“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

ปฐมกาล

ต้นกำเนิดของโลกและของมนุษยชาติ

ก. การเนรมิตสร้างและการตกในบาป

 

การเนรมิตสร้างโลกa

1 1เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินb 2แผ่นดินยังเป็นที่ร้างไร้รูปร่างc ความมืดมิดปกคลุมอยู่เหนือทะเลลึก และลมพายุแรงกล้าdพัดอยู่เหนือน้ำ

          3พระเจ้าตรัสว่า “จงมีความสว่าง” และความสว่างก็อุบัติขึ้น 4พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี ทรงแยกความสว่างออกจากความมืดe 5พระเจ้าทรงเรียกความสว่างว่า “วัน” ทรงเรียกความมืดว่า “คืน” มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่หนึ่ง

          6พระเจ้าตรัสว่า “จงมีแผ่นฟ้าขึ้นระหว่างน้ำf เพื่อแยกน้ำออกจากกัน” และก็เป็นเช่นนั้น 7พระเจ้าทรงสร้างแผ่นฟ้าg และทรงแยกน้ำใต้แผ่นฟ้าออกจากน้ำที่อยู่เหนือแผ่นฟ้า 8พระเจ้าทรงเรียกแผ่นฟ้าว่า“ท้องฟ้า” มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สอง

          9พระเจ้าตรัสว่า “น้ำใต้ท้องฟ้าจงมารวมอยู่ในที่เดียวกันh ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” และก็เป็นเช่นนั้น 10พระเจ้าทรงเรียกที่แห้งว่า “แผ่นดิน” ทรงเรียกมวลน้ำว่า “ทะเล” พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

          11พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงผลิตหญ้าเขียว คือพืชที่มีเมล็ดและไม้ผลที่มีเมล็ดในผลแต่ละชนิดบนแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น 12แผ่นดินผลิตหญ้าเขียว พืชที่มีเมล็ด และไม้ผลที่มีเมล็ดในผลแต่ละชนิด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 13มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สาม

          14พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างบนแผ่นฟ้าเพื่อแยกวันออกจากคืน เป็นเครื่องกำหนดเทศกาล วันและปี 15ใช้เป็นตะเกียงบนท้องฟ้าเพื่อส่องแสงเหนือแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น 16พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวงi ทรงให้ดวงใหญ่กำหนดวัน ดวงเล็กกำหนดคืน และทรงสร้างดวงดาวด้วย 17พระเจ้าทรงจัดสิ่งเหล่านี้ไว้บนแผ่นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน 18เพื่อกำหนดวันและคืน เพื่อแยกความสว่างจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 19มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่สี่

          20พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงผลิตสิ่งที่มีชีวิตจำนวนมาก นกจงโผบินใต้แผ่นฟ้าเหนือแผ่นดิน” และก็เป็นเช่นนั้น 21พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ รวมทั้งนกมีปีกทุกชนิด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 22พระเจ้าทรงอวยพรสัตว์เหล่านี้ว่า “จงมีลูกมาก และเพิ่มจำนวนขึ้นจนเต็มทะเล นกจงทวีจำนวนบนแผ่นดิน” 23มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่ห้า

24พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงผลิตสัตว์ทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยง สัตว์เลื้อยคลานj และสัตว์ป่า” และก็เป็นเช่นนั้น 25พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนพื้นดิน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

          26พระเจ้าตรัสว่า “เราkจงสร้างมนุษย์lขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา ให้มีความคล้ายคลึงmกับเรา ให้เป็นนายปกครองปลาในทะเล นกในท้องฟ้า สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่าn และสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน”

          27พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์

พระองค์ทรงสร้างเขาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า

          พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

          28พระเจ้าทรงอวยพรเขาทั้งสองคนและตรัสว่า “จงมีลูกมาก และทวีจำนวนขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงปกครองแผ่นดิน จงเป็นนายเหนือปลาในทะเล นกในอากาศ และสัตว์ทุกชนิดที่เคลื่อนไหวอยู่บนแผ่นดิน” 29พระเจ้ายังตรัสอีกว่า “ดูซิ เราให้ข้าวทุกชนิดซึ่งอยู่บนแผ่นดิน และผลไม้ที่มีเมล็ดเป็นอาหารสำหรับท่าน 30ส่วนบรรดาสัตว์ป่า นกในท้องฟ้า และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดิน เราให้หญ้าเขียวเป็นอาหาร”o และก็เป็นเช่นนั้น 31พระเจ้าทรงเห็นว่าทุกสิ่งที่ทรงสร้างนั้นดีมาก มีเวลาค่ำ มีเวลาเช้า นับเป็นวันที่หก

 

1 a เรื่องการสร้างโลกในบทนี้ สันนิษฐานว่ามาจากตำนานสงฆ์ การเล่าตอนนี้มีลักษณะเป็นนามธรรมและเป็นความคิดทางเทววิทยามากกว่าข้อความตอนต่อไป (ปฐก 2:4ข-25) จุดมุ่งหมายของการเล่าเรื่องนี้คือ สอนว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอย่างมีระเบียบ ภายในกรอบเวลาทำงานหนึ่งสัปดาห์ โดยมีวันสับบาโตเป็นวันหยุดพัก  สิ่งสร้างทั้งหลายอุบัติขึ้นตามพระบัญชาของพระเจ้าตามลำดับจากต่ำไปสูง มนุษย์ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าและเป็นราชาของสิ่งสร้างมาเป็นอันดับสุดท้าย พระคัมภีร์เล่าเรื่องโดยใช้วิทยาการโบราณของยุค จึงไม่ถูกต้องที่จะหาความสอดคล้องกันระหว่างเรื่องเล่าสั้นๆ นี้กับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แม้ผู้เขียนใช้ภูมิหลังจากตำนานเทพของลัทธิพหุเทวนิยมที่ชาวตะวันออกกลางโบราณคุ้นเคย แต่เรื่องที่เล่าก็ต้องการเปิดเผยว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวผู้ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนโลกที่ทรงสร้าง การเปิดเผยเช่นนี้มีคุณค่าสำหรับมนุษย์ทุกสมัย

b ประโยคแรกนี้ ยังแปลได้อีกว่าดังนี้ “เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” คำแปลของเราสอดคล้องกับคำแปลทั่วไป ทำให้ข้อ 1 เป็นหัวข้อเรื่อง สอดคล้องกับ 2:4ก ซึ่งเป็นการสรุปปิดท้าย; “ฟ้าและแผ่นดิน” หมายถึงจักรวาลซึ่งเป็นผลของการเนรมิตสร้าง ภาษาฮีบรูใช้คำกริยา bara’ ซึ่งสงวนไว้ให้พระเจ้าเท่านั้นเป็นประธานของกริยานี้ เพื่อแสดงว่าการเนรมิตสร้างของพระเจ้าแตกต่างจากการผลิตของมนุษย์

การเนรมิตสร้างในที่นี้ยังไม่มีความหมายทางอภิปรัชญาว่าเป็น “การสร้างจากความว่างเปล่า” เพราะความคิดนี้พบเป็นครั้งแรกใน 2 มคบ 7:28 เรื่องการเนรมิตสร้างยืนยันว่าโลกมีจุดเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่า การเนรมิตสร้างไม่เป็นเพียงตำนานเทพเพื่อสอนความจริงที่เป็นนามธรรม แต่เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ คือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์โดยแท้จริง

c ในภาษาฮีบรู ใช้คำว่า tohu และ bohu แปลว่า “ที่ร้างไม่มีร่องรอยผู้คนอาศัยและความว่างเปล่า” มี “ความมืดปกคลุมเหนือทะเลลึก” “ลม” และ “น้ำ” เป็นภาพทางลบซึ่งอาจก่อให้เกิดความคิดในภายหลังว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างจากความเปล่า

d แปลตามตัวอักษร “ลมของพระเจ้า” ซึ่งไม่ได้หมายถึงพระจิตเจ้าและบทบาทของพระองค์ในการเนรมิตสร้าง  การเนรมิตสร้างเกิดขึ้นโดย “พระวาจา” ของพระเจ้า (ข้อ 3 และข้ออื่นๆ) หรือโดย “กิจการ” ของพระองค์ (ข้อ 7, 16, 25, 26)

e ความสว่างเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า แต่ความมืดไม่ใช่ เพราะความมืดเป็นภาวะทางลบ (คือการไม่มีความสว่าง) พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างความสว่างเป็นอันดับแรก เพราะความต่อเนื่องของวันและคืนเป็นกรอบของการเนรมิตสร้าง

f สำหรับชาวเซมิติกโบราณ ท้องฟ้าคือหลังคาโค้งใหญ่ที่กั้นน้ำข้างบนไว้ น้ำที่ทำให้เกิดน้ำวินาศจะไหลลงมาทางประตูกั้นน้ำบนแผ่นฟ้านี้ (7:11)

g หลังจากทรงสร้างด้วยพระวาจา (“พระเจ้าตรัส”) พระองค์ยังทรงสร้างด้วยกิจการ (“พระเจ้าทรงสร้าง”) คือทรงสร้างแผ่นฟ้า ดาวดาราต่างๆ (ข้อ 16) สัตว์ทุกชนิดบนแผ่นดิน (ข้อ 25) และมนุษย์ (ข้อ 26) ด้วยวิธีนี้ ผู้เขียนจากตำนานสงฆ์ได้รวมความคิดถึงพระเจ้าซึ่งเป็นจิต (“พระเจ้าตรัส”) เข้ากับเรื่องเล่าที่โบราณกว่าในเรื่องการเนรมิตสร้างสำนวนที่สอง (2:4ข-25) ซึ่งในบทนั้น พระเจ้า “ทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน มนุษย์และสัตว์ต่างๆ”

h “ที่เดียวกัน” แปลตามภาษาฮีบรู ภาษากรีกว่า “รวมเป็นหนึ่งเดียว”

i “ดวงสว่าง” ผู้เขียนหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชนชาติเพื่อนบ้าน ในพระคัมภีร์ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นเพียงดวงส่องสว่างมายังโลก และเป็นตัวกำหนดวัน เดือน ปี ตามปฏิทินเท่านั้น

j “เลื้อยคลาน” หรือ “แหวกว่าย” (ข้อ 21) หรือ “เคลื่อนไหว” (ข้อ 28) ในที่นี้หมายถึง งู จิ้งจก แมลงและสัตว์เล็กๆ ต่างๆ

k เป็นไปได้ที่รูปพหูพจน์ในที่นี้เป็นการสนทนาระหว่างพระเจ้ากับข้าราชบริพารในสวรรค์ (ทูตสวรรค์ ดู 3:5, 22) ดังที่ สดด 8:5 ในฉบับภาษากรีกเข้าใจ (อ้างถึงใน ฮบ 2:7) ในอีกด้านหนึ่ง รูปพหูพจน์อาจหมายถึงพระเดชานุภาพและความบริบูรณ์ของพระเจ้า คำว่า “พระเจ้า” ในภาษาฮีบรูคือ Elohim อยู่ในรูปพหูพจน์

l “มนุษย์” ในที่นี้หมายถึง “มนุษยชาติ”

m “ความคล้ายคลึง” เป็นคำที่ทำให้คำว่า “ภาพลักษณ์” มีความหมายอ่อนลง ทั้งนี้ เพื่อบอกว่ามนุษย์ไม่เท่าเสมอกับพระเจ้า “ภาพลักษณ์” เป็นคำรูปธรรมซึ่งแสดงถึงความเหมือนกันทางกายภาพ เช่นอาดัมกับบุตรของเขา (5:3) การที่มนุษย์มีสัมพันธภาพเช่นนี้กับพระเจ้าเป็นการแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ ยิ่งกว่านั้นยังหมายความว่ามนุษย์มีความคล้ายคลึงกับพระเจ้าโดยธรรมชาติ ในด้านสติปัญญา เจตจำนง และอำนาจปกครอง ความคิดนี้เตรียมการเปิดเผยที่สูงกว่าในภายหลังว่า มนุษย์จะมีส่วนร่วมในธรรมชาติของพระเจ้าโดยทางพระหรรษทาน

n “สัตว์ป่า” ตามต้นฉบับภาษาซีเรียค ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “แผ่นดินทั้งหมด”

o เป็นการบรรยายถึงยุคทองเมื่อมนุษย์และสัตว์ยังอยู่ด้วยกันอย่างสันติ กินพืชเป็นอาหาร บทที่ 9 ข้อ 3 จะเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก