วันอังคารที่ 27 กันยายน 2016
ระลึกถึง น.วินเซนต์ เดอ ปอล พระสงฆ์
โยบ 3:1-3,11-17,20-23/ ลก 9:51-56
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา
เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคน แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์
(พระวาจาของพระเจ้า)
-------------
ทัศนคติ เกี่ยวกับ ความเสียหาย อะไรไม่สมบูรณ์แบบ เรื่องที่ทำให้เราเหมือนถูกลงโทษ หรืออะไรที่ทำลายไม่สร้างสรรค์ เราจะเหมารวมว่า เป็นการลงโทษจากพระ ในเวลาที่โยบคิดแบบนี้ ที่ว่า
“วันที่ข้าเกิดมาจงพินาศเถิด ทั้งคืนที่มีคนพูดว่า ‘เด็กชายคนหนึ่งปฏิสนธิแล้ว’ก็จงพินาศด้วย ทำไมข้าจึงไม่ตายเสียตั้งแต่ในครรภ์ ทำไมข้าจึงไม่ขาดใจเมื่อออกมาจากครรภ์มารดา"
เราเอง คิดแบบนี้ หรือไม่ ? โทษพระ โยนกลองไปที่เบื้องหลัง กฎแห่งกรรม ไม่อยากรับผิดชอบ ไม่ต้องยืนยันเป็นผู้แก้ไขหรือปรับปรุงพัฒนา ความผิดพลาดบกพร่อง ไม่ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้มีส่วนในการปรับปรุงเรื่องใดๆ ในชีวิต โยนขึ้นฟ้า ผลักไปที่ธรรมชาติ กล่าวว่าเป็นเหตุมาจากพระเจ้า
เรื่องเสียหายที่ไม่สมบูรณ์ มาจาก การไม่ออกแรง ร่วมมือ คงจะใช่
เรื่องล้มละลาย ปรักหักพัง มาจากการโกงกิน คิดเห็นแก่ตัว ก็คงจะใช่
"น้ำมือมนุษย์ ที่ไม่มีความรักและรับผิดชอบ"
พระเยซูสอนท่าทีแบบนี้ ผ่านศิษย์สองคน หลังจากศิษย์สองคนได้กล่าว แบบนี้คือ “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคน แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์
ความรับผิดชอบ และ ลงมือปฎิบัติ ไม่ผลักไสออกให้ห่างตัว กลายเป็นการแก้วิกฤตในชีวิตที่มีความเชื่อ มากกว่า การโทษ ตำหนิที่อื่น