา

i “พระโอรสทั้งสองพระองค์” หมายถึงกษัตริย์เซเลวคัสที่ 3 (226-223 ก่อน ค.ศ.) และกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 มหาราช (223-187 ก่อน ค.ศ.)

j “พระโอรสพระองค์หนึ่ง” หมายถึงกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 มหาราช ซึ่งจะเรียกต่อไปว่า “กษัตริย์ทิศเหนือ” ในปี 220 ก่อน ค.ศ. พระองค์ทรงยึดแผ่นดินปาเลสไตน์มาได้จากการปกครองของกษัตริย์อียิปต์ กษัตริย์โทเลมีที่ 4 ฟีโลปาเตอร์ (221-205 ก่อน ค.ศ.) ทรงยกทัพชาวอียิปต์และทหารรับจ้างมาต่อสู้ที่ชายแดน ทำความเสียหายอย่างหนักแก่กองทัพของซีเรียในการรบที่เมืองราเฟีย (ข้อ 11) เมื่อปี 217 ก่อน ค.ศ. แต่ก็ไม่ทรงยกทัพเข้าไปยึดดินแดนของอาณาจักรซีเรียทั้งหมด (ข้อ 12) ตลอดเวลา 8 ปีต่อมา กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 ทรงพยายามทำสงครามเพื่อได้ดินแดนที่ถูกยึดไปกลับคืนมา พระองค์จะทรงยกทัพใหญ่ (ข้อ 13) เข้าโจมตีกษัตริย์โทเลมีที่ 5 เอปีฟาเนส (204-180 ก่อน ค.ศ.) ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ ในการรบครั้งนี้ กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 ทรงได้รับความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฟีลิปที่ 5 ของชาวมาซิโดเนีย และในอาณาจักรอียิปต์ก็ยังมีการกบฏภายในด้วย ข้อ 15 กล่าวพาดพิงถึงการล้อมเมืองกาซา

k “เพื่อจะทำลายราชอาณาจักรนั้น” แปลโดยคาดคะเน เพราะต้นฉบับไม่สมบูรณ์

l “ยกพระธิดา” กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 ทรงยกพระนางเคลโอพัตราพระธิดาให้เป็นมเหสีของกษัตริย์โทเลมีที่ 5 ในปี 193 ก่อน ค.ศ. ที่เมืองราเฟีย เพื่อจะยึดอาณาจักรอียิปต์ในภายหลัง แต่พระนางเคลโอพัตราจะทรงเข้าข้างกับอาณาจักรอียิปต์ของพระสวามี และจะทรงขอความช่วยเหลือจากชาวโรมันให้มาต่อสู้กับอาณาจักรซีเรีย (ข้อ 18)

m “เมืองชายทะเล” กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 ทรงยึดเมืองชายทะเลของแคว้นเอเชียน้อยซึ่งเวลานั้นยังขึ้นกับอียิปต์ แต่กองทัพโรมันใต้บังคับบัญชาของลูชีอัส คอร์เนลีอัส ชีปิโอ (“แม่ทัพคนหนึ่ง” ในข้อ 18) จะมาขัดขวางไว้ และมีชัยชนะต่อกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 ที่เมือง Magnetia ในปี 189 ก่อน ค.ศ.

n “ไม่ทรงทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย” กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 ทรงยกทัพไปยึดเมืองเอลีมัสเพื่อจะปล้นทรัพย์สินในวิหารที่นั่นมาจ่ายเป็นค่าปฏิกรรมสงครามแก่ชาวโรมัน แต่จะทรงถูกปลงพระชนม์ที่นั่นในปี 187 ก่อน ค.ศ.

o “กษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง” หมายถึงกษัตริย์เซเลวคัสที่ 4 ฟีโลปาเตอร์ (187-175 ก่อน ค.ศ.) พระโอรสของกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 3 มหาราช พระองค์จะทรงบัญชาเฮลิโอโดรัสแม่ทัพให้ไปปล้นสมบัติในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่พระเจ้าจะทรงส่งทูตสวรรค์มาลงโทษเฮลิโอโดรัส ทำให้การปล้นครั้งนี้ไม่สำเร็จ (ดู 2 มคบ 3:7-40)

p กษัตริย์เซเลวคัสที่ 4 จะทรงถูกเฮลิโอโดรัสปลงพระชนม์ในปี 175 ก่อน ค.ศ.

q “คนอัปยศคนหนึ่ง” หมายถึงกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 เอปีฟาเนส (175-164 ก่อน ค.ศ.) ซึ่งจะทรงยึดราชสมบัติขึ้นเป็นกษัตริย์แทนเดเมตริอัส พระโอรสของกษัตริย์เซเลวคัสที่ 4 ซึ่งเป็นพระเชษฐา

r “เจ้านายแห่งพันธสัญญา” อาจหมายถึงมหาสมณะโอนีอัสที่ 3 (ดู 9:26 เชิงอรรถ q) ซึ่งถูกปลดจากตำแหน่งในปี 174 ก่อน ค.ศ. จะถูกจองจำไว้และจะถูกประหารชีวิตที่เมืองดาฟเนในปี 170 ก่อน ค.ศ.

s “ให้แก่ทหารของพระองค์” แปลตามตัวอักษรว่า “แก่เขาทั้งหลาย”

t “ไปต่อสู้กับกษัตริย์ทิศใต้” กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 ทรงยกทัพไปทำสงครามครั้งแรกกับกษัตริย์โทเลมีที่ 6 ฟีโลเมเตอร์ พระโอรสของพระนางเคลโอพัตรา ซึ่งทรงเป็นพระขนิษฐภคินีของพระองค์ กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 ทรงแสร้งประหนึ่งว่าทรงเป็นมิตรกับกษัตริย์โทเลมี ซึ่งทรงเชื่อคำแนะนำของที่ปรึกษา แต่แล้วทรงถูกกษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 จับเป็นเชลย กษัตริย์อันทิโอคัสจึงทรงปล้นอียิปต์และเมื่อเสด็จกลับจากอียิปต์ ยังทรงปล้นพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มและเบียดเบียนชาวยิวอีกด้วย (ข้อ 28)

u “บุกรุกทิศใต้อีก” เป็นการที่กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 ทรงบุกรุกอียิปต์เป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคายัส ปอมปีลีอัส เลนัส แม่ทัพชาวโรมัน มาที่กรุงอเล็กซานเดรีย และแจ้งให้กษัตริย์อันทิโอคัสที่ 4 ทรงทราบมติของวุฒิสภาโรมัน สั่งให้ทรงวางอาวุธและถอนกำลังพลกลับไปจากแผ่นดินอียิปต์ในปี 168 ก่อน ค.ศ.

v “ชาวคิทธิม” สำนวนแปลภาษาละติน (Vulgata) ว่า “ชาวโรมัน” ซึ่งคงเป็นความหมายที่ถูกต้องในข้อนี้ ตามปกติ คำว่า “ชาวคิทธิม” หมายถึงชาวเกาะไซปรัส แต่พระคัมภีร์มักจะใช้หมายถึง ชนชาติต่างๆ ที่อาศัยตามเมืองชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะที่อยู่เลยเกาะไซปรัสไปทางตะวันตกทั้งหมด (ปฐก 10:4; กดว 24:24; อสย 23:1,12; ยรม 2:10; อสค 27:6) (ซึ่งสำนวนแปลภาษาละตินฉบับ Vulgata แปลว่า “อิตาลี”)

w “ผู้ที่ละทิ้งพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์” หมายถึงชาวยิวที่ละทิ้งศาสนาและขนบประเพณียิวมารับอารยธรรมกรีก (ดู 1 มคบ 1:11-15, 43, 52)         

x “ป้อมปราการและพระวิหาร” แปลตามตัวอักษรว่า “พระวิหารป้อมปราการ” (เทียบ นหม 2:8 และ 1 มคบ 1:31, 33)

y “ใช้กลอุบายล่อลวง” แปลตามตัวอักษรว่า “ทำให้เป็นมลทินด้วยการประจบสอพลอ”

z ในภาษาฮีบรูมีการเล่นคำที่มีเสียงคล้ายกันระหว่างคำ “ผู้มีปรีชา” (ksl) กับคำ “ถูกฆ่า” (หรือ “ล้มลง” ในข้อ 35) (skl)

aa “ร่วมกับเขาโดยไม่จริงใจ” คงหมายถึงการที่ยูดาสมัคคาบีรวบรวมชาวยิวที่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาได้ในสมัยแรกของการต่อสู้เพื่อศาสนายิว

bb “แสดงพระองค์หยิ่งผยองให้ยิ่งกว่าเทพเจ้าใดๆ” เช่นเดียวกับกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช (8:4; 11:3) และเหมือนกับกษัตริย์อันทิโอคัสมหาราช (11:16) ต่างกับกษัตริย์ในราชวงศ์อัคเมนิดของเปอร์เซีย ซึ่งจารึกไว้เสมอว่าความสำเร็จของราชวงศ์เป็นไปตามพระประสงค์ของเทพเจ้าอหุรามัสดา กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสในวัยชราทรงสั่งให้ทำเหรียญกษาปณ์มีพระรูปของพระองค์เป็นพระพักตร์ของเทพเจ้าซุสแห่งภูเขาโอลิมปัส

cc “ทรงหยิ่งผยองเหนือทุกสิ่ง” กษัตริย์ในราชวงศ์เซเลวซิดล้วนนับถือเทพเจ้าอปอลโลเป็นเทพเจ้าอุปถัมภ์ ส่วนกษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสยังทรงนับถือเทพเจ้าซุสแห่งภูเขาโอลิมปัสอีกด้วย พระองค์ทรงคิดว่าเทพเจ้าซุสนี้เป็นเทพเจ้าองค์เดียวกับเทพเจ้ายูปีเตอร์แห่งเนินเขากาปิโตลที่กรุงโรม (= “เทพเจ้าองค์หนึ่งที่บรรพบุรุษไม่รู้จัก” ในข้อ 38) ส่วน “เทพเจ้าที่บรรดาผู้หญิงเคารพรัก” หมายถึงเทพเจ้าอาโดนิส หรือทัมมุส (ดู อสค 8:14)

dd “ด้วยความช่วยเหลือของเทพเจ้าต่างชาติ” น่าจะหมายถึง “ประชาชนต่างชาติที่นับถือเทพเจ้าอื่น” เช่นชาวซีเรียและชาวยิวที่ละทิ้งศาสนาของตน กษัตริย์อันทิโอคัสเอปีฟาเนสทรงวางกองทหารไว้ในป้อมอาคราในบริเวณพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม (ดู 1 มคบ 1:33-34)

ee “ประทานที่ดินให้เขาเป็นการตอบแทน” เป็นนโยบายของราชวงศ์เซเลวซิดที่จะให้ประชาชนซึ่งแพ้สงครามเช่าดินแดนที่เคยเป็นของตนเพื่ออาศัยอยู่ต่อไปได้ (ดู 1 มคบ 3:36)

ff “ชาวอัมโมนส่วนใหญ่” แปลตามตัวอักษรว่า “ผลแรกของบรรดาบุตรของอัมโมน”

gg “ชาวเอธิโอเปีย” แปลตามตัวอักษรว่า “ชาวคูช” หมายถึงชนชาติที่อยู่ทางทิศใต้ของแผ่นดินอียิปต์ ส่วน “ชาวลิเบีย” เป็นชนชาติที่อยู่ทางทิศตะวันตกของอียิปต์

hh เรื่องการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส ดู 8:25

12 1“เวลานั้น มีคาเอลเจ้านายยิ่งใหญ่ของทูตสวรรค์ ผู้พิทักษ์ประชากรของท่านจะลุกขึ้น จะมีเวลาแห่งความทุกข์ยากอย่างที่ไม่เคยมีมาตั้งแต่เริ่มมีประชาชาติจนถึงเวลานั้น ในเวลานั้น ประชากรของท่าน คือทุกคนที่มีชื่อเขียนไว้ในหนังสือaจะได้รับความรอดพ้น”

 

การกลับคืนชีพและรางวัลตอบแทน

            2“คนจำนวนมากที่หลับอยู่ในผงคลีดินจะตื่นขึ้น บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร บางคนจะได้รับความอับอายและความอัปยศอดสูตลอดนิรันดรb 3บรรดาผู้มีปัญญาจะส่องแสงเหมือนแสงสว่างบนท้องฟ้า และบรรดาผู้ที่ช่วยคนจำนวนมากให้มีความชอบธรรมcจะส่องแสงเหมือนดวงดาวตลอดไป 4ส่วนท่าน ดาเนียลเอ๋ย จงเก็บถ้อยคำเหล่านี้ไว้เป็นความลับ และประทับตราหนังสือนี้ไว้จนถึงวาระสุดท้าย เวลานั้น คนจำนวนมากจะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกd และความรู้eจะเพิ่มพูนขึ้น”

คำพยากรณ์ที่ผนึกไว้

            5ข้าพเจ้าดาเนียลกำลังมอง ก็เห็นอีกสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำฝั่งนี้ อีกคนหนึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำฝั่งโน้น 7คนหนึ่งพูดกับชายที่สวมเสื้อผ้าป่านซึ่งอยู่เหนือน้ำแห่งแม่น้ำนั้นว่า “ยังอีกนานเท่าใดจึงจะถึงจุดจบของสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้” 7ชายที่สวมเสื้อผ้าป่านซึ่งอยู่เหนือน้ำแห่งแม่น้ำนั้นยกมือขวาและมือซ้ายขึ้นสู่ท้องฟ้า และข้าพเจ้าได้ยินคำสาบานของเขาอ้างถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปว่า เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะสำเร็จไปภายในสามปีครึ่ง เมื่ออำนาจของประชากรศักดิ์สิทธิ์จะสิ้นสุดลง 8ข้าพเจ้าได้ยิน แต่ไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าจึงถามว่า “นายเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้จะจบลงอย่างไร” 9เขาตอบว่า “ดาเนียลเอ๋ย จงไปเถิด ถ้อยคำเหล่านี้จะถูกปิดไว้เป็นความลับ และถูกผนึกไว้จนถึงวาระสุดท้าย 10คนจำนวนมากจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จะขาวสะอาดและเป็นผู้ชอบธรรม แต่คนอธรรมจะทำความชั่วร้ายต่อไป ไม่มีคนอธรรมคนใดเข้าใจเรื่องเหล่านี้ บรรดาผู้มีปัญญาเท่านั้นจะเข้าใจ 11ตั้งแต่เวลาที่การถวายบูชาประจำวันถูกยกเลิก และรูปผู้ทำลายน่าสะอิดสะเอียนถูกตั้งขึ้นนั้น เวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวันจะต้องผ่านไป 12ผู้ที่รอคอยด้วยความพากเพียรเป็นเวลาหนึ่งพันสามร้อยสามสิบห้าวันfย่อมเป็นสุข 13ส่วนท่าน จงไปและมีความซื่อสัตย์จนถึงที่สุดgเถิด แล้วท่านจะได้พักผ่อนและจะยืนขึ้นเพื่อรับการตอบแทน เมื่อวันเหล่านั้นสิ้นสุดลง”

 

12 a “หนังสือ” ชาวยิวเชื่อว่าในสวรรค์มีหนังสือบันทึกรายชื่อของมนุษย์ที่จะมาเป็นพลเมืองของกรุงเยรูซาเล็มในสวรรค์ (เทียบ อสย 4:2-3; อพย 32:32-33; สดด 69:28; 139:16; ลก 10:20; วว 20:12; ดู ดนล 7:10 เชิงอรรถ i ด้วย)

b ข้อนี้เป็นข้อความสำคัญในพันธสัญญาเดิมที่ยืนยันความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย (เทียบ 2 มคบ 7:9 เชิงอรรถ c)

c “บรรดาผู้ที่ช่วยคนจำนวนมากให้มีความชอบธรรม” น่าจะหมายถึงบุคคลที่สอนประชาชนให้ดำเนินชีวิตเป็นผู้ชอบธรรม บุคคลเหล่านี้จะได้รับความรุ่งโรจน์เป็นพิเศษเมื่อกลับคืนชีพ ไม่เพียงแต่จะมีชื่อจารึกไว้ในความทรงจำของประชาชนเท่านั้น (เทียบ ปชญ 3:7; อสย 1:31)

d “อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก” แปลโดยคาดคะเน แปลตามตัวอักษรว่า “วิ่งไปวิ่งมา”

e “ความรู้” ต้นฉบับภาษากรีกว่า “ความชั่วร้าย”

f “หนึ่งพันสามร้อยสามสิบห้าวัน” จำนวนวันก่อนถึงวาระสุดท้ายมีบันทึกไว้แตกต่างกันใน ดนล คือ “1150” (ใน 8:14 เชิงอรรถ r); “1290” (ใน 12:11) และ “1335” (ใน 12:12) นักวิชาการพระคัมภีร์ยังหาคำอธิบายความแตกต่างเช่นนี้ไม่ได้

g “ซื่อสัตย์จนถึงที่สุด” แปลตามตัวอักษรว่า “จนถึงที่สุด” วลีนี้ไม่มีในต้นฉบับภาษากรีก เรื่อง “การตอบแทนในวาระสุดท้าย” ดู มคา 2:5; เทียบ สดด 1:5

ดาเนียลพิพากษาคดีของนางสุสันนาa

 

13 1ชายผู้หนึ่งชื่อโยอาคิมอยู่ที่กรุงบาบิโลน 2เขาแต่งงานกับหญิงรูปงาม ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคนหนึ่ง นางชื่อสุสันนา เป็นบุตรหญิงของฮิลคียาห์ 3บิดามารดาของนางเป็นผู้ชอบธรรม อบรมบุตรหญิงของตนตามธรรมบัญญัติของโมเสส 4ส่วนโยอาคิมเป็นคนร่ำรวยมาก มีสวนอยู่ใกล้บ้าน ชาวยิวมักมาเยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นผู้น่าเคารพนับถือมากกว่าผู้อื่น 5ปีนั้น ผู้อาวุโสสองคนได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถึงคนสองคนนี้ว่า “ความชั่วร้ายออกมาจากกรุงบาบิโลนทางผู้อาวุโสผู้พิพากษาซึ่งทำตนเป็นผู้นำประชากร”b 6ผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้มักไปที่บ้านของโยอาคิม และทุกคนที่มีคดีพิพาทมักนำคดีมาให้เขาชำระความที่นั่น 7เวลาประมาณเที่ยงวัน เมื่อประชาชนกลับไปบ้านแล้ว นางสุสันนามักเข้าไปเดินเล่นในสวนของสามี 8ผู้อาวุโสทั้งสองคนเห็นนางเข้าไปเดินเล่นในสวนทุกวัน ก็เกิดความปฏิพัทธ์ต่อนางอย่างรุนแรง 9เขาสูญเสียสัมปชัญญะ หันสายตาไม่มองดูเบื้องบน ลืมการวินิจฉัยที่ถูกต้อง 10เขาทั้งสองคนหลงรักนาง แต่ไม่ปริปากบอกความทรมานใจแก่กัน 11เพราะรู้สึกละอายที่จะเปิดเผยว่าตนปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับนาง 12เขาปรารถนาจะเห็นนางมากขึ้นทุกวัน 13วันหนึ่ง เขาพูดกันว่า “เราจงกลับไปบ้านเถิด ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว” 14แต่เขาทั้งสองคนต่างก็กลับมาและพบกันอีก จึงถามกันถึงสาเหตุที่กลับมา ต่างคนต่างยอมรับว่าตนมีความปฏิพัทธ์ต่อนางอย่างรุนแรง แล้วตกลงกันจะหาโอกาสพบนางตามลำพัง 15ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่เขาทั้งสองคนคอยหาโอกาส นางสุสันนาก็เข้ามาในสวนตามปกติ มีสาวใช้เพียงสองคนตามมาด้วย นางคิดจะอาบน้ำในสวน เพราะวันนั้นอากาศร้อน 16ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย นอกจากผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้ที่แอบดูนาง 17นางสุสันนาบอกสาวใช้ว่า “จงนำน้ำมันกับเครื่องหอมมาเถิด จงปิดประตูสวนด้วย เพราะฉันต้องการอาบน้ำ” 18สาวใช้ทำตามที่นางสั่ง ปิดประตูสวนแล้วเข้าไปในบ้านทางประตูด้านข้างเพื่อนำสิ่งของที่นางต้องการมาให้ โดยไม่รู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ในสวน

            19เมื่อสาวใช้ออกไป ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ลุกขึ้น วิ่งเข้าไปหานาง กล่าวว่า 20“นี่แน่ะ ประตูสวนก็ปิดแล้ว ไม่มีใครเห็นเรา พวกเรามีความปฏิพัทธ์ต่อเธออย่างรุนแรง จงมานอนกับเราเถิด 21ถ้าเธอไม่ยอม เราจะเป็นพยานปรักปรำเธอ บอกว่าหนุ่มคนหนึ่งอยู่กับเธอ เธอจึงสั่งสาวใช้ให้ออกไป” 22นางสุสันนาถอนใจใหญ่พูดว่า “ฉันเข้าที่อับจนเสียแล้ว ถ้าฉันยอม ฉันก็ต้องตายc ถ้าฉันไม่ยอม ฉันก็หนีไม่พ้นมือของท่าน 23แต่ให้ฉันตกอยู่ในมือของท่านโดยไม่ทำผิดดีกว่าจะทำบาปเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” 24แล้วนางสุสันนาก็ร้องตะโกนดังสุดเสียง ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ร้องตะโกนปรักปรำนางด้วย 25คนหนึ่งวิ่งไปเปิดประตูสวน 26เมื่อคนในบ้านได้ยินเสียงร้องดังในสวน ก็รีบวิ่งเข้าไปทางประตูด้านข้างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น 27เมื่อผู้อาวุโสเล่าเรื่องของตน บรรดาผู้รับใช้รู้สึกอับอายมาก เพราะไม่เคยมีผู้ใดกล่าวหานางสุสันนาเช่นนั้นมาก่อนเลย

            28วันรุ่งขึ้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันที่บ้านของโยอาคิมสามีของนาง ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็มาด้วย เขามีเจตนาร้ายที่จะกล่าวหานางสุสันนาให้รับโทษถึงตาย 29เขากล่าวต่อหน้าประชาชนว่า “จงส่งคนไปตามนางสุสันนา บุตรหญิงของฮิลคียาห์ ภรรยาของโยอาคิมมาเถิด” เขาส่งคนไปตามหานาง 30นางก็มาพร้อมกับบิดามารดา บรรดาบุตรและญาติพี่น้องทุกคน 31นางสุสันนามีรูปร่างสวยและใบหน้างดงาม 32นางมีผ้าคลุมใบหน้า คนใจชั่วทั้งสองคนจึงสั่งให้เปิดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อตนจะได้ชมความงามของนาง 33ญาติพี่น้องและทุกคนที่เห็นนางก็ร้องไห้ 34ผู้อาวุโสทั้งสองคนยืนขึ้นในหมู่ประชาชน เอามือวางบนศีรษะของนางd 35นางสุสันนาร้องไห้ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม 36ผู้อาวุโสพูดว่า “ขณะที่พวกเรากำลังเดินอยู่ในสวนตามลำพัง หญิงผู้นี้ก็เข้ามาในสวนพร้อมกับสาวใช้สองคน นางปิดประตูสวน สั่งสาวใช้ให้ออกไป 37แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาพบและนอนกับนาง 38พวกเราอยู่ที่มุมสวนเห็นการกระทำน่าบัดสีเช่นนี้ จึงวิ่งเข้าไปที่เขาทั้งสองคน 39ก็เห็นเขานอนอยู่ด้วยกัน เราพยายามจับตัวหนุ่มคนนั้น แต่เขาแข็งแรงกว่าเรา เขาเปิดประตูแล้ววิ่งหนีไป 40พวกเราจับหญิงผู้นี้ไว้ ถามว่าหนุ่มคนนั้นเป็นใคร 41แต่นางไม่ยอมบอกเรา เราเป็นพยานยืนยันเรื่องนี้”

            ทุกคนที่มาประชุมกันเชื่อเขา เพราะเขาเป็นผู้อาวุโสผู้พิพากษาประชากร จึงตัดสินลงโทษให้ประหารชีวิตนาง 42นางสุสันนาร้องตะโกนดังสุดเสียงว่า “ข้าแต่พระเจ้านิรันดร พระองค์ทรงทราบความลับทุกประการ และทรงทราบทุกสิ่งก่อนที่จะเกิดขึ้น 43พระองค์ทรงทราบว่าทั้งสองคนนี้กล่าวเท็จปรักปรำข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องตายทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดดังที่เขาเหล่านี้กล่าวร้ายปรักปรำข้าพเจ้า”

            44องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง 45ขณะที่เขากำลังนำนางไปประหารชีวิต พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล 46เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมมีส่วนร่วมในความตายของหญิงผู้นี้” 47ประชาชนทุกคนหันไปถามเขาว่า “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” 48ดาเนียลยืนอยู่ในหมู่คนทั้งหลาย พูดว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย ทำไมท่านจึงโง่เขลาเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงตัดสินลงโทษหญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งโดยไม่สืบสวนความจริงเสียก่อน 49จงกลับไปพิจารณาคดีเถิด เพราะคนเหล่านี้เป็นพยานเท็จปรักปรำนาง”

            50ประชาชนทุกคนก็รีบกลับไป บรรดาผู้อาวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานั่งกับพวกเรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด เพราะพระเจ้าประทานความเฉลียวฉลาดเยี่ยงผู้อาวุโสให้แก่ท่าน” 51ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้วข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” 52เมื่อแยกทั้งสองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึ่งมาถามว่า “ท่านนี่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งชั่ว บัดนี้ บาปที่ท่านเคยทำในอดีตก็ปรากฏให้เห็น 53ท่านเคยตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ลงโทษคนบริสุทธิ์ และยกโทษให้ผู้ทำผิด ทั้งๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘อย่าประหารชีวิตผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์’ 54บัดนี้ ถ้าท่านเห็นหญิงคนนี้จริงๆ จงบอกซิว่า ท่านเห็นเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง”e 55ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะผ่าท่านเป็นสองส่วนตามพระบัญชาของพระองค์” 56ดาเนียลส่งเขากลับไปยังที่ของตน สั่งให้นำอีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “ท่านนี่เป็นเชื้อสายชาวคานาอัน ไม่ใช่ชาวยูดาห์ ความงดงามหลอกลวงท่าน ตัณหาทำให้ใจของท่านหลงผิดไป 57ท่านทั้งสองคนเคยทำเช่นนี้กับบุตรหญิงชาวอิสราเอล และเขาเหล่านั้นยอมทำตามใจท่านเพราะความกลัว แต่บุตรหญิงชาวยูดาห์ผู้นี้ทนความชั่วร้ายของท่านไม่ได้ 58บัดนี้ จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก” 59ดาเนียลจึงพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสองคนจะต้องตายแน่”

            60คนทั้งหลายที่ชุมนุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ทรงช่วยผู้วางใจในพระองค์ให้รอดพ้น 61เขาทั้งหลายรุมกล่าวโทษผู้อาวุโสทั้งสองคน เพราะดาเนียลทำให้เขาต้องยอมสารภาพว่าได้เป็นพยานเท็จ ประชาชนจึงลงโทษเขาเช่นเดียวกับที่เขาพยายามทำกับผู้อื่น 62โดยประหารชีวิตคนทั้งสองตามที่ธรรมบัญญัติของโมเสสกำหนดไว้ ในวันนั้นผู้บริสุทธิ์ก็ได้รอดชีวิต 63ฮิลคียาห์และภรรยาสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงช่วยนางสุสันนาบุตรหญิงของตน โยอาคิมผู้เป็นสามีและญาติพี่น้องทุกคนก็สรรเสริญพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะทุกคนเห็นว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ มิได้ทำความผิดน่าละอายประการใดเลย

            64ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประชาชนต่างยกย่องนับถือดาเนียลอย่างยิ่ง

 

13 a เรื่องราวในบทที่ 13 และ 14 ไม่พบในต้นฉบับภาษาฮีบรู พบได้แต่ในต้นฉบับภาษากรีกเท่านั้น นอกจากนั้นตัวบทของสองบทนี้ สำเนาโบราณภาษากรีกยังมีอยู่ถึง 2 สำนวน คือสำนวนสั้นของฉบับ LXX และสำนวนยาวของเทโอโดซีโอน ในที่นี้เราแปลตามสำนวนยาว

b เราไม่รู้ชัดว่าข้อความนี้มาจากพระคัมภีร์ตอนใด

c “ถ้าฉันยอม ฉันก็ต้องตาย” ธรรมบัญญัติปรับโทษหญิงที่ล่วงประเวณีถึงประหารชีวิต (ดู ลนต 20:10; ฉธบ 22:22; และ ยน 8:4-5)

d “วางมือบนศีรษะของนาง” ทุกคนที่จะใช้หินทุ่มประหารชีวิตหญิงที่ทำผิดจะต้องวางมือบนศีรษะของนางเป็นการปรับโทษเสียก่อน

e “ใต้ต้นยาง” ชื่อต้นไม้ในข้อนี้และในข้อ 58 (“ต้นโอ๊ก”) เล่นคำกับคำกริยาที่จะตามมาในข้อถัดไป “ต้นยาง” ภาษากรีกใช้ว่า “schinon” มีเสียงคล้ายกับคำ “schise” (“ผ่าเป็นสองท่อน”) และคำว่า “ต้นโอ๊ก” ภาษากรีกว่า “prinon” ก็มีเสียงคล้ายกับคำว่า “prisai” (“ฟันผ่าเป็นสองท่อน”)

เทพเจ้าเบลและมังกรa

 

ดาเนียลกับสมณะของเทพเจ้าเบล

14 1bกษัตริย์อัสทิอาเยสสิ้นพระชนม์ไปอยู่กับบรรพบุรุษ กษัตริย์ไซรัสชาวเปอร์เซียก็ขึ้นครองราชย์สืบต่อมา 2ดาเนียลอยู่ในราชสำนัก เป็นผู้มีเกียรติมากกว่าพระสหายทุกคนของพระองค์c 3ชาวบาบิโลนมีรูปเคารพรูปหนึ่งชื่อเทพเจ้าเบลd ทุกวันชาวเมืองต้องถวายแป้งละเอียดสิบสองกระสอบ แกะสี่สิบตัวและเหล้าองุ่นหกไห ประมาณสองร้อยห้าสิบลิตร 4กษัตริย์ทรงนับถือรูปเคารพรูปนี้ด้วย และเสด็จมากราบไหว้ทุกวัน แต่ดาเนียลกราบไหว้พระเจ้าของตนเท่านั้น 5กษัตริย์จึงตรัสถามเขาว่า “ทำไมท่านไม่กราบไหว้เทพเจ้าเบล” ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่กราบไหว้รูปเคารพที่มือมนุษย์สร้างขึ้น ข้าพเจ้ากราบไหว้ก็แต่พระเจ้าผู้ทรงชีวิต ผู้ทรงสร้างฟ้าดินและทรงอำนาจปกครองมวลมนุษย์” 6กษัตริย์ตรัสถามต่อไปว่า “ท่านไม่เชื่อหรือว่าเทพเจ้าเบลเป็นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต ท่านไม่เห็นหรือว่าทุกวันเทพเจ้าเบลเสวยพระกระยาหารและทรงดื่มเหล้าองุ่นมากมาย” 7ดาเนียลหัวเราะ ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา ขออย่าทรงหลงกลไปเลย รูปเคารพรูปนี้ภายในเป็นเพียงดินเหนียว และภายนอกเป็นทองสัมฤทธิ์ กินและดื่มอะไรไม่ได้เลย” 8กษัตริย์จึงกริ้ว รับสั่งให้เรียกบรรดาสมณะของเทพเจ้าเบลเข้ามา ตรัสว่า “ถ้าท่านไม่บอกเราว่าใครเป็นผู้กินของถวายทั้งหมดนี้ ท่านจะต้องตายe แต่ถ้าท่านพิสูจน์ได้ว่าเทพเจ้าเบลเป็นผู้เสวย ดาเนียลจะต้องตายเพราะเขาดูหมิ่นเทพเจ้าเบล” 9ดาเนียลทูลตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้เป็นไปตามที่รับสั่งเถิด”

            10บรรดาสมณะของเทพเจ้าเบลมีจำนวนเจ็ดสิบรูป ไม่นับภรรยาและบุตร 11กษัตริย์เสด็จเข้าไปในวิหารของเทพเจ้าเบลพร้อมกับดาเนียลf บรรดาสมณะของเทพเจ้าเบลทูลกษัตริย์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะออกไปจากวิหาร ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงวางอาหารและผสมเหล้าองุ่น แล้วปิดประตู ใช้พระธำมรงค์ประทับตราไว้ ถ้ารุ่งเช้าพระองค์เสด็จมา ทรงพบว่าเทพเจ้าเบลไม่เสวยของถวายทั้งหมด ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ถ้าเทพเจ้าเบลเสวย ดาเนียลจะต้องถูกประหาร เพราะเขาใส่ร้ายข้าพเจ้าทุกคน” 12บรรดาสมณะไม่หวาดหวั่น เพราะเขาทำประตูลับไว้ใต้โต๊ะบูชาแล้ว เขาเข้ามาทางประตูลับนี้เป็นประจำ นำของถวายเหล่านี้ออกไปกิน 13เมื่อบรรดาสมณะออกไปแล้ว กษัตริย์ก็รับสั่งให้ตั้งของถวายต่อหน้าเทพเจ้าเบล 14ส่วนดาเนียลก็สั่งผู้รับใช้ให้นำเถ้ามาโปรยทั่วพื้นวิหาร ไม่มีใครเห็นนอกจากกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แล้วทุกคนก็ออกไปจากวิหาร ปิดประตูและใช้พระธำมรงค์ประทับตราไว้ แยกย้ายกันไป 15คืนนั้น บรรดาสมณะก็เข้ามาในวิหารเช่นเคยพร้อมกับภรรยาและบุตร กินและดื่มของถวายทั้งหมด

            16เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น กษัตริย์ทรงลุกขึ้น เสด็จมาพร้อมกับดาเนียล 17ตรัสถามดาเนียลว่า “ตราประทับยังเรียบร้อยอยู่หรือไม่” เขาทูลตอบว่า “ยังอยู่เรียบร้อยดี พระเจ้าข้า” 18เมื่อเปิดประตู กษัตริย์ทอดพระเนตรไปที่โต๊ะบูชาและทรงเปล่งพระสุรเสียงว่า “ข้าแต่เทพเจ้าเบล พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่ทรงมีเล่ห์เหลี่ยมแต่ประการใดเลย” 19แต่ดาเนียลหัวเราะ ห้ามกษัตริย์มิให้เสด็จเข้าไปในวิหาร ทูลว่า “โปรดทอดพระเนตรดูที่พื้น และทรงพิจารณาว่ารอยเท้าเหล่านี้เป็นของใคร” 20กษัตริย์ตรัสตอบว่า “เราเห็นรอยเท้าของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ” 21พระองค์กริ้ว รับสั่งให้จับบรรดาสมณะพร้อมกับภรรยาและบุตรไว้ เขาเหล่านี้ก็ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรประตูลับที่ตนใช้เข้ามาในวิหารเพื่อกินของถวายที่อยู่บนโต๊ะบูชา 22กษัตริย์จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตคนเหล่านี้ ทรงมอบรูปเคารพของเทพเจ้าเบลให้ดาเนียล ดาเนียลก็ทำลายรูปนั้นพร้อมกับรื้อวิหารด้วย

 

ดาเนียลฆ่ามังกร

            23ที่กรุงบาบิโลนมีมังกรใหญ่ตัวหนึ่งที่ชาวเมืองกราบไหว้g 24กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “ท่านพูดไม่ได้ว่าเทพเจ้าองค์นี้ไม่ทรงชีวิต จงกราบไหว้เทพเจ้าองค์นี้เถิด” 25ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าพเจ้ากราบไหว้องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้าเท่านั้น เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงชีวิตเพียงพระองค์เดียว ข้าแต่พระราชา ถ้าพระองค์ทรงอนุญาต ข้าพเจ้าจะฆ่ามังกรตัวนี้ได้โดยไม่ต้องใช้ดาบหรือไม้ตะบองเลย” 26กษัตริย์ตรัสตอบว่า “เราอนุญาต” 27ดาเนียลจึงนำน้ำมันดิน ไขมันและขนสัตว์มาเคี่ยวเข้าด้วยกันจนเป็นก้อน ตัดเป็นชิ้นๆ โยนเข้าไปในปากของมังกร มังกรก็กินเข้าไปแล้วท้องแตกตาย ดาเนียลพูดว่า “จงดูสิ่งที่ท่านทั้งหลายกราบไหว้ซิ” 28เมื่อชาวบาบิโลนรู้เรื่องนี้ก็โกรธมาก พากันประท้วงกษัตริย์ว่า “กษัตริย์ทรงเป็นชาวยิวไปแล้ว พระองค์ทรงทำลายเทพเจ้าเบล ทรงฆ่ามังกร และทรงประหารชีวิตบรรดาสมณะ” 29ชาวบาบิโลนไปเฝ้ากษัตริย์ ทูลว่า “ขอพระองค์ทรงมอบดาเนียลให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด มิฉะนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะประหารชีวิตพระองค์พร้อมกับราชวงศ์ทั้งหมด” 30เมื่อกษัตริย์ทรงเห็นว่าประชาชนกำลังคุกคามพระองค์ พระองค์จำต้องส่งตัวดาเนียลให้

 

ดาเนียลในถ้ำสิงโตh

            31ชาวเมืองจับดาเนียลโยนเข้าไปในถ้ำสิงโต เขาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหกวัน 32ในถ้ำนั้นมีสิงโตเจ็ดตัว ทุกวันผู้ดูแลนำศพมนุษย์สองศพและแกะสองตัวมาเลี้ยงสิงโต แต่คราวนี้เขาไม่นำอะไรมาเลี้ยง เพื่อสิงโตจะได้กินดาเนียล

            33เวลานั้น ประกาศกฮาบากุกอยู่ในแคว้นยูเดีย เขาต้มซุป บิขนมปังใส่กระจาด ตั้งใจจะนำไปให้คนงานที่กำลังเกี่ยวข้าวอยู่ในทุ่งนา 34ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าบอกฮาบากุกว่า “จงนำอาหารนี้ไปให้ดาเนียลในถ้ำสิงโตที่กรุงบาบิโลนเถิด” 35แต่ฮาบากุกตอบว่า “เจ้านายครับ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นกรุงบาบิโลนและไม่รู้ว่าถ้ำสิงโตอยู่ที่ไหนด้วย” 36ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจับผมของฮาบากุก หิ้วนำเขาไปที่กรุงบาบิโลนอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด วางเขาที่ปากถ้ำสิงโต 37ฮาบากุกร้องตะโกนว่า “ดาเนียล ดาเนียล จงมารับอาหารที่พระเจ้าทรงส่งมาให้ท่านเถิด” 38ดาเนียลพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงระลึกถึงข้าพเจ้าแล้ว พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งผู้ที่รักพระองค์เลย” 39ขณะที่ดาเนียลลุกขึ้นกินอาหารนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็นำฮาบากุกกลับไปยังที่เดิม

            40วันที่เจ็ด กษัตริย์เสด็จมาไว้ทุกข์ให้ดาเนียล เมื่อเสด็จมาถึงถ้ำสิงโต ก็ทอดพระเนตร เห็นดาเนียลนั่งอยู่ 41กษัตริย์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของดาเนียล พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น” 42กษัตริย์มีรับสั่งให้นำดาเนียลออกมาจากถ้ำสิงโต และให้โยนผู้ที่ต้องการทำลายล้างเขาเข้าไปในถ้ำ สิงโตก็ขย้ำกินเขาทันทีเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์

14 a เรื่องเล่าทั้งสองเรื่องในบทนี้ต้องการต่อต้านผู้นับถือรูปเคารพ เช่นเดียวกับใน ปชญ 15 – 16

b ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX มีข้อความที่เป็นหัวข้อเรื่องว่า “จากคำพยากรณ์ของประกาศกฮาบากุกบุตรของโยชูวา ชนเผ่าเลวี” (เทียบข้อ 33)

c “ดาเนียล...ของพระองค์” ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX ของข้อนี้มีว่า “มีชายคนหนึ่งเป็นสมณะ ชื่อดาเนียล บุตรของอาบาล เป็นพระสหายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน”

d “เทพเจ้าเบล” เป็นนามหนึ่งของเทพเจ้ามาร์ดุ๊กที่ชาวบาบิโลนนับถือเป็นผู้พิทักษ์กรุงบาบิโลน (ดู อสย 46:1; ยรม 50:7; 51:44)

e ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX เล่าว่าดาเนียลเองเป็นผู้เสนอให้มีการทดสอบและลงโทษเช่นนี้

f เรื่องราวตั้งแต่ข้อ 11 นี้ ต้นฉบับภาษากรีกฉบับ LXX เล่าไว้โดยสรุปเท่านั้น

g เรื่องชาวบาบิโลนกราบไหว้มังกรเป็นเทพเจ้านี้ไม่มีหลักฐานใดเลยในประวัติศาสตร์ แต่ชาวยิวรู้จักเรื่องนี้ดีเมื่ออธิบายข้อความของประกาศกเยเรมีย์ (ยรม 51:44)

h เรื่องนี้คล้ายกับเรื่องที่เล่าในบทที่ 6 ส่วนเรื่องประกาศกฮาบากุกถูกหิ้วมาที่กรุงบาบิโลนชวนให้คิดถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงนำประกาศกเอเสเคียลจากกรุงบาบิโลนไปกรุงเยรูซาเล็ม ใน อสค 8:3

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก