“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

พัฒนาการของการศึกษาพระคัมภีร์และอำนาจสอนของพระศาสนจักร

32.      ก่อนอื่น เราต้องยอมรับว่าการศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์โดยการวิเคราะห์ด้านประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์ตัวบทที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ไม่นานมานี้ ได้นำประโยชน์ไม่น้อยเข้ามาในชีวิตของพระศาสนจักร[1] เพื่อเข้าใจพระคัมภีร์ในแบบคาทอลิก จำเป็นต้องพิจารณาวิธีการเหล่านี้อย่างระมัดระวัง โดยสัมพันธ์กับความจริงเรื่องการที่พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์  "ความจำเป็นนี้สืบเนื่องมาจากหลักความเชื่อในพระคริสตเจ้าดังที่กล่าวไว้ใน ยน 1:14 ว่า พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นมิติสำคัญของความเชื่อในพระคริสตเจ้า ประวัติศาสตร์ความรอดพ้นไม่ใช่ที่รวมของตำนานเทพต่างๆ แต่เป็นประวัติศาสตร์แท้จริง ดังนั้นจึงต้องศึกษาโดยการค้นคว้าประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง"[2] เพราะเหตุนี้การศึกษาพระคัมภีร์จึงต้องการความรู้วิธีการค้นคว้าเหล่านี้ และใช้ให้ถูกต้อง ถ้าเป็นความจริงว่า ในปัจจุบันนี้ความรู้สึกเช่นนี้เป็นที่ยอมรับว่ามีความสำคัญมากขึ้น แม้จะไม่เท่ากันทุกแห่งในแวดวงการศึกษา ถึงกระนั้นธรรมประเพณีที่ถูกต้องของพระศาสนจักรก็แสดงอย่างชัดเจนว่ามีความสนใจอยู่ตลอดมาที่จะศึกษา "ตัวอักษร"   ที่นี่เราจำเป็นต้องกล่าวถึงการศึกษาตามอารามต่างๆซึ่งในที่สุดคือรากฐานของอารยธรรมในยุโรป และมีรากอยู่ที่การศึกษาพระวาจา ความปรารถนาจะพบพระเจ้ายังรวมความรักพระวาจาในทุกมิติ "เนื่องจากว่าพระเจ้าเสด็จมาหาเรา และเราเข้าไปพบพระองค์ได้ในพระวาจาของพระคัมภีร์ เราจึงต้องเรียนรู้เพื่อเข้าถึงความลับของภาษา เพื่อเข้าใจภาษาในโครงสร้างและวิธีการแสดงความหมายของภาษา ดังนั้น เพื่อแสวงหาพระเจ้า ความรู้ทางโลกที่นำเราให้เข้าใจภาษาได้ดีขึ้นย่อมมีความสำคัญด้วย"[3]

33.      อำนาจสอนที่ยังเป็นปัจจุบันของพระศาสนจักรซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำ "หน้าที่อธิบายความหมายพระวาจาของพระเจ้าทั้งที่บันทึกไว้ และที่ได้รับถ่ายทอดต่อกันมาทางวาจาได้อย่างถูกต้องนั้น"[4] ย่อมเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างรอบคอบตามสมควรในการนำวิธีการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์มาใช้ ข้าพเจ้าคิดโดยเฉพาะถึงพระสมณสารสองฉบับ คือพระสมณสาร Providentissimus Deus ของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 และ Divivo afflante Spiritu ของสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12. สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ก่อนหน้าข้าพเจ้าได้ทรงระลึกถึงความสำคัญของเอกสาร ทั้งสองฉบับนี้ ในแวดวงการอธิบายความหมายพระคัมภีร์และในแวดวงของเทววิทยา ในโอกาสที่เอกสารเหล่านี้ได้ประกาศใช้มาครบ 100 ปีและ 50 ปี[5]

สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ทรงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อทรงปกป้องการอธิบายความหมายพระคัมภีร์แบบคาทอลิกให้พ้นจากการถูกโจมตีของลัทธิเหตุผลนิยม โดยไม่ปฏิเสธความหมายด้านประวัติศาสตร์เพื่ออธิบายเพียงความหมายด้านจิตใจเท่านั้น  พระศาสนจักรไม่ได้ปฏิเสธการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับ "ความคิดอคติที่อ้างว่าตั้งอยู่บนเหตุผลทางวิชาการ แต่ในความเป็นจริงแล้วพยายามใช้กลอุบายตัดวิชาการออกไปจากการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้"[6] ส่วนสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงต่อต้านการโจมตีของการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ที่เรียกกันว่า "ฌาณนิยม" (mystical) ซึ่งปฏิเสธการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ทางวิชาการทุกรูปแบบ พระสมณสาร Divino afflante Spiritu ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงความคิดที่ว่า "การอธิบายความหมายพระคัมภีร์ตามหลักวิชาการ" เพื่อใช้ปกป้องความเชื่อ แตกต่างกับ "การอธิบายความหมายพระคัมภีร์ที่สงวนไว้ใช้ในด้านจิตใจ" แต่ย้ำ "ความสำคัญด้านเทววิทยาของความหมายตามตัวอักษรจากการค้นคว้าทางวิชาการ" และยังบอกด้วยว่า "การค้นหาความหมายด้านจิตใจ...ก็อยู่ในแวดวงของการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ตามหลักวิชาการด้วย"[7] โดยวิธีนี้เอกสารทั้งสองฉบับจึงไม่ยอมรับว่ามี "ความแตกแยกระหว่างเรื่องราวของมนุษย์กับเรื่องราวของพระเจ้า ระหว่างการค้นคว้าทางวิชาการกับการมองโลกด้วยความเชื่อ ระหว่างความหมายตามตัวอักษรกับความหมายด้านจิตใจ"[8] ในช่วงเวลาต่อมา ความสมดุลนี้ยังได้รับการรับรองในเอกสารของสมณกรรมาธิการพระคัมภีร์ในปี 1993 ว่า "ในการอธิบายความหมายพระคัมภีร์ คาทอลิกผู้อธิบายความหมายจะต้องไม่ลืมว่าถ้อยคำที่เขากำลังอธิบายความหมายนั้นคือ พระวาจาของพระเจ้า บทบาทของเขาจึงไม่จบลงเพียงที่การกำหนดแหล่งที่มา การบรรยายถึงรูปแบบหรืออธิบายกระบวนการทางวรรณกรรมเท่านั้น เขาจะบรรลุถึงจุดหมายการทำงานของตน ก็เมื่อได้อธิบายความหมายของตัวบทพระคัมภีร์ในฐานะที่เป็นพระวาจาแท้จริงของพระเจ้าเท่านั้น"[9]



[1] Cfr Pontificia Commissio Biblica, L'interpretazione della Bibbia nella Chiesa (15 Aprilis 1993),A-B: Ench.Vat. 13, n.2846-3150.

[2] Benedictus XVI, Allocutio in XIV Congregatione Generali Synodi Episcoporum (14 Octobris 2008): Insegnamenti IV,2 (2008), 429; cfr Propositio 25.

[3] Id.. Allocutio Lutetiae Parisiorum ad viros culturae deditos apud Collegium a Bernardinis (12 Septembris 2008): AAS 100(2008), 722-723.

[4] Conc.Oecum.Vat.II. Const.dogm.de divina Revelatione Dei Verbum, 10.

[5] Cfr Ioannes Paulus II, Allocutio habita I expleto saeculo a Litteris encyclicis Providentissimus Deus necnon L exeunte anno a Litteris encyclicis Divino afflante Spiritu foras datis (23 Aprilis 1993): AAS 86 (1994), 232-243.

[6] Ibid., n.4: AAS 86(1994),235.

[7]Ibid., n.5: AAS 86 (1994),235.

[8]Ibid., n.5: AAS 86(1994), 236.

[9] Pontificia Commissio Biblica, L'interpretazione della Bibbia nella Chiesa (15 Aprilis 1993), III,C,1: Ench.Vat. 13,n.3065.

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก