หนังสือโทบิต

  1. บทที่ 1
  2. บทที่ 2
  3. บทที่ 3
  4. บทที่ 4
  5. บทที่ 5
  6. บทที่ 6
  7. บทที่ 7
  8. บทที่ 8
  9. บทที่ 9
  10. บทที่ 10
  11. บทที่ 11
  12. บทที่ 12
  13. บทที่ 13
  14. บทที่ 14

หนังสือโทบิตa

 

1       1หนังสือเรื่องของโทบิตb บุตรของโทบิเอล บุตรของอานานิเอล บุตรของอาดูเอล บุตรของกาบะเอล จากเชื้อสายของอาสิเอล ชนเผ่านัฟทาลี 2ในรัชสมัยของกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์c แห่งอัสซีเรีย เขาถูกจับเป็นเชลยจากเมืองทิสเบซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองคาเดชแห่งนัฟทาลี ในแคว้นกาลิลีตอนบน เหนือเมืองฮาโซร์ ค่อนไปทางตะวันตก เหนือเมืองเชฟัท

I. โทบิตในถิ่นเนรเทศ

 

            3ข้าพเจ้า โทบิต ดำเนินชีวิตในหนทางแห่งความจริงและความชอบธรรมตลอดชีวิตd ข้าพเจ้าให้ทานมากมายแก่พี่น้องและเพื่อนร่วมชาติที่ถูกเนรเทศพร้อมกับข้าพเจ้าไปยังนครนีนะเวห์ ในแผ่นดินอัสซีเรีย 4เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นหนุ่มอยู่ในแผ่นดินอิสราเอลบ้านเกิดของข้าพเจ้า เผ่านัฟทาลีบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งเผ่าแยกตัวออกจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด และจากกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองเดียวที่ได้รับเลือกจากบรรดาเผ่าทั้งหลายในอิสราเอลให้เป็นสถานที่ถวายเครื่องบูชา ให้เป็นที่สร้างพระวิหาร ซึ่งเป็นที่ประทับของพระผู้สูงสุดสำหรับทุกชั่วอายุคนในอนาคต 5ญาติพี่น้องทุกคนของข้าพเจ้าและชนเผ่านัฟทาลีบรรพบุรุษถวายเครื่องบูชาแด่รูปลูกโคบนยอดเขาทุกแห่งในแคว้นกาลิลี กษัตริย์เยโรโบอัมแห่งอิสราเอลทรงสร้างรูปลูกโคนี้ขึ้นที่เมืองดาน

          6มีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวที่จาริกไปร่วมงานฉลองที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อปฏิบัติตามธรรมบัญญัติซึ่งมีผลบังคับชาวอิสราเอลทุกคนตลอดไป ข้าพเจ้ารีบไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายผลิตผลแรกและลูกสัตว์ตัวแรก หนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ รวมทั้งขนแกะที่ตัดครั้งแรกด้วย 7ข้าพเจ้านำสิ่งเหล่านี้ไปมอบแก่บรรดาสมณะบุตรหลานของอาโรน เพื่อถวายที่พระแท่นบูชา ข้าพเจ้ามอบหนึ่งในสิบของข้าวสาลี เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอกเทศ ผลทับทิม ผลมะเดื่อเทศและผลไม้อื่นๆ ให้แก่ชนเผ่าเลวีซึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลาหกปีติดต่อกัน ข้าพเจ้าจะขายหนึ่งในสิบส่วนที่สอง นำเงินมาใช้จ่ายที่กรุงเยรูซาเล็มทุกปี 8หนึ่งในสิบส่วนที่สามe ข้าพเจ้าจะมอบให้แก่แม่ม่าย ลูกกำพร้า และคนต่างด้าวที่อยู่ในหมู่ชาวอิสราเอล ข้าพเจ้านำส่วนนี้ไปให้เขาด้วยตนเองทุกสามปี และกินอาหารร่วมกันตามที่โมเสสสั่งไว้ในธรรมบัญญัติ และดังที่เดโบราห์มารดาของอานานิเอล ปู่ของข้าพเจ้าเคยสอนไว้ บิดาของข้าพเจ้าตายไปแล้ว ทิ้งข้าพเจ้าไว้เป็นเด็กกำพร้า 9เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็แต่งงานกับอันนาf หญิงคนหนึ่งในตระกูลเดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีบุตรคนหนึ่งจากนาง ให้ชื่อว่าโทบียาห์

          10เมื่อชาวอิสราเอลถูกจับเป็นเชลยไปยังแคว้นอัสซีเรีย ข้าพเจ้าก็ถูกจับเป็นเชลยไปยังนครนีนะเวห์ด้วย ญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าทุกคนกินอาหารของชนต่างชาติg 11แต่ข้าพเจ้าระมัดระวังไม่กินอาหารนั้น 12ข้าพเจ้าซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าสุดจิตใจ 13พระผู้สูงสุดจึงทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์ ข้าพเจ้าเป็นผู้จัดซื้อทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์ 14ข้าพเจ้ามักจะเดินทางไปยังแคว้นมีเดีย เพื่อจัดซื้อสิ่งของที่ทรงต้องการตลอดรัชสมัยของพระองค์ ข้าพเจ้าฝากเงินหนักประมาณสามร้อยสี่สิบกิโลกรัมh ใส่ถุงไว้กับกาบะเอล พี่ชายของกาบรีอัส ที่เมืองราเกสในแคว้นมีเดีย

15เมื่อกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์สิ้นพระชนม์แล้ว เซนนาเคริบพระโอรสก็ขึ้นครองราชย์สืบต่อมา เส้นทางไปแคว้นมีเดียไม่ปลอดภัย ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปที่นั่นไม่ได้อีก 16ในรัชสมัยของกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์ ข้าพเจ้าเคยให้ทานแก่พี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าเสมอ 17ข้าพเจ้าให้ขนมปังแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ถ้าข้าพเจ้าเห็นศพของเพื่อนร่วมชาติที่ถูกฆ่าและถูกโยนทิ้งไว้นอกกำแพงเมืองนีนะเวห์ ข้าพเจ้าก็นำไปฝัง

18ข้าพเจ้ายังฝังศพของผู้ที่ถูกกษัตริย์เซนนาเคริบฆ่า เมื่อพระองค์ทรงถอยทัพหนีมาจากแคว้นยูเดีย เพราะกษัตริย์แห่งสวรรค์ทรงลงโทษผู้ที่กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า กษัตริย์เซนนาเคริบทรงพระพิโรธ จึงทรงประหารชีวิตชาวอิสราเอลจำนวนมาก ข้าพเจ้าลอบนำศพของเขาไปฝัง กษัตริย์รับสั่งให้ค้นหาศพเหล่านั้น แต่ไม่พบ 19ชาวนีนะเวห์คนหนึ่งไปทูลกษัตริย์ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้นำศพไปฝังอย่างลับๆ เมื่อข้าพเจ้ารู้ว่ากษัตริย์ทรงทราบเรื่องและรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังถูกตามฆ่า ข้าพเจ้าก็กลัวและหลบหนีไป 20ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าพเจ้าถูกยึดเข้าพระคลัง ข้าพเจ้าไม่มีอะไรเหลือนอกจากอันนาภรรยา และโทบียาห์บุตรชาย

21ต่อมาไม่ถึงสี่สิบวัน พระโอรสสองพระองค์ปลงพระชนม์กษัตริย์เซนนาเคริบ แล้วทรงหลบหนีไปที่เทือกเขาอารารัต เอสารฮัดโดนพระโอรสขึ้นครองราชย์สืบต่อมา และทรงแต่งตั้งอาคิคาร์iบุตรของอานาเอลน้องชายของข้าพเจ้าให้เป็นเสนาบดีคลัง และเป็นผู้ดูแลงานบริหารทั้งหมดของอาณาจักร 22อาคิคาร์จึงไปทูลขออภัยโทษแทนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกลับไปที่กรุงนีนะเวห์ได้อีก ในรัชสมัยของกษัตริย์เซนนาเคริบแห่งอัสซีเรีย อาคิคาร์เคยเป็นหัวหน้าพนักงานเครื่องเสวย เป็นผู้รักษาพระธำมรงค์ตราของกษัตริย์ เป็นผู้บริหารราชการและเสนาบดีคลังอยู่ก่อนแล้ว และกษัตริย์เอสารฮัดโดนทรงแต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่งนี้อีกครั้งหนึ่ง เขาเป็นญาติของข้าพเจ้า เขาเป็นหลานชายของข้าพเจ้า

 

1 a ตัวบทของหนังสือนี้ในภาษากรีกกับภาษาละตินมีความแตกต่างกันมาก โดยทั่วไปเราจึงใช้ตัวบทภาษากรีกเป็นพื้นฐานในการแปล โดยคำนึงถึงสำนวนแปลอื่นๆ อีกด้วย นอกจากนั้น หมายเลขข้อในตัวบทภาษากรีกกับภาษาละตินก็ยังมีความแตกต่างกันบ้างอีกด้วย

b “โทบิต” ชื่อของบิดาในเรื่อง เป็นรูปภาษากรีกของชื่อ “โทบียาห์” ในภาษาฮีบรู ที่แปลว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นความดีของข้าพเจ้า” และซึ่งเราใช้เป็นชื่อบุตรของโทบิต ในภาษากรีกเรียกชื่อบุตรว่า “โทบีอัส”

c “กษัตริย์ซัลมาเนเสอร์” หมายถึงกษัตริย์ซัลมาเนเสอร์ที่ 5 (726-722 ก่อน ค.ศ.) โดยแท้จริงแล้ว ชนเผ่านัฟทาลีถูกจับเป็นเชลยในปี 734 ก่อน ค.ศ. ในรัชสมัยของกษัตริย์ทิกลัท-ปิเลเสอร์ที่ 3 (745-726 ก่อน ค.ศ.)

d “ตลอดชีวิต” ความเลื่อมใสศรัทธาของโทบิตไม่อยู่ในการศึกษาธรรมบัญญัติอย่างละเอียดถี่ถ้วน (ดู สดด 119) แต่อยู่ที่การปฏิบัติกิจการดีตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ เช่นการทำทาน การฝังศพผู้ตายไร้ญาติ การจาริกไปร่วมฉลองที่กรุงเยรูซาเล็ม การถวายหนึ่งในสิบของรายได้ ฯลฯ

e “ส่วนที่สาม” แปลตามสำเนาโบราณ B และ A ไม่พบในสำเนาโบราณ S

f “อันนา” แปลตามสำเนาโบราณ B และ A ไม่พบในสำเนาโบราณ S

g “อาหารของชนต่างชาติ” ชาวยิวถูกห้ามไม่ให้กินอาหารของชนต่างชาติ เพราะไม่ได้เตรียมตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติ (ดู ลนต 11; ฉธบ 14)

h “เงินหนักประมาณสามร้อยสี่สิบกิโลกรัม” ตามตัวอักษรว่า “10 ตะลันต์”

i “อาคิคาร์” ยังถูกกล่าวถึงอีกใน 1:22; 2:10; 11:18; 14:10; ดู ยดธ 5:5 เชิงอรรถ b ผู้เขียน ทบต อ้างถึงอาคิคาร์ที่นี่เพื่อเชื่อมเรื่องโทบิตกับหนังสือ “ปรีชาญาณของอาคิคาร์” ซึ่งเป็นงานเขียนที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณหลายภาษาหลายแบบด้วยกัน เพื่อแสดงว่าโทบิตเป็นผู้มีปรีชาเหนือกว่าอาคิคาร์ เพราะโทบิตได้อบรมโทบียาห์บุตรชายอย่างดี ส่วนอาคิคาร์เคยอุปการะนาดับหลานชาย จนได้รับตำแหน่งแทนตนในรัชสมัยของกษัตริย์เอสารฮัดโดน แต่นาดับหลานชายได้เนรคุณ กล่าวหาผู้มีพระคุณต่อพระราชา จนอาคิคาร์ต้องหนีแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาเมื่อกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงท้าทายให้กษัตริย์อาสารฮัดโดนทรงเลือกว่าจะยอมส่งบรรณาการให้อียิปต์ หรือจะช่วยพระองค์สร้าง “พระราชวังในอากาศ” กษัตริย์จึงทรงระลึกถึงอาคิคาร์ที่ทรงคิดว่าถูกประหารชีวิตไปแล้ว อาคิคาร์กลับมาแสดงตนรับการท้าทาย โดยให้นกอินทรีนำเด็กสองคนขึ้นไปบนอากาศ ให้ชาวอียิปต์ส่งวัสดุก่อสร้างขึ้นไปทำการก่อสร้างในอากาศ เมื่อชาวอียิปต์ทำไม่ได้ ข้อตกลงจึงล้มพับไป อาคิคาร์ได้รับตำแหน่งคืนมา เรื่องอาคิคาร์นี้จึงมีลักษณะคล้ายกับเรื่องศรีธนนชัยของเราอยู่ไม่น้อย

II. โทบิตตาบอด

 

2         1ในรัชสมัยของกษัตริย์เอสารฮัดโดน ข้าพเจ้ากลับบ้านมาอยู่กับอันนาภรรยาและโทบียาห์บุตรชายอีกครั้งหนึ่ง ในวันฉลองเปนเตกอสเตหรือวันฉลองสัปดาห์ เขาเตรียมอาหารอย่างดีไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มานั่งที่โต๊ะ 2ซึ่งมีอาหารหลายอย่าง ข้าพเจ้าพูดกับโทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย จงออกไปเถิด ถ้าพบคนยากจนที่ระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตใจในหมู่พี่น้องของเราที่ถูกเนรเทศมายังกรุงนีนะเวห์ด้วยกัน ก็จงนำเขามาร่วมโต๊ะกินอาหารกับเรา พ่อจะรอจนกว่าลูกจะกลับมา” 3โทบียาห์จึงออกไปหาคนยากจนในหมู่พี่น้องของเรา แต่เขากลับมาบอกว่า “พ่อครับ” ข้าพเจ้าถามว่า “มีอะไรหรือลูก” เขาพูดต่อไปว่า “พ่อครับ เพื่อนร่วมชาติของเราคนหนึ่งถูกฆ่า ถูกบีบคอและถูกทิ้งไว้ที่ตลาด ศพของเขายังอยู่ที่นั่น” 4ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้น ทิ้งอาหารไว้บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้ชิมอะไร นำศพจากตลาดไปไว้ในห้องหนึ่ง รอจนดวงอาทิตย์ตกเพื่อจะได้นำเขาไปฝัง 5ข้าพเจ้ากลับมาอาบน้ำชำระร่างกายแล้วนั่งลงกินอาหารด้วยความเศร้า 6โดยระลึกถึงถ้อยคำของประกาศกอาโมสที่กล่าวถึงเมืองเบธเอลว่า

          “วันฉลองของท่านจะกลายเป็นวันไว้ทุกข์

                        การร้องรำทำเพลงของท่านก็จะกลายเป็นการคร่ำครวญ

 

            7แล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้ เมื่อดวงอาทิตย์ตก ข้าพเจ้าก็ไปขุดหลุมฝังศพของเขา 8เพื่อนบ้านของข้าพเจ้าหัวเราะเยาะข้าพเจ้า พูดว่า “เขาไม่กลัวถูกฆ่าอีกแล้วหรือ เขาถูกตามฆ่าเพราะการกระทำเช่นนี้และต้องหนีไป บัดนี้เขากลับมาฝังศพอีกแล้ว”

          9ในคืนเดียวกันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากการฝังศพ ข้าพเจ้าก็อาบน้ำและออกไปที่ลานบ้าน นอนที่กำแพงลานไม่ได้คลุมหน้า เพราะอากาศร้อน 10ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามีนกกระจอกอยู่บนกำแพงเหนือศีรษะข้าพเจ้า มูลร้อนของนกตกลงเข้าตาข้าพเจ้า ทำให้เป็นฝ้าขาว ข้าพเจ้าไปพบแพทย์ แต่เขารักษาข้าพเจ้าไม่ได้ ยิ่งเขาใส่ยา ตาของข้าพเจ้าก็ยิ่งมีฝ้าขาวมากขึ้น จนบอดสนิท ข้าพเจ้าตาบอดเป็นเวลาสี่ปี พี่น้องทุกคนของข้าพเจ้าเสียใจมาก อาคิคาร์รับภาระเลี้ยงดูข้าพเจ้าเป็นเวลาสองปี ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังแคว้นเอลีมาอิส

          11เวลานั้น อันนาภรรยาของข้าพเจ้าทำงานที่บ้านเพื่อหารายได้ นางปั่นขนแกะและทอผ้าa 12นำงานที่ทำไปส่งให้นายจ้างและรับเงินเป็นค่าตอบแทน วันหนึ่ง ตรงกับวันที่เจ็ดเดือนดิสตรอสb นางทอผ้าผืนหนึ่งเสร็จและนำไปส่งให้นายจ้าง เขาจ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมด และยังแถมลูกแพะอีกตัวหนึ่งมาให้เป็นอาหาร 13เมื่อลูกแพะเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า ก็เริ่มร้อง ข้าพเจ้าจึงเรียกภรรยามาถามว่า “ลูกแพะตัวนี้มาจากไหน เธอไปขโมยมาหรือ จงเอาไปคืนเจ้าของ เราไม่มีสิทธิ์กินของขโมยใดๆ” 14นางตอบว่า “เขาให้ฉันมาเป็นรางวัลนอกเหนือจากค่าจ้าง” แต่ข้าพเจ้าไม่เชื่อนาง บอกซ้ำให้นางนำลูกแพะไปคืนเจ้าของ ข้าพเจ้ารู้สึกอายแทนนางเพราะเรื่องนี้ แต่นางย้อนข้าพเจ้าว่า “การทำทานของท่านไปไหนหมด กิจการดีของท่านหายไปไหน ใครๆก็รู้ว่าท่านเป็นอย่างไร”

2 a “ปั่นขนแกะและทอผ้า” แปลจากสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

b “เดือนดิสตรอส” เป็นชื่อเดือนตามปฏิทินของชาวมาซิโดเนีย ตรงกับเดือน Adar ในปฏิทินของชาวยิว คือเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม

3 1ข้าพเจ้าเศร้าใจ ถอนใจ ร้องไห้ เริ่มอธิษฐานภาวนาคร่ำครวญว่า

          2“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม

                    พระราชกิจของพระองค์ล้วนชอบธรรม

          วิถีทางของพระองค์แสดงพระกรุณาและความจริง

                    พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาโลก

          3ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

                    บัดนี้ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดทอดพระเนตรมายังข้าพเจ้าเถิด

          ขออย่าทรงลงโทษข้าพเจ้าเพราะบาปของข้าพเจ้า

                    หรือเพราะความผิดของข้าพเจ้าและของบรรพบุรุษ

          4ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบาปผิดต่อพระองค์

                    ละเมิดพระบัญชาของพระองค์

          พระองค์จึงทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายถูกปล้น

                    ถูกจับเป็นเชลยและถูกฆ่า

          กลายเป็นเรื่องเล่า เป็นที่หัวเราะเยาะ

                    เป็นที่ดูหมิ่นของนานาชาติ

          ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องกระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ด้วย

          5บัดนี้ พระวินิจฉัยทั้งปวงของพระองค์ล้วนเป็นความจริง

                    ทรงกระทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามความผิดของข้าพเจ้าและบรรพบุรุษa

เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์

ไม่ดำเนินชีวิตในความจริงเฉพาะพระพักตร์

6บัดนี้ โปรดทรงทำกับข้าพเจ้าตามพระประสงค์

โปรดทรงบัญชาให้เอาชีวิตข้าพเจ้าไปเสีย

ให้ข้าพเจ้าถูกนำออกไปจากพื้นแผ่นดิน

และกลายเป็นฝุ่นดิน

ให้ข้าพเจ้าตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิต

เพราะข้าพเจ้าต้องได้ยินคำสบประมาทโดยไร้มูลเหตุ

ทำให้ข้าพเจ้าต้องเป็นทุกข์เศร้าใจอย่างสุดซึ้ง

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

โปรดทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์นี้

ไปยังที่พำนักนิรันดร

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

โปรดอย่าทรงเมินพระพักตร์ไปจากข้าพเจ้าเลย

โปรดให้ข้าพเจ้าตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

ต้องทนความทุกข์ทรมานมากมาย

และได้ยินคำสบประมาทตลอดชีวิต”

III. นางซาราห์

 

7วันเดียวกันนั้น ซาราห์บุตรสาวของรากุเอล ผู้อาศัยอยู่ที่เมืองเอกบาทานาในแคว้นมีเดีย ก็ได้ยินคำสบประมาทจากหญิงรับใช้คนหนึ่งของบิดา 8นางเคยเข้าพิธีแต่งงานถึงเจ็ดครั้ง แต่สามีแต่ละคนก็ถูกอัสโมเดอัสbปีศาจร้ายฆ่าเสียก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กันฉันสามีภรรยา หญิงรับใช้พูดกับนางว่า “คุณนายนั่นเองเป็นผู้ฆ่าสามีของคุณนาย คุณนายมีสามีถึงเจ็ดคนแล้ว แต่ไม่มีความสุขกับสามีคนใดเลยc 9คุณนายมาทุบตีพวกเราทำไม ถ้าสามีตายหมดแล้ว จงไปอยู่กับเขาเถิด อย่าให้พวกเราได้เห็นบุตรชายหรือบุตรหญิงของคุณนายเลย” 10วันนั้น นางเป็นทุกข์ใจมาก ร้องไห้และขึ้นไปยังห้องของบิดา คิดจะแขวนคอตาย แต่แล้วนางคิดได้ว่า “อย่าเลย มิฉะนั้นผู้คนจะมาสบประมาทบิดาของฉันอีก พูดว่า ‘ท่านมีบุตรสาวที่ท่านรักมากเพียงคนเดียว บัดนี้นางก็มาแขวนคอตายเพราะเคราะห์ร้ายของนาง’ ฉันจะทำให้พ่อซึ่งแก่แล้วต้องตายด้วยความทุกข์d ฉันต้องไม่แขวนคอตายดีกว่า แต่จะวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงอนุญาตให้ฉันตาย จะได้ไม่ต้องได้ยินคำสบประมาทอีกต่อไป” 11เวลานั้น นางกางแขนออก หันไปทางหน้าต่าง อธิษฐานว่า

“ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตากรุณา ขอพระองค์ทรงได้รับการถวายพระพรเถิด

ขอพระนามพระองค์ได้รับการถวายพระพรตลอดนิรันดร

ขอพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดไปเทอญ

12บัดนี้ ข้าพเจ้าเงยหน้าและเพ่งมองพระองค์

13ขอพระองค์ทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าพ้นจากแผ่นดินนี้เถิด

ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องได้ยินคำสบประมาทอีกต่อไป

14ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ายังบริสุทธิ์

ไม่มีมลทินจากชายใดเลย

15ข้าพเจ้าไม่เคยทำให้นามของข้าพเจ้า

หรือนามของบิดาข้าพเจ้าต้องเสื่อมเสีย

ในแผ่นดินเนรเทศนี้เลย

ข้าพเจ้าเป็นบุตรหญิงเพียงคนเดียวของบิดา

เขาไม่มีบุตรคนอื่นเป็นทายาท

เขาไม่มีพี่น้องใกล้ชิด

หรือญาติเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว

ที่ข้าพเจ้าจะต้องเก็บตัวไว้เป็นภรรยา

ข้าพเจ้าสูญเสียสามีแล้วเจ็ดคน

จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกทำไม

ถ้าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ข้าพเจ้าตาย

ก็โปรดทอดพระเนตรข้าพเจ้าด้วยความเอ็นดูเถิด

ข้าพเจ้าทนฟังคำสบประมาทต่อไปไม่ได้แล้ว”e

16เวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ทรงฟังคำอธิษฐานของคนทั้งสอง17พระองค์ทรงส่งราฟาเอลfให้ไปรักษาทั้งสองคน เขาจะต้องลอกฝ้าออกจากนัยน์ตาของโทบิต เพื่อให้นัยน์ตาของโทบิตเห็นแสงสว่างของพระเจ้า และจะต้องจัดให้นางซาราห์บุตรสาวของรากุเอลได้เป็นภรรยาของโทบียาห์บุตรของโทบิต และปลดปล่อยนางจากอำนาจของอัสโมเดอัส ปีศาจร้าย โดยแท้จริงแล้ว โทบียาห์มีสิทธิ์ที่จะรับนางไว้เป็นภรรยาก่อนคนอื่นที่มาขอแต่งงานกับนาง

ในขณะนั้น โทบิตกำลังกลับจากลานเข้าไปในบ้าน และนางซาราห์บุตรสาวของรากุเอลกำลังลงมาจากห้องชั้นบน

3 a “บรรพบุรุษ” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค

b “อัสโมเดอัส” ชื่อปีศาจ ซึ่งแปลว่า “ผู้ทำลาย” ชวนให้คิดถึงทูตสวรรค์ที่ประหารชีวิตประชาชนใน 2 ซมอ 24:16; ปชญ 18:25; วว 9:11 ปีศาจอัสโมเดอัสจึงมีบทบาทตรงข้ามกับทูตสวรรค์ราฟาเอล (ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงบำบัดรักษา”)

c “ไม่มีความสุขกับสามีคนใด” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกันและอเล็กซานเดรีย (B, A) สำเนาโบราณฉบับภูเขาซีนาย (S) ว่า “ไม่มีชื่อจากสามีคนใด” หมายความว่านางซาราห์ถูกสาปแช่งให้นำความตายมาให้สามีทุกคน

d “ทำให้พ่อซึ่งแก่แล้วต้องตายด้วยความทุกข์” แปลตามตัวอักษรว่า “ทำให้ผมหงอกของบิดาต้องไปยังแดนผู้ตายด้วยความเศร้าโศก” เป็นสำนวนที่พบบ่อยๆ ในเรื่องโยเซฟ เช่น ปฐก 37:35; 42:38; 44:29, 31

e “ข้าพเจ้าทนฟังคำสบประมาทต่อไปไม่ได้แล้ว” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) สำนวนแปลโบราณภาษาละตินและซีเรียค สำเนาโบราณฉบับภูเขาซีนาย (S) ว่า “โปรดฟังคำสบประมาทที่ข้าพเจ้าได้รับเถิด”

f “ราฟาเอล” เป็นทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์รักษาที่พระเจ้าทรงส่งมารักษาโทบิตและนางซาราห์ ทูตสวรรค์อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อนำคำอธิษฐานภาวนาของเขาทั้งสองคนถวายแด่พระองค์ (12:12, 15; ดู 5:4 เชิงอรรถ b)

IV. โทบียาห์

 

4         1วันเดียวกันนั้น โทบิตระลึกถึงเงินที่ตนเคยฝากไว้กับกาบาเอลที่เมืองราเกสในแคว้นมีเดีย 2เขาคิดว่า “ข้าพเจ้าถึงกับได้ขอความตายแล้ว ข้าพเจ้าน่าจะเรียกโทบียาห์บุตรชายมาบอกเรื่องเงินจำนวนนี้ก่อนตาย” 3เขาจึงเรียกโทบียาห์บุตรชายเข้ามาพบ และบอกว่า “เมื่อพ่อตายแล้วa ลูกจงฝังศพพ่ออย่างดี จงนับถือแม่ของลูก อย่าทอดทิ้งแม่ไปตราบที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ จงทำทุกอย่างตามที่แม่ต้องการ อย่าให้แม่ต้องเศร้าใจ 4ลูกเอ๋ย จงจำไว้ว่าแม่ต้องเผชิญอันตรายมากมายเพื่อลูกเมื่อลูกยังอยู่ในครรภ์ เมื่อแม่ตาย จงฝังศพของแม่ไว้ข้างพ่อในหลุมเดียวกัน”

          5“ลูกเอ๋ย จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกวันตลอดชีวิตของลูก อย่าจงใจทำบาปหรือละเมิดบทบัญญัติของพระองค์เลย จงทำความดีทุกวันตลอดชีวิต อย่าดำเนินตามหนทางที่ไม่ถูกต้อง 6เพราะผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกต้องb จะประสบความสำเร็จในกิจการของตน”

          7“จงแบ่งทรัพย์สมบัติของลูกส่วนหนึ่งไว้ทำทาน อย่าเสียดายสิ่งที่ลูกให้เป็นทาน อย่าเบือนหน้าจากคนยากจน แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงผินพระพักตร์ไปจากลูก 8จงให้ทานตามสัดส่วนทรัพย์สมบัติที่ลูกมี ถ้ามีมาก จงให้มาก ถ้ามีน้อย ก็อย่าลังเลจะให้ทานเพียงเล็กน้อย 9การกระทำเช่นนี้เป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในยามขัดสน 10เพราะการให้ทานปลดปล่อยให้พ้นความตาย และป้องกันมิให้ลงไปสู่ความมืด 11การให้ทานเป็นบรรณาการประเสริฐเฉพาะพระพักตร์พระผู้สูงสุดสำหรับทุกคนที่ให้ทาน”

          12“ลูกเอ๋ย จงระวังอย่าผิดประเวณีเลย ก่อนอื่น จงเลือกภรรยาจากวงศ์ตระกูลของบรรพบุรุษ อย่าแต่งงานกับหญิงต่างชาติซึ่งไม่อยู่ในวงศ์ตระกูลของบรรพบุรุษ เพราะเราเป็นบุตรของบรรดาประกาศก จงระลึกถึงโนอาห์ อับราฮัม อิสอัคและยาโคบบรรพบุรุษของเราตั้งแต่แรกเริ่ม เขาทุกคนแต่งงานกับหญิงจากเครือญาติของตนทั้งสิ้น และทุกคนได้รับพระพรในบรรดาลูกหลาน เชื้อสายของเขาจะได้แผ่นดินเป็นมรดก 13บัดนี้ ลูกเอ๋ย จงรักพี่น้องของลูก อย่าคิดดูหมิ่นพี่น้องของลูก จงเลือกภรรยาจากเครือญาติพี่น้องของลูก เพราะความหยิ่งจองหองนำไปสู่หายนะและความกังวลมากมาย ความเกียจคร้านย่อมทำให้เกิดความขัดสนและความยากจน เพราะความเกียจคร้านเป็นบ่อเกิดของความอดอยาก”

          14“อย่าเก็บค่าจ้างของผู้ที่ทำงานให้ลูกค้างคืนไว้ จงจ่ายให้เขาทันที ถ้าลูกรับใช้พระเจ้า พระองค์จะทรงตอบแทนให้ลูก ลูกเอ๋ย จงระวังตัวในกิจการทุกอย่างที่ลูกทำ จงปฏิบัติตนให้อยู่ในวินัยเสมอ 15ลูกเกลียดสิ่งใด ก็อย่าทำสิ่งนั้นแก่ผู้อื่น อย่าดื่มเหล้าองุ่นจนเมามาย อย่าให้ความเมามายเดินไปกับลูกเลย”

          16“จงแบ่งอาหารของลูกให้แก่ผู้หิวโหย จงแบ่งเสื้อผ้าของลูกให้แก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ลูกมีสิ่งใดเหลือใช้ ก็จงให้เป็นทาน อย่าเสียดายสิ่งที่ลูกให้เป็นทาน 17ลูกจงวางอาหารcบนหลุมฝังศพของผู้ชอบธรรม แต่อย่าให้สิ่งใดแก่คนบาปเลย”

          18“จงขอคำแนะนำจากคนฉลาดสุขุมทุกคน อย่าดูหมิ่นคำแนะนำใดๆ ที่เป็นประโยชน์ 19จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของลูกในทุกกรณี จงวอนขอพระองค์ทรงบันดาลให้หนทางของลูกเที่ยงตรง ให้ความพยายามและแผนการของลูกบรรลุผลทุกประการ เพราะไม่มีชนชาติใดมีความปรีชาฉลาด แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ประทานความดีทุกประการ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกย่องผู้ใดตามพระประสงค์d และทรงให้เขาตกต่ำถึงแดนมรณะตามพระประสงค์ด้วย บัดนี้ ลูกเอ๋ย จงจดจำบทบัญญัติเหล่านี้ อย่าปล่อยให้เลือนไปจากจิตใจของลูกเลย”

          20“บัดนี้ ลูกเอ๋ย พ่อบอกให้ลูกรู้ว่าพ่อเคยฝากเงินหนักประมาณสามร้อยสี่สิบกิโลกรัมไว้กับกาบาเอลพี่ชายของกาบรีอัส ที่เมืองราเกสในแคว้นมีเดีย 21ลูกเอ๋ย อย่ากลัวถ้าเราจะยากจนลง ลูกจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ถ้าลูกยำเกรงพระเจ้า ถ้าลูกหลีกเลี่ยงการทำบาปทุกชนิด และทำเฉพาะสิ่งที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของลูก”

4 a “เมื่อพ่อตายแล้ว” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและซีเรียค

b “ผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกต้อง” แปลตามตัวอักษรว่า “ผู้ทำความจริง” * ข้อ 7-19 ไม่มีในสำเนาโบราณฉบับภูเขาซีนาย (S) เราคัดข้อความนี้มาจากสำนวนแปลโบราณภาษาละติน โดยเทียบกับสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และภาษาซีเรียค

c “ลูกจงวางอาหาร” แปลตามตัวอักษรว่า “จงเทอาหาร” บางคนคิดว่าน่าจะแปลว่า “เทเหล้าองุ่นและวางอาหาร” ตามข้อความในหนังสือ “ปรีชาญาณของอาคิคาร์” (ดู 1:21 เชิงอรรถ i) แต่ที่นี่โทบิตเตือนบุตรชายมิให้ถวายบูชาแก่ผู้ล่วงลับเพราะธรรมบัญญัติห้ามไว้ ตรงกันข้าม ให้ระลึกถึงผู้ตายโดยการให้ทานแก่คนยากจน

d “ทรงยกย่อง” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

V. ราฟาเอล

 

5         1โทบียาห์จึงตอบโทบิตผู้บิดาว่า “พ่อครับ ลูกจะทำทุกอย่างที่พ่อสั่ง 2แต่ลูกจะไปนำเงินกลับมาได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้จักลูก และลูกไม่รู้จักเขา ลูกจะต้องให้อะไรเป็นเครื่องหมาย เขาจะได้เชื่อลูกและคืนเงินให้ลูก นอกจากนั้น ลูกยังไม่รู้ทางไปแคว้นมีเดียอีกด้วย 3โทบิตจึงตอบโทบียาห์บุตรชายว่า “เขาได้ลงนามในสัญญาและพ่อก็ได้ลงนามในสัญญาให้เขา เราแบ่งสัญญานั้นเป็นสองส่วน เก็บไว้คนละส่วน พ่อเก็บไว้ส่วนหนึ่งa อีกส่วนหนึ่งอยู่กับเขาพร้อมกับเงิน บัดนี้ เวลาผ่านไปแล้วถึงยี่สิบปีตั้งแต่ที่พ่อฝากเงินไว้กับเขา ลูกจงไปหาผู้ไว้ใจได้สักคนหนึ่งเป็นเพื่อนเดินทาง เราจะให้ค่าจ้างแก่เขาเป็นค่าล่วงเวลาจนลูกกลับมา ลูกจงไปนำเงินคืนมาจากกาบาเอลเถิด”

          4โทบียาห์ออกไปหาคนนำทางไปแคว้นมีเดีย พอเขาออกไป ก็พบทูตสวรรค์bราฟาเอล ยืนเผชิญหน้าเขา โทบียาห์ไม่รู้ว่าเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า 5จึงถามว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านมาจากไหน” ทูตสวรรค์ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นพี่น้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง มาหางานทำ” โทบียาห์ถามว่า “ท่านรู้จักทางไปแคว้นมีเดียไหม” 6เขาตอบว่า “รู้ซิ ข้าพเจ้าเคยไปที่นั่นหลายครั้ง รู้ทางทุกสายเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าเคยเดินทางไปแคว้นมีเดียบ่อยๆ และพักอยู่กับกาบาเอลพี่น้องของเราซึ่งอยู่ที่เมืองราเกสในแคว้นมีเดีย การเดินทางจากเมืองเอกบาทานาไปเมืองราเกสกินเวลาสองวันc เมืองราเกสตั้งอยู่ในแถบภูเขา ส่วนเมืองเอกบาทานาตั้งอยู่ในที่ราบ”d 7โทบียาห์จึงพูดว่า “เพื่อนเอ๋ย รอข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้าจะไปบอกบิดา ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านเดินทางไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจ่ายค่าจ้างให้ท่าน” 8เขาก็ตอบว่า “ไปเถิด ข้าพเจ้าจะคอย แต่อย่าให้นานนัก”

          9โทบียาห์ไปบอกโทบิตผู้บิดาว่า “พ่อครับ ลูกได้พบพี่น้องชาวอิสราเอลคนหนึ่ง” โทบิตสั่งว่า “ไปเรียกเขามาพบพ่อซิ พ่ออยากรู้ว่าเขามาจากครอบครัวและตระกูลใด เป็นคนน่าไว้ใจที่จะไปกับลูกหรือไม่” 10โทบียาห์จึงออกไปเรียกเขา พูดว่า “เพื่อนเอ๋ย บิดาของข้าพเจ้าต้องการพบท่าน” เขาจึงเข้าไปข้างใน โทบิตทักทายเขาก่อน เขาพูดว่า “ขอให้ท่านมีความสุขมากๆ” โทบิตตอบว่า “ข้าพเจ้าจะมีความสุขได้อย่างไร ข้าพเจ้าตาบอด มองไม่เห็นแสงบนท้องฟ้า ข้าพเจ้าจมอยู่ในความมืดเหมือนบรรดาผู้ตายที่ไม่เห็นแสงสว่างอีกแล้ว แม้ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็อยู่กับบรรดาผู้ตาย ข้าพเจ้าได้ยินเสียงผู้คน แต่มองไม่เห็น” ราฟาเอลตอบว่า “ทำใจดีๆ ไว้ พระเจ้าจะทรงรักษาท่านในไม่ช้า ทำใจดีๆ ไว้เถิด” โทบิตพูดว่า “โทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าต้องการไปยังแคว้นมีเดีย เพื่อนเอ๋ย ท่านจะเดินทางนำเขาไปได้ไหม ข้าพเจ้าจะจ่ายค่าจ้างให้ท่าน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ายินดีพาเขาไป ข้าพเจ้ารู้ทางทุกสายดี ข้าพเจ้าเคยไปแคว้นมีเดียบ่อยๆ ข้าพเจ้าเดินข้ามที่ราบและภูเขาทุกแห่งในแคว้นนั้น รู้จักทางทุกสาย” 11โทบิตถามว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านมาจากครอบครัวและตระกูลใด จงบอกให้ข้าพเจ้ารู้ด้วย” 12เขาตอบว่า “ท่านจะรู้จักครอบครัวและตระกูลของข้าพเจ้าไปทำไม” โทบิตตอบว่า “ข้าพเจ้าต้องการรู้ให้แน่ว่าท่านเป็นบุตรของใครและชื่ออะไร”

          13เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าชื่ออาซาริยาห์ เป็นบุตรของอานาเนียผู้ยิ่งใหญ่ ญาติคนหนึ่งของท่าน 14โทบิตจึงพูดว่า “ยินดีต้อนรับ และขอให้มีความสุขสบายเถิดน้องชาย โปรดอย่าถือสา ถ้าข้าพเจ้าต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับครอบครัวของท่าน น้องชาย ท่านจึงเป็นญาติของข้าพเจ้า มาจากตระกูลที่ดีและมีเกียรติ ข้าพเจ้าเคยรู้จักอานาเนียและนาธันบุตรสองคนของเชไมอาห์ผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งสองคนเคยไปกรุงเยรูซาเล็มกับข้าพเจ้า เคยนมัสการพระเจ้าพร้อมกับข้าพเจ้า เขาไม่เคยละทิ้งทางที่ถูกต้อง พี่น้องของท่านเป็นคนดี ท่านมาจากวงศ์ตระกูลที่ดี ข้าพเจ้าเต็มใจต้อนรับ”

          15เขาพูดต่อไปว่า “ข้าพเจ้าจะให้ค่าจ้างท่านวันละหนึ่งเหรียญดรักมา นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายสำหรับท่านและบุตรของข้าพเจ้าด้วย 16จงเดินทางไปกับบุตรของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะเพิ่มค่าจ้างให้อีก” ราฟาเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเดินทางไปกับเขา อย่ากลัวเลย เราจะออกเดินทางอย่างปลอดภัย และจะกลับมาหาท่านอย่างปลอดภัย เพราะเส้นทางปลอดภัย” 17โทบิตตอบว่า “น้องชาย ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่านเถิด” แล้วหันไปพูดกับบุตรของตนว่า “ลูกเอ๋ย จงไปเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง จงออกเดินทางไปพร้อมกับพี่ชายผู้นี้ของลูก ขอพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ทรงพิทักษ์รักษาทั้งสองคนให้ปลอดภัยจนถึงจุดหมาย แล้วทรงนำกลับมาหาข้าพเจ้าอย่างปลอดภัย ลูกเอ๋ย ขอทูตสวรรค์ของพระองค์เดินทางไปกับทั้งสองคนและคุ้มครองให้พ้นจากอันตรายเถิด” โทบียาห์เตรียมตัวออกเดินทาง เขาจูบลาบิดามารดา โทบิตอวยพรว่า “ขอให้ลูกเดินทางโดยปลอดภัยเถิด”

          18มารดาของเขาเริ่มร้องไห้ พูดกับโทบิตว่า “ทำไมท่านต้องส่งลูกของฉันไป เขาเป็นเสมือนไม้เท้าในมือของเราทั้งสองคนมิใช่หรือ เขาเป็นผู้จูงเราให้เดินมิใช่หรือ 19อย่ามัวสะสมเงินทองอยู่เลย มันไม่มีค่าเท่ากับลูกของเราe 20องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชีวิตแก่เราอย่างไรก็ดีพอแล้ว” 21โทบิตพูดกับนางว่า “เธออย่าเป็นห่วงไปเลยf ลูกของเราจะเดินทางอย่างปลอดภัย และจะกลับมาหาเราอย่างปลอดภัย ตาของเธอจะเห็นวันที่ลูกจะกลับมาหาเธออย่างปลอดภัย 22น้องเอ๋ย อย่าเป็นห่วงไปเลย อย่ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเขา ทูตสวรรค์ที่ดีองค์หนึ่งจะไปกับเขา การเดินทางของเขาจะเรียบร้อยประสบความสำเร็จ เขาจะกลับมาหาเราอย่างปลอดภัย” 23นางจึงหยุดร้องไห้

5 a “พ่อเก็บไว้ส่วนหนึ่ง” แปลจากสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

b “ทูตสวรรค์” ในสำนวน “ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์” หรือ “ทูตสวรรค์ของพระเจ้า” ในสมัยแรกๆ ของพระคัมภีร์หมายถึงการที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่มนุษย์ (ดู ปฐก 16:7 เชิงอรรถ c) แต่ในภายหลัง “ทูตสวรรค์” หมายถึงสิ่งสร้างแตกต่างจากพระเจ้าและด้อยกว่าพระองค์ ซึ่งเป็นเสมือนข้าราชบริพารที่คอยปรนนิบัติรับใช้พระมหากษัตริย์ในท้องพระโรง ทูตสวรรค์ยังได้ชื่อว่า “บุตรของพระเจ้า” (โยบ 1:6; ดู สดด 29:1 เชิงอรรถ b) หรือ “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” (โยบ 5:1) หรือ “พลโยธาสวรรค์” (1 พกษ 22:19; นหม 9:6; สดด 103:21; 148:2) * อารัมภบทของหนังสือโยบกล่าวถึงการชุมนุมของทูตสวรรค์ (โยบ 1:6; 2:1) และพระเจ้าทรงส่งผู้ถือสารหรือ “ทูต” ไปแจ้งข่าวให้มนุษย์ทราบ ทูตสวรรค์บางองค์มีหน้าที่เป็นผู้ทำลาย (อพย 12:23 เชิงอรรถ j; 2 พกษ 19:35; สดด 78:49; อสค 9:1) อีกบางองค์เป็น “ผู้พิทักษ์” ชนชาติหรือบุคคล (ดู อพย 23:20 เชิงอรรถ b; ดนล 10:13) * พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ “ราฟาเอล” มานำทางโทบียาห์ (3:17; ดู ปฐก 24:7) ส่วนเรื่องหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับประกาศก ดู อสค 40:3 เชิงอรรถ d คำสอนเรื่องทูตสวรรค์จะได้รับการพัฒนาต่อไปในลัทธิยูดายและในหนังสือพันธสัญญาใหม่

c อันที่จริงการเดินทางที่กล่าวนี้กินเวลาอย่างน้อยสิบวัน เพราะระยะทางห่างกันประมาณ 300 กิโลเมตร

d โดยแท้จริงแล้ว ทั้งเมืองเอกบาทานา (หรือ ฮามาดานในปัจจุบัน) และเมืองราเกส (หรือ “ราย” ใกล้กรุงเตหะรานในปัจจุบัน) ตั้งอยู่ในแถบภูเขา เมืองเอกบาทานาตั้งอยู่ในระดับราว 2010 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนเมืองราเกสในระดับประมาณ 1132 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

e “อย่ามัวสะสม...ไม่มีค่าเท่ากับลูกของเราดอก” แปลโดยคาดคะเน

f “อย่าเป็นห่วงไปเลย” หนังสือโทบิตเตือนบ่อยๆ ให้ไว้ใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า (ดู 6:16; 7:18; 10:6)

VI. โทบียาห์จับปลาตัวใหญ่

 

6         1โทบียาห์ออกเดินทางไปพร้อมกับทูตสวรรค์ สุนัขเดินตามเขาไปด้วย ทั้งสองคนเดินทางไปจนถึงเย็นของวันแรก จึงค้างคืนอยู่ริมแม่น้ำไทกริส 2ชายหนุ่มลงไปล้างเท้าในแม่น้ำ ทันใดนั้น ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากน้ำและพยายามจะกัดกินเท้าของเขา 3แต่ทูตสวรรค์บอกเขาว่า “จงจับปลาไว้ อย่าปล่อยให้หนีไป” ชายหนุ่มจับปลาได้แล้วลากขึ้นมาบนฝั่ง 4ทูตสวรรค์จึงบอกเขาว่า “จงแล่ปลา เอาดี หัวใจและตับออกมาเก็บไว้ แล้วโยนเครื่องในส่วนอื่นทิ้งไป ดี หัวใจ และตับมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค” 5ชายหนุ่มจึงแล่ปลาตัวนั้น เอาดี หัวใจและตับออกมา นำเนื้อปลาส่วนหนึ่งมาย่างกิน ส่วนที่เหลือใส่เกลือทำเค็มเก็บไว้ 6เขาทั้งสองคนเดินทางต่อไป จนมาถึงใกล้ดินแดนแคว้นมีเดีย

          7ชายหนุ่มถามทูตสวรรค์ว่า “พี่อาซาริยาห์ หัวใจ ตับและดีของปลาจะรักษาโรคอะไรได้” 8เขาตอบว่า “ถ้าเผาหัวใจและตับของปลาตัวนี้ต่อหน้าชายหรือหญิงที่ถูกปีศาจหรือจิตชั่วร้ายเข้าสิง ควันจะทำให้เขาพ้นจากการถูกรบกวน และปีศาจจะหนีไป ไม่เข้ามาใกล้อีก 9ส่วนดีของปลาใช้ทาตาของผู้ที่มีฝ้าขาว เมื่อเป่าลมลงที่ฝ้าขาวแล้ว ตาก็จะหายจากโรค”

          10เมื่อเขาทั้งสองคนเข้าไปในแคว้นมีเดีย อยู่ใกล้เมืองเอกบาทานา 11ราฟาเอลพูดกับชายหนุ่มว่า “น้องโทบียาห์” เขาตอบว่า “อะไรครับ” ทูตสวรรค์กล่าวต่อไปว่า “คืนนี้เราจะต้องพักที่บ้านของรากูเอลซึ่งเป็นญาติคนหนึ่งของท่าน เขามีบุตรหญิงคนหนึ่งชื่อซาราห์ 12เขาไม่มีบุตรชายหรือบุตรหญิงคนอื่นนอกจากซาราห์ ท่านเป็นญาติใกล้ชิดa จึงมีสิทธิ์แต่งงานกับนางมากกว่าชายอื่น และมีสิทธิ์รับทรัพย์สมบัติของบิดาของนางเป็นมรดก นางเป็นหญิงปรีชารอบคอบ กล้าหาญและงดงาม บิดาของนางเป็นคนดี”b 13เขายังเสริมอีกว่า “ท่านมีสิทธิ์แต่งงานกับนาง น้องเอ๋ย จงฟังเถิด เย็นวันนี้ ข้าพเจ้าจะพูดเรื่องนางกับบิดาของนาง เพื่อเขาจะสงวนนางไว้เป็นคู่หมั้นของท่าน เมื่อเราจะกลับมาจากเมืองราเกส ก็จะจัดพิธีแต่งงาน ข้าพเจ้ารู้แน่ว่ารากูเอลจะไม่ปฏิเสธที่จะยกนางให้ท่าน หรือจะไม่ให้นางหมั้นกับชายอื่น เพราะเขาจะต้องเสี่ยงรับโทษถึงตายตามข้อกำหนดในหนังสือของโมเสส รากูเอลรู้ดีว่าท่านมีสิทธิ์จะแต่งงานกับบุตรหญิงของเขามากกว่าชายอื่น น้องเอ๋ย บัดนี้จงฟังข้าพเจ้าเถิด คืนนี้เราจะพูดเรื่องหญิงสาว และเรื่องการขอแต่งงาน เมื่อเรากลับมาจากเมืองราเกส เราจะรับนางและนำนางกลับไปบ้านของท่านพร้อมกับเรา”

          14โทบียาห์จึงตอบราฟาเอลว่า “พี่อาซาริยาห์ ข้าพเจ้าได้ยินว่านางเคยแต่งงานแล้วถึงเจ็ดครั้ง แต่สามีทุกคนก็ตายในห้องหอในคืนแต่งงานก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ ข้าพเจ้าได้ยินอีกว่าปีศาจเป็นผู้ฆ่าสามีของนาง 15เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกลัว ปีศาจคงจะหึงหวงนางc จึงไม่ทำร้ายนาง แต่ถ้าผู้ใดเข้ามาใกล้นาง มันก็จะฆ่าเขาเสีย ข้าพเจ้าเป็นบุตรชายคนเดียวของบิดา จึงเกรงว่าถ้าข้าพเจ้าตาย ก็จะเป็นเหตุให้บิดามารดาต้องตายด้วยความเสียใจที่สูญเสียบุตรชาย บิดามารดาของข้าพเจ้าไม่มีบุตรชายคนอื่นอีกแล้วที่จะฝังศพของท่านทั้งสองคน”16แต่ราฟาเอลตอบว่า “ท่านจำคำตักเตือนของบิดาไม่ได้หรือ เขาสั่งท่านให้รับหญิงจากเครือญาติของท่านเป็นภรรยา น้องเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า อย่ากังวลเรื่องปีศาจเลย จงรับนางเป็นภรรยาเถิด ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเย็นนี้ท่านจะได้รับนางเป็นภรรยา 17แต่เมื่อท่านจะเข้าห้องหอ จงนำหัวใจและตับของปลาออกมาใส่ในไฟเผากำยาน จะมีควันขึ้น และเมื่อปีศาจได้กลิ่นก็จะหนีไปและไม่กลับมาใกล้นางอีกเลย 18แต่ก่อนจะมีเพศสัมพันธ์กับนาง ท่านทั้งสองคนจงยืนขึ้นอธิษฐานวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ได้ประทานพระกรุณาและความรอดพ้นแก่ท่านทั้งสองคน อย่ากลัวไปเลย พระเจ้าทรงกำหนดให้นางเป็นของท่านตั้งแต่นิรันดรแล้ว ท่านจะช่วยนางให้รอดพ้น นางจะตามท่านไป และข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะมีบุตรกับนาง ท่านจะรักบุตรอย่างมากd อย่าห่วงไปเลย” 19เมื่อโทบียาห์ได้ยินถ้อยคำของราฟาเอล และรู้ว่านางซาราห์เป็นญาติในวงศ์ตระกูลของบิดา เขาก็รักนางมากจนมีใจผูกพันกับนางอย่างยิ่ง

6 a คำแนะนำของทูตสวรรค์ที่ให้แต่งงานภายในวงศ์ตระกูลสอดคล้องกับขนบประเพณีที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ (ดู 4:12-13) และสอดคล้องกับเรื่องการแต่งงานของอิสอัคใน ปฐก 24 กฎเรื่องหญิงม่ายที่ไม่มีบุตรต้องแต่งงานกับญาติใกล้ชิดของสามีที่ถึงแก่กรรมแล้ว (Levirate law - ฉธบ 25:5 เชิงอรรถ a) คงจะสืบเนื่องมาจากขนบประเพณีดังกล่าว ขนบประเพณีนี้ช่วยให้แต่ละเผ่าที่ตั้งหลักแหล่งในแผ่นดินคานาอัน รักษาดินแดนที่ได้รับแบ่งปันตั้งแต่เข้ายึดครองแผ่นดินไว้ได้ (ดู กดว 36) แต่เมื่อชาวอิสราเอลต้องกระจัดกระจายไปอยู่ต่างแดน ขนบประเพณีนี้ยังคงมีผลช่วยให้รักษาทรัพย์สมบัติของครอบครัวไว้ภายในวงศ์ตระกูล และแสดงความมุ่งมั่นที่จะซื่อสัตย์ต่อบทบัญญัติของอิสราเอลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

b “เป็นคนดี” สำนวนแปลโบราณภาษาละตินว่า “รักนางมาก”

c “ปีศาจคงจะหึงหวงนาง” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละติน และภาษาซีเรียค

d “ท่านจะรักบุตรอย่างมาก” แปลตามตัวอักษรว่า “บุตรจะเป็นเสมือนน้องของท่าน”

VII. รากูเอล

 

7         1เมื่อโทบียาห์มาถึงเมืองเอกบาทานา เขาพูดว่า “พี่อาซาริยาห์ จงนำข้าพเจ้าไปหารากูเอลญาติของเราทันทีเถิด ราฟาเอลจึงนำเขาไปที่บ้านของรากูเอล เขาพบรากูเอลกำลังนั่งอยู่ที่ประตูลานบ้าน เขาทั้งสองคนจึงทักทายก่อน รากูเอลตอบว่า “สวัสดีเพื่อน ยินดีต้อนรับ” แล้วนำทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน 2รากูเอลบอกนางเอดนาผู้ภรรยาว่า “หนุ่มคนนี้หน้าตาเหมือนโทบิตญาติของข้าพเจ้าจริงๆ” 3นางเอดนาถามทั้งสองคนว่า “เพื่อนมาจากไหน” เขาตอบว่า “เราเป็นชนเผ่านัฟทาลีซึ่งถูกเนรเทศอยู่ที่กรุงนีนะเวห์” 4นางจึงถามว่า “ท่านรู้จักโทบิตญาติของเราไหม” ทั้งสองคนตอบว่า “รู้จัก” นางถามอีกว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง” 5ทั้งสองคนตอบว่า “เขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี” โทบียาห์เสริมว่า “เขาเป็นบิดาของข้าพเจ้า” 6รากูเอลลุกขึ้นยืนทันที จูบเขาและร้องไห้ พูดว่า “ลูกเอ๋ย จงได้รับพรเถิด ท่านเป็นบุตรของบิดาที่ดีเลิศ โชคร้ายจริงๆ ที่คนชอบธรรมและใจเอื้อเฟื้อให้ทานเหมือนบิดาของท่านต้องตาบอด” เขาเข้าสวมกอดโทบียาห์ผู้เป็นญาติและร้องไห้ 7นางเอดนาผู้ภรรยาร้องไห้ นางซาราห์บุตรสาวก็ร้องไห้ด้วย 8รากูเอลฆ่าแกะเพศผู้จากฝูงสัตว์และต้อนรับทั้งสองคนอย่างอบอุ่น

          9เขาทั้งสองคนอาบน้ำและชำระตนตามประเพณีแล้วจึงนั่งโต๊ะเพื่อกินอาหาร โทบียาห์บอกราฟาเอลว่า “พี่อาซาริยาห์ จงขอน้องซาราห์จากรากูเอลให้เป็นภรรยาของข้าพเจ้าเถิด” 10รากูเอลได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ จึงพูดกับชายหนุ่มว่า “คืนนี้จงกิน จงดื่ม และสนุกร่าเริงเถิด เพราะไม่มีญาติคนใดมีสิทธิ์ได้นางซาราห์บุตรหญิงของข้าพเจ้าเป็นภรรยานอกจากท่าน ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์จะยกนางให้เป็นภรรยาของผู้ใดได้นอกจากยกให้ท่าน เพราะท่านเป็นญาติสนิทที่สุดของข้าพเจ้า แต่ก่อนอื่น ลูกเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องบอกความจริงแก่ท่านอย่างตรงไปตรงมา 11ข้าพเจ้าเคยให้นางเป็นภรรยาแก่สามีที่เป็นญาติกันถึงเจ็ดคนแล้ว แต่ทุกคนตายในคืนแต่งงานก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์กับนาง บัดนี้ ลูกเอ๋ย จงกินและดื่มเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงจัดการให้ท่าน”a 12โทบียาห์พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าจะไม่กินและจะไม่ดื่มเป็นอันขาด ถ้าท่านไม่ตัดสินใจเรื่องของข้าพเจ้าก่อน” รากูเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าจะทำ ข้าพเจ้ายกนางให้เป็นภรรยาของท่านตามข้อกำหนดในหนังสือของโมเสส และตามที่สวรรค์กำหนดจะให้นางแก่ท่าน จงรับน้องสาวของท่านเป็นภรรยาเถิด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านเป็นสามีของนาง และนางเป็นภรรยาของท่าน นางเป็นของท่านแล้วตั้งแต่วันนี้ตลอดไป ลูกเอ๋ย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงพิทักษ์รักษาลูกทั้งสองคนในคืนนี้ และประทานพระเมตตาและสันติแก่ลูกทั้งสองคนเถิด” 13รากูเอลเรียกนางซาราห์บุตรหญิง เมื่อนางเข้ามา เขาจับมือนางไว้ จูงนางไปมอบให้โทบียาห์ พลางพูดว่า “จงรับนางเป็นภรรยาของท่านตามธรรมบัญญัติและตามข้อกำหนดที่เขียนไว้ในหนังสือของโมเสส จงรับนางและนำนางไปที่บ้านของบิดาของท่านอย่างปลอดภัย ขอพระเจ้าแห่งสวรรค์โปรดให้ท่านมีสันติสุขและคุ้มครองท่านในการเดินทางเถิด” 14แล้วเขาเรียกมารดาของนางซาราห์เข้ามา สั่งให้นำกระดาษมาแผ่นหนึ่ง และเขียนสัญญาการแต่งงาน ระบุว่าขอมอบบุตรหญิงของตนให้เป็นภรรยาของโทบียาห์ตามข้อกำหนดในธรรมบัญญัติของโมเสส ต่อจากนั้น ทุกคนก็เริ่มกินและดื่ม

          15รากูเอลเรียกนางเอดนาภรรยาของตน สั่งว่า “น้องเอ๋ย จงเตรียมห้องอีกห้องหนึ่ง และนำซาราห์ไปที่นั่น” 16นางเอดนาไปเตรียมเตียงไว้ในห้องตามคำสั่ง แล้วนำบุตรหญิงเข้าไปด้วย นางร้องไห้เพราะบุตรหญิง แล้วเช็ดน้ำตา พูดว่า 17“ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงเปลี่ยนความทุกข์ของลูกให้เป็นความยินดี ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดี” แล้วนางก็ออกไป

7 a “...ทรงจัดการให้ท่าน” บางคนคิดว่าข้อนี้ไม่สมบูรณ์ จึงเสริมข้อความให้เหมือนกับตอนปลายของข้อ 12 ว่า “และประทานพระเมตตาและสันติแก่ท่านทั้งสองคน”

VIII. พระเจ้าทรงช่วยนางซาราห์ให้พ้นอำนาจปีศาจ

 

8       1เมื่อกินและดื่มเสร็จแล้ว ทุกคนคิดจะไปนอน เขาจึงพาหนุ่มโทบียาห์เข้าไปในห้องหอ 2โทบียาห์ระลึกถึงถ้อยคำของราฟาเอลได้ จึงนำดีและหัวใจของปลาออกจากถุง วางบนถ่านไฟในที่เผากำยาน 3เมื่อปีศาจได้กลิ่นปลา มันก็หนีไปถึงแคว้นอียิปต์ตอนใต้a ราฟาเอลตามมันไปถึงที่นั่น มัดมือมัดเท้าของมันทันที

          4รากูเอลและนางเอดนาออกจากห้องวิวาห์และปิดประตู โทบียาห์ลุกขึ้นจากเตียง บอกนางซาราห์ว่า “น้องเอ๋ย จงลุกขึ้น เราจงอธิษฐานภาวนาวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ประทานพระเมตตาและความรอดพ้นแก่เรา” 5นางก็ลุกขึ้น เขาทั้งสองคนเริ่มอธิษฐานภาวนาขอให้พระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ตน กล่าวว่า

          “ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษ ขอถวายพระพรแด่พระองค์

                    ขอพระนามพระองค์ได้รับการถวายพระพรตลอดไปทุกยุคทุกสมัย

          ขอให้สวรรค์และสิ่งสร้างทั้งมวล จงถวายพระพรแด่พระองค์ตลอดนิรันดร

          6พระองค์ทรงสร้างอาดัม

                    และทรงสร้างนางเอวาภรรยาของเขา

          ให้เป็นผู้ช่วยเหลือและค้ำจุน

                    มนุษยชาติก็ได้ถือกำเนิดจากเขาทั้งสองคน

          พระองค์ตรัสว่า “มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวไม่ดีเลย

                        เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะกับเขาให้

 

          7บัดนี้ ข้าพเจ้ารับน้องสาวของข้าพเจ้าผู้นี้ไว้เป็นภรรยา

                    ไม่ใช่เพราะความใคร่ แต่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์

          ขอพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าและนางได้รับพระเมตตา

                    และให้ข้าพเจ้าทั้งสองคนมีชีวิตอยู่ด้วยกันจนถึงวัยชราเถิด”

8เขาทั้งสองคนกล่าวพร้อมกันว่า “อาเมน อาเมน” 9แล้วนอนหลับไปในคืนนั้น

          10แต่รากูเอลลุกขึ้น เรียกผู้รับใช้มาและไปขุดหลุมพร้อมกับเขา เขาคิดว่า “ถ้าเขาตายไปอีกคนหนึ่ง อย่าให้ผู้คนต้องหัวเราะเยาะและรังเกียจเราเลย” 11เมื่อขุดหลุมเสร็จแล้ว รากูเอลกลับเข้าไปในบ้าน เรียกภรรยา 12สั่งว่า “จงส่งสาวใช้คนหนึ่งเข้าไปในห้อง ดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้าเขาตายแล้ว เราจะฝังเขาก่อนที่จะมีใครรู้” 13เขาทั้งสองคนส่งหญิงรับใช้ไปจุดตะเกียงและเปิดประตูให้ หญิงรับใช้เข้าไปข้างใน พบทั้งสองคนกำลังนอนหลับสนิท 14หญิงรับใช้จึงออกมารายงานว่า “เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้น” 15รากูเอลและภรรยาจึงถวายพระพรbแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์ว่า

          “ข้าแต่พระเจ้า ขอถวายพระพรแด่พระองค์

                    ขอสรรเสริญพระองค์จากใจจริง

          16ขอพระองค์ทรงได้รับพระพร เพราะพระองค์ประทานความยินดีแก่ข้าพเจ้า

                    สิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวไม่ได้เกิดขึ้น

          พระองค์ทรงกระทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ของพระองค์

          17ขอถวายพระพรแด่พระองค์ เพราะทรงพระเมตตา

                    ต่อบุตรชายคนเดียว และบุตรหญิงคนเดียวของข้าพเจ้า

          ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดแสดงพระกรุณาและความรอดพ้นแก่เขาทั้งสองคน

โปรดให้เขามีความยินดี ได้รับพระเมตตาตลอดไปจนสิ้นชีวิตยาวนาน”

18แล้วรากูเอลสั่งให้ผู้รับใช้กลบหลุมนั้นก่อนรุ่งสาง

19เขาสั่งภรรยาให้ทำขนมปังไว้หลายๆ ก้อน ออกไปจับโคหนุ่มสองตัว และแกะเพศผู้สี่ตัวมาจากฝูงสัตว์ สั่งให้ฆ่าและเริ่มจัดงานเลี้ยง 20เขาเรียกโทบียาห์และพูดว่า “ลูกจะไปจากที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาดภายในสิบสี่วันนี้ ลูกจะต้องอยู่กับพ่อ กินและดื่ม ทำให้จิตใจของบุตรหญิงของพ่อที่เคยเป็นทุกข์มามากแล้วมีความยินดี 21พ่อมีทรัพย์สมบัติเท่าไร ลูกจงรับไปครึ่งหนึ่ง และจะกลับไปหาบิดาของลูกอย่างปลอดภัยc เมื่อพ่อและแม่ตายไปแล้ว อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นของลูกทั้งสองคนด้วย ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดีเถิด พ่อเป็นพ่อของลูก และนางเอดนาก็เป็นแม่ของลูก เราทั้งสองคนเป็นพ่อแม่ของลูก ดังที่เราเป็นพ่อแม่ของน้องสาวของลูกตั้งแต่บัดนี้ตลอดไป ลูกเอ๋ย จงทำใจให้ดีเถิด”

8 a “ถึงแคว้นอียิปต์ตอนใต้” บางคนแปลว่า “เหาะหนีไปอียิปต์”

b “รากูเอลและภรรยาจึงถวายพระพรแด่พระเจ้า” สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และอเล็กซานเดรีย (A) ว่า “รากูเอลถวายพระพร”

c การเล่าเรื่องพิธีแต่งงานของนางซาราห์มีรายละเอียดหลายประการคล้ายกับในเรื่องพิธีแต่งงานของนางเรเบคาห์ (ปฐก 24) นางราเคล (ปฐก 29) นางดีนาห์ (ปฐก 34) ภรรยาของแซมสัน (วนฉ 14) นางมีคาล (1 ซมอ 18) แต่ที่นี่ไม่มีการกล่าวถึงเงินสินสอด (mohar) ที่เจ้าบ่าวให้แก่บิดาของเจ้าสาว (ปฐก 34:12; 1 ซมอ 18:25) ที่นี่บิดาของเจ้าสาวให้เงินเป็นของขวัญแก่เจ้าสาว

IX. งานฉลองการแต่งงาน

 

9         1โทบียาห์เรียกราฟาเอลมา 2บอกว่า “พี่อาซาริยาห์ จงนำผู้รับใช้สี่คนกับอูฐสองตัวออกเดินทางไปเมืองราเกส ไปที่บ้านของกาบาเอล ยื่นเอกสารให้เขา นำเงินกลับมา และนำเขามากับท่านเพื่อร่วมงานฉลองการแต่งงานของข้าพเจ้าด้วย 3-4ท่านรู้ดีว่าบิดาของข้าพเจ้ากำลังนับวันนับคืนคอยอยู่ ถ้าข้าพเจ้าชักช้าเพียงวันเดียว ก็จะทำให้เขาเป็นทุกข์มาก ท่านเห็นแล้วว่ารากูเอลได้สาบานอะไร และข้าพเจ้าจะละเมิดคำสาบานนั้นไม่ได้”

5ราฟาเอลจึงออกเดินทางไปเมืองราเกสในแคว้นมีเดียกับผู้รับใช้สี่คนและอูฐสองตัว ไปพักที่บ้านของกาบาเอล ราฟาเอลยื่นเอกสารให้เขาดูพร้อมกับบอกเขาว่าโทบียาห์บุตรของโทบิตแต่งงานแล้ว และเชิญเขาให้ไปร่วมงานฉลองด้วย กาบาเอลรีบตรวจถุงเงินที่ยังมีตราผนึกอยู่ นำไปวางไว้บนหลังอูฐa 6เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาทั้งหลายออกเดินทางพร้อมกันไปร่วมงานฉลองการแต่งงาน และมาถึงบ้านของรากูเอล พบโทบียาห์กำลังนั่งที่โต๊ะอาหาร เขาลุกขึ้นทันทีเข้ามาทักทายกาบาเอล กาบาเอลร้องไห้และอวยพรเขาว่า “ลูกเอ๋ย ท่านเป็นลูกที่ดีเลิศของพ่อที่ดีเลิศ ชอบธรรมและมีใจเอื้อเฟื้อ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระพรจากสวรรค์แก่ลูก แก่ภรรยาของลูก แก่บิดามารดาของภรรยาของลูกด้วยเถิดb ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เห็นโทบิตญาติของข้าพเจ้าในตัวลูกที่เหมือนพ่ออย่างมาก”c

9 a “บนหลังอูฐ” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค ไม่มีในสำเนาโบราณฉบับซีนาย (S)

b “แก่บิดามารดาของภรรยาของลูก” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละติน ต้นฉบับภาษากรีกว่า “แก่บิดาของลูกและแก่มารดาของภรรยาของลูก”

c ข้อ 6 นี้ สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และอเล็กซานเดรีย (A) ว่า “เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาทั้งหลายออกเดินทางพร้อมกันไปร่วมงานฉลองการแต่งงาน โทบียาห์อวยพรภรรยาของตน”

10       1ทุกวันระหว่างนั้น โทบิตนับวันนับคืนคำนวณจำนวนวันที่ต้องใช้ในการเดินทางไปและกลับ วันเหล่านั้นผ่านไปแล้วแต่บุตรก็ยังไม่กลับมา 2เขาคิดว่า “ลูกอาจถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นั่น หรือกาบาเอลอาจตายไปแล้ว และไม่มีใครให้เงินแก่ลูก” 3เขาเริ่มเป็นทุกข์ 4นางอันนาภรรยากล่าวว่า “ลูกของฉันตายไปแล้ว ไม่อยู่ในหมู่ของผู้เป็นอีกต่อไป” 5แล้วนางก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญถึงบุตรว่า “อนิจจา ลูกเอ๋ย ทำไมแม่จึงปล่อยให้ลูกจากแม่ไป ลูกเป็นแสงสว่างแก่ดวงตาของแม่” 6โทบิตตอบนางว่า “เงียบเสียเถิด น้องอย่าห่วงไปเลย ลูกสบายดี เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันคงเกิดขึ้นแก่เขาที่นั่น คนที่ไปกับเขาน่าไว้ใจ เพราะเป็นพี่น้องร่วมชาติคนหนึ่งของเรา อย่าโศกเศร้าไปเลย น้อง อีกไม่นานลูกจะอยู่ที่นี่” 7แต่นางตอบว่า “หยุดพูดเสียเถอะ อย่ามาหลอกฉันเลย ลูกของฉันตายแล้ว” และทุกวันนางจะออกไปแต่เช้าตรู่ เฝ้าดูทางที่บุตรได้ออกเดินทางจากไป นางไม่เชื่อตาของใครนอกจากตาของตนเอง เมื่อตะวันตกดิน นางจึงกลับเข้าในบ้าน ร้องไห้และคร่ำครวญตลอดคืน นอนไม่หลับ

8เมื่อครบกำหนดสิบสี่วันของงานฉลองการแต่งงานตามที่รากูเอลเคยสาบานว่าจะจัดสำหรับบุตรหญิงของตน โทบียาห์ไปพบเขา พูดว่า “โปรดส่งลูกกลับไปเถิด ลูกรู้ว่าบิดาและมารดาของลูกหมดหวังที่จะเห็นลูกอีกแล้ว บัดนี้ พ่อครับ ลูกวอนขอพ่อโปรดส่งลูกกลับไปหาบิดาของลูก ลูกเคยเล่าให้พ่อฟังแล้วว่าบิดาอยู่ในสภาพใดเมื่อลูกจากมา” 9รากูเอลตอบโทบียาห์ว่า “ลูกเอ๋ย อยู่กับพ่อเถิด พ่อจะส่งผู้ถือสารไปพบโทบิตบิดาของลูก เพื่อบอกข่าวเกี่ยวกับลูก” แต่โทบียาห์ตอบว่า “ไม่ได้ ลูกขอพ่อส่งลูกกลับไปหาบิดาเถิด” 10รากูเอลจึงลุกขึ้น มอบนางซาราห์ให้แก่โทบียาห์พร้อมกับทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่ง คือผู้รับใช้ชายหญิง โค แกะ ลา อูฐ เสื้อผ้า เงินทองและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ 11แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกเดินทางไปอย่างมีความสุข พูดอำลาโทบียาห์ว่า “ลูกเอ๋ย จงอยู่เย็นเป็นสุขเถิด ขอให้ลูกเดินทางโดยปลอดภัย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงคุ้มครองลูกและซาราห์ภรรยาของลูกด้วย ขอให้พ่อได้เห็นลูกของลูกก่อนที่พ่อจะตาย” 12แล้วพูดกับนางซาราห์บุตรหญิงของตนว่า “จงไปหาบิดาสามีของลูกเถิด ตั้งแต่นี้ไป บิดามารดาของสามีจะเป็นบิดามารดาของลูกเหมือนกับผู้ที่ให้กำเนิดชีวิตลูก จงไปเป็นสุขเถิด ลูกรัก ขอให้พ่อได้ยินข่าวดีเกี่ยวกับลูกตราบที่พ่อยังมีชีวิตอยู่” พูดแล้วเขาก็สวมกอดอำลาโทบียาห์และซาราห์

13นางเอดนากล่าวกับโทบียาห์ว่า “ลูกและญาติที่รักยิ่ง ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำลูกกลับมา ให้แม่ได้เห็นลูกของลูก และของซาราห์ลูกสาวของแม่ก่อนที่แม่จะตาย แม่จะได้ชื่นชมเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แม่ขอฝากลูกสาวของแม่ไว้ให้ลูกดูแลด้วย ตราบที่ลูกยังมีชีวิต อย่าทำให้เธอมีความทุกข์เลย ลูกเอ๋ย จงไปเป็นสุขเถิด ตั้งแต่นี้ไป แม่เป็นแม่ของลูก และซาราห์ก็เป็นน้องสาวของลูก ขอให้เราทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขทุกวันตลอดชีวิตของเราเถิด” แล้วนางจูบลา ส่งโทบียาห์และซาราห์ให้ออกเดินทางไปอย่างมีความสุข

14โทบียาห์ออกเดินทางจากบ้านของรากูเอลด้วยความยินดีมีความสุข ถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดิน ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ของทุกสิ่ง เพราะพระองค์ทรงบันดาลให้การเดินทางประสบความสำเร็จ เขาอวยพรรากูเอลและนางเอดนาภรรยาด้วยว่า “ขอให้ข้าพเจ้ามีโชคที่จะนับถือท่านทั้งสองคนทุกวันตลอดชีวิตของข้าพเจ้า”a

 

10 a “เขากล่าวอวยพรรากูเอล...ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า” ตัวบทได้รับการแก้ไขเล็กน้อยตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และตามสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

X. โทบียาห์รักษานัยน์ตาของบิดา

 

11       1เมื่อเขาทั้งหลายเดินทางเกือบถึงเมืองคาเสรินใกล้กรุงนีนะเวห์ 2ราฟาเอลบอกโทบียาห์ว่า “ท่านรู้ว่าเราปล่อยบิดาของท่านไว้ในสภาพใด 3เราจงเดินทางล่วงหน้าภรรยาของท่านไปจัดเตรียมบ้านไว้ให้พร้อม ก่อนที่คนอื่นจะมาถึง” 4เขาทั้งสองคนจึงรีบเดินทางล่วงหน้าไป ก่อน ราฟาเอลเตือนโทบียาห์ว่า “จงนำดีปลาติดตัวไปด้วย” สุนัขก็เดินตามไปa

5นางอันนากำลังนั่งมองดูทางที่บุตรของนางต้องเดินกลับมา 6นางคิดว่าเห็นบุตรกำลังเดินมา จึงพูดกับบิดาของโทบียาห์ว่า “ดูซิ ลูกชายของท่านกำลังเดินมาพร้อมกับชายที่ร่วมเดินทางไปด้วย” 7ราฟาเอลบอกโทบียาห์ก่อนที่เขาเข้าไปพบบิดาว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าดวงตาของบิดาของท่านจะหายบอด 8ท่านจงเอาดีปลาป้ายตาของเขา ยานี้จะทำให้แสบ แต่จะลอกฝ้าขาวออกจากดวงตาของเขา ดวงตาของบิดาของท่านจะไม่บอดอีกต่อไป แต่จะกลับเห็นแสงสว่างได้”

9นางอันนาวิ่งเข้าไปพบเขาทั้งสองคน โอบกอดบุตรชายพลางพูดว่า “ลูกเอ๋ย แม่เห็นลูกอีกครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้แม่ตายได้” แล้วนางก็ร้องไห้ 10โทบิตลุกขึ้นคลำทางเดินผ่านลานบ้านไปที่ประตู 11โทบียาห์เดินเข้ามาหาบิดา ถือดีปลา เป่าลมไปที่ตาของบิดา จับบิดาไว้แน่น พูดว่า “ทำใจดีๆ ไว้ คุณพ่อ” แล้วจึงเอายาป้ายตา ทิ้งไว้ครู่หนึ่ง 12ใช้มือทั้งสองข้างลอกฝ้าขาวออกจากตา 13โทบิตเข้าสวมกอดบุตรชายและร้องไห้ พูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นแสงสว่างของดวงตาของพ่อ พ่อมองเห็นลูกแล้ว” 14แล้วเขาพูดต่อไปว่า

“ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า

ขอถวายพระพรแด่พระนามยิ่งใหญ่ของพระองค์

ขอถวายพระพรแด่ทูตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ของพระองค์

ขอพระนามยิ่งใหญ่ของพระองค์พิทักษ์รักษาเราไว้ตลอดกาล

ขอถวายพระพรแด่ทูตสวรรค์ทุกองค์ของพระองค์ตลอดไปb

เพราะแม้พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าต้องเจ็บป่วย

แต่แล้วก็ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้า

บัดนี้ ข้าพเจ้าแลเห็นโทบียาห์บุตรของข้าพเจ้าแล้ว”

15โทบียาห์เข้าไปในบ้านด้วยความยินดี ถวายพระพรแด่พระเจ้าจนสุดเสียงc แล้วจึงเล่าเรื่องการเดินทางที่ประสบความสำเร็จให้บิดาฟัง เล่าเรื่องเงินที่นำกลับมา และเล่าว่าเขาได้รับนางซาราห์บุตรหญิงของรากูเอลเป็นภรรยา นางกำลังเดินทางตามมาอยู่ใกล้แล้วที่ประตูกรุงนีนะเวห์

16โทบิตจึงออกไปที่ประตูกรุงนีนะเวห์เพื่อพบภรรยาของบุตรชาย เขามีความยินดีและถวายพระพรแด่พระเจ้า เมื่อชาวนีนะเวห์เห็นเขาเดินอย่างกระฉับกระเฉงเหมือนแต่ก่อนโดยไม่ต้องมีคนจูง ต่างก็ประหลาดใจ โทบิตประกาศต่อหน้าทุกคนว่า พระเจ้าทรงพระเมตตาต่อตนและทรงเปิดดวงตาให้แลเห็นได้อีก 17โทบิตเข้าไปใกล้นางซาราห์ภรรยาของโทบียาห์บุตรชาย อวยพรนางว่า “ลูกเอ๋ย ยินดีต้อนรับ ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าของลูก เพราะทรงนำลูกมาอยู่กับเรา ลูกเอ๋ย ขอบิดาของลูกจงได้รับพระพรเถิด ขอโทบียาห์ ลูกของพ่อจงได้รับพระพร ลูกเอ๋ย ขอลูกจงได้รับพระพรเถิด พ่อยินดีต้อนรับลูกในบ้านของลูกด้วยความยินดี ลูกจงเข้ามาเถิด” 18วันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่สำหรับชาวยิวทุกคนในกรุงนีนะเวห์ 19อาคิคาร์และนาดับหลานชายของโทบิตก็มาแสดงความยินดีกับเขาด้วย 20ทุกคนฉลองงานแต่งงานของโทบียาห์ด้วยความยินดีเป็นเวลาเจ็ดวันd

11 a “สุนัขก็เดินตามไป” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละติน สำเนาโบราณฉบับซีนาย (S) ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตามเขาไป” * สำเนาแปลโบราณบางฉบับว่า “สุนัขวิ่งนำหน้าเขาทั้งสองคน” นางอันนาจึงเห็นสุนัขก่อน และบอกโทบิตว่าบุตรชายกลับมาแล้ว (ดู ข้อ 5)

b “ขอถวายพระพรแด่ทูตสวรรค์ทุกองค์ของพระองค์ตลอดไป” สำนวนแปลโบราณภาษาละตินละประโยคนี้ เพราะคิดว่าผู้คัดลอกเขียนซ้ำ

c “สุดเสียง” แปลตามสำนวนแปลโบราณภาษาละติน สำเนาโบราณฉบับซีนาย (S) ว่า “ด้วยร่างกายทั้งหมด”

d “ทุกคนฉลอง...ด้วยความยินดีเป็นเวลาเจ็ดวัน” ข้อ 20 นี้ทั้งข้อแปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) ตามสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค

XI. ทูตสวรรค์ราฟาเอลแสดงตน

 

12       1เมื่องานแต่งงานผ่านไปแล้ว โทบิตเรียกโทบียาห์บุตรชายมาพบ พูดว่า “ลูกเอ๋ย อย่าลืมจ่ายเงินตอบแทนผู้ร่วมเดินทางไปกับลูก ลูกควรเพิ่มเงินให้เขามากกว่าที่ตกลงกันไว้” 2โทบียาห์ถามว่า “พ่อครับ ลูกควรจะให้อะไรแก่เขาเป็นค่าจ้าง แม้ลูกจะแบ่งทรัพย์สินที่ลูกนำกลับมาให้เขาครึ่งหนึ่ง เราก็ยังไม่สูญเสียอะไร 3เขานำลูกกลับมาอย่างปลอดภัย เขารักษาภรรยาของลูก เขาไปนำเงินกลับมาแทนลูก แล้วเขายังรักษาพ่ออีกด้วย ลูกจะตอบแทนเขาได้อย่างไร” 4โทบิตตอบว่า “สมควรที่เขาจะได้รับครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินที่เขานำมา” 5โทบียาห์จึงเรียกราฟาเอลมาพูดว่า “ท่านจงรับครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดที่ท่านนำกลับมาเป็นค่าตอบแทน แล้วจงไปเป็นสุขเถิด”

          6ราฟาเอลจึงเรียกเขาทั้งสองคนไปพูดเป็นการส่วนตัวว่า “จงถวายพระพรแด่พระเจ้า และประกาศต่อหน้าผู้มีชีวิตทุกคนว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งดีทั้งหลายแก่ท่าน เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้สรรเสริญและถวายพระพรแด่พระนามพระองค์ จงประกาศอย่างเหมาะสมให้ทุกคนรู้จักกิจการที่พระเจ้าทรงกระทำ และอย่าเหนื่อยหน่ายที่จะขอบพระคุณพระองค์ 7การรักษาความลับของกษัตริย์เป็นสิ่งที่ดี แต่การเปิดเผยและประกาศกิจการของพระเจ้าเป็นการสมควรอย่างยิ่ง จงทำดีไว้เถิด แล้วความชั่วร้ายจะไม่มากล้ำกรายท่าน

8การอธิษฐานภาวนาจากใจจริงa และการให้ทานด้วยใจกว้างมีค่ามากกว่าความร่ำรวยที่ได้มาอย่างอยุติธรรม การให้ทานดีกว่าการสะสมทองคำ 9การให้ทานช่วยให้พ้นจากความตายและช่วยชำระบาปทุกชนิด ผู้ที่ให้ทานจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ 10ผู้ทำบาปและทำความอยุติธรรมเป็นศัตรูแก่ชีวิตของตน”

          11“ข้าพเจ้าจะแสดงความจริงทุกอย่างแก่ท่าน จะไม่ปิดบังสิ่งใดไว้เลย ข้าพเจ้าเคยบอกท่านแล้วว่าการรักษาความลับของกษัตริย์เป็นสิ่งที่ดี แต่การเปิดเผยกิจการของพระเจ้าเป็นการสมควร 12จงรู้เถิดว่าเมื่อท่านและนางซาราห์กำลังอธิษฐานภาวนา ข้าพเจ้าก็นำคำอธิษฐานภาวนาของท่านไปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงระลึกถึงท่านb ข้าพเจ้าทำเช่นเดียวกันเมื่อท่านฝังศพผู้ตาย 13ท่านไม่ได้ลังเลที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเพื่อไปฝังศพ พระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาทดสอบความเชื่อของท่านc 14และในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามารักษาท่าน และรักษานางซาราห์บุตรสะใภ้ 15ข้าพเจ้าคือราฟาเอล หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์d ซึ่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์”

          16เขาทั้งสองคนตกใจมาก ก้มกราบลงใบหน้าจรดพื้นด้วยความหวาดกลัว 17แต่ทูตสวรรค์พูดว่า “อย่ากลัวเลย สันติจงอยู่กับท่าน จงถวายพระพรแด่พระเจ้าตลอดไป 18เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้ตัดสินใจมาด้วยตนเอง แต่มาตามพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านจึงต้องถวายพระพรแด่พระองค์ทุกๆ วัน จงขับร้องสรรเสริญพระองค์เถิด 19แม้ท่านเห็นว่าข้าพเจ้ากินอาหาร แต่ข้าพเจ้าไม่ได้กินอะไรเลย ท่านเห็นเพียงแต่ภาพปรากฏเท่านั้น 20บัดนี้ จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดิน และขอบพระคุณพระเจ้าเถิด ข้าพเจ้ากำลังจะกลับไปหาพระองค์ผู้ทรงส่งข้าพเจ้ามา จงบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน” แล้วราฟาเอลก็อันตรธานไป 21ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน แต่ก็ไม่เห็นทูตสวรรค์อีก 22เขาทั้งสองคนถวายพระพร ขับร้องสรรเสริญพระเจ้า และขอบพระคุณพระองค์สำหรับกิจการยิ่งใหญ่ที่ทรงกระทำ โดยเฉพาะที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าปรากฏแก่เขา

 

12 a “ภาวนาจากใจจริง” สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละตินว่า “ภาวนาพร้อมกับจำศีลอดอาหาร”

b “เพื่อพระองค์จะได้ทรงระลึกถึงท่าน” แปลตามตัวอักษรว่า “ถวายการระลึกถึงคำอธิษฐานภาวนาของท่าน” ในพระคัมภีร์ คำว่า “การระลึกถึง” เป็นคำเทคนิคซึ่งหมายถึงกิจการดีต่างๆ เช่นการอธิษฐานภาวนา การถวายเครื่องบูชา การให้ทาน การร่วมฉลอง ฯลฯ ที่มนุษย์ถวายแด่พระเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ทรงระลึกถึงและโปรดปรานผู้ประกอบกิจการดีเหล่านั้น (เทียบ ลนต 2:2; กจ 10:4)

c “ทดสอบความเชื่อ” เทียบเรื่องซาตานทดสอบโยบใน โยบ บทที่ 1 และ 2 แต่มีเจตนาต่างกัน

d “ทูตสวรรค์เจ็ดองค์” จากพระคัมภีร์เรารู้จักนามของทูตสวรรค์เหล่านี้เพียง 3 องค์เท่านั้น คือ “กาเบรียล” (ดนล 5:6; 9:21; ลก 1:19) “มีคาเอล” (ดนล 10:13, 21; 12:1; ยด 9) “ราฟาเอล” ในหนังสือโทบิตตั้งแต่ 3:17 หนังสือวิวรณ์จะกล่าวถึง “ทูตสวรรค์เจ็ดองค์” เช่นเดียวกัน (ดู วว 8:2)

XII. บทเพลงสรรเสริญของโทบิต

 

13 1โทบิตจึงเขียนคำอธิษฐานภาวนาแสดงความยินดีว่าa

          2“ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดนิรันดร

                    พระอาณาจักรของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดทุกกาลสมัย

          พระองค์ทรงลงโทษและทรงพระกรุณา

                    ทรงส่งมนุษย์ลงไปยังแดนมรณะ แล้วทรงฉุดเขาขึ้นมาอีก

          ไม่มีผู้ใดหลีกหนีพระหัตถ์พระองค์ได้

          3บรรดาบุตรของอิสราเอลเอ๋ย จงสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าประชาชาติ

                    พระองค์ทรงบันดาลให้ท่านกระจัดกระจายไปในหมู่ชนชาติทั้งหลาย

          4ท่านจะได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์

                    ท่านทั้งหลายจงเทิดทูนพระองค์ต่อหน้าบรรดาผู้มีชีวิต

          พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา

                    ทรงเป็นพระบิดาของเรา ทรงเป็นพระเจ้าตลอดนิรันดร

          5พระองค์ทรงลงโทษท่านเพราะความอธรรมของท่าน

                    แต่จะทรงแสดงพระกรุณาแก่ท่านทุกคน

          พระองค์จะทรงรวบรวมท่านbจากชนทุกชาติ

                    ที่ท่านกระจัดกระจายไปอยู่ด้วย

          6ถ้าท่านกลับมาเชื่อในพระองค์สุดดวงใจและสุดวิญญาณ

                    ประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์เฉพาะพระพักตร์

          พระองค์จะทรงหันกลับมาพบท่าน

                    จะไม่ทรงซ่อนพระพักตร์จากท่านอีกต่อไป

          7จงพิจารณาเถิดว่าพระองค์ทรงกระทำดีต่อท่านเพียงใด

                    จงร้องตะโกนขอบพระคุณพระองค์

          จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม

                    จงเทิดทูนพระมหากษัตริย์จอมจักรวาลc

          8ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ในแผ่นดินที่ข้าพเจ้าถูกเนรเทศ

                    ประกาศพระอานุภาพและความยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่ชนต่างชาติซึ่งเป็น

คนบาป

          คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงกลับใจเถิด

                    จงกระทำความยุติธรรมเฉพาะพระพักตร์

          พระองค์อาจทรงแสดงความรักและแสดงพระกรุณาแก่ท่านอีกก็ได้

          9ข้าพเจ้าเทิดทูนพระเจ้าของข้าพเจ้า

                    วิญญาณของข้าพเจ้ายกย่องพระมหากษัตริย์จอมจักรวาล

          ข้าพเจ้าชื่นชมเพราะความยิ่งใหญ่ของพระองค์

          10ทุกคนจงประกาศและสรรเสริญพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม

                    เยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย

          พระองค์ทรงลงโทษเจ้าเพราะกิจการของบรรดาบุตรของเจ้า

                    แต่พระองค์จะทรงแสดงพระกรุณาแก่บรรดาบุตรของผู้ชอบธรรม

          11เจ้าจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเหมาะสม

                    จงถวายพระพรแด่พระมหากษัตริย์จอมจักรวาล

          ภายในเจ้า พระองค์จะทรงสร้างพระวิหารอีกด้วยความยินดี

          12ภายในเจ้า ขอพระองค์ทรงบรรเทาใจบรรดาผู้ถูกเนรเทศ

                    และภายในเจ้า ขอพระองค์ประทานความรักแก่ผู้ประสบความทุกข์ยาก

ทุกชั่วอายุตลอดไป

          13เจ้าจะส่องแสงสุกใสเจิดจ้าไปจนสุดปลายแผ่นดิน

                    ชนหลายชาติจะมาพบเจ้าจากที่ห่างไกล

          บรรดาผู้อาศัยอยู่ทุกมุมโลกจะมายังที่ประทับแห่งพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์d

                    ต่างนำบรรณาการมาถวายพระมหากษัตริย์แห่งสวรรค์

          ชนทุกยุคทุกสมัยจะแสดงความยินดีภายในเจ้า

                    และนามของนครที่ทรงเลือกสรรจะดำรงอยู่ตลอดไป

          14ทุกคนที่กล่าวร้ายเจ้า จงถูกสาปแช่ง

                    ทุกคนที่ทำลายเจ้า จงถูกสาปแช่ง

          ผู้ที่ทำลายกำแพงของเจ้า ทำลายหอคอยของเจ้า

                    และเผาบ้านเรือนของเจ้า จงถูกสาปแช่ง

          ส่วนทุกคนที่เคารพยำเกรงเจ้าe จงได้รับพระพร

          15จงลุกขึ้นและชื่นชมกับบรรดาบุตรของผู้ชอบธรรมเถิด

                    ทุกคนจะมาชุมนุมกันและถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล

          ผู้ที่รักเจ้าย่อมเป็นสุข

                    ผู้ที่ชื่นชมยินดีในสันติสุขของเจ้าย่อมเป็นสุข

          16ทุกคนที่เคยร้องไห้เพราะเหตุร้ายของเจ้าย่อมเป็นสุข

                    เขาจะยินดีกับเจ้า และจะเห็นเจ้ายินดีตลอดไป

          วิญญาณข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เถิด

          17เพราะกรุงเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นใหม่

                    เป็นนครที่พระองค์จะทรงพำนักอยู่ตลอดไป

          ข้าพเจ้าจะเป็นสุข ถ้าลูกหลานของข้าพเจ้าจะได้เห็นสิริรุ่งโรจน์ของเจ้า

                    และจะสรรเสริญพระมหากษัตริย์แห่งสวรรค์

          ประตูกรุงเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยนิลสีครามและแก้วมรกต

                    กำแพงเมืองทั้งหมดจะสร้างด้วยเพชรนิลจินดาล้ำค่า

          หอคอยกรุงเยรูซาเล็มจะสร้างด้วยทองคำ

                    เชิงเทินเป็นทองคำบริสุทธิ์

          ถนนในกรุงเยรูซาเล็มจะปูลาดด้วยพลอยสีน้ำเงินและพลอยจากเมืองโอฟีร์

          18ประตูนครเยรูซาเล็มจะกึกก้องด้วยเพลงฉลองชัย

                    บ้านทุกหลังจะขับร้องว่า

“อัลเลลูยา ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอล”

ผู้ที่จะถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตลอดไปจะได้รับพระพร”

13 a บทเพลงสุดท้ายของโทบิตนี้แบ่งเป็น 2 ภาค (เทียบ อพย 15; ยดธ 16) ภาคแรก (ข้อ 1-10ก) เป็นบทเพลงขอบพระคุณที่ยืมข้อความมาจากเพลงสดุดีและเพลงสรรเสริญที่เคยใช้ในสมัยกษัตริย์ปกครองอิสราเอล ภาคที่สอง (ข้อ 10ข-18) เป็นการกล่าวโทษกรุงเยรูซาเล็มตามแบบของบรรดาประกาศก แสดงความหวังของผู้ถูกเนรเทศที่จะพบกรุงเยรูซาเล็มตามอุดมการณ์ สำเนาโบราณของเพลงบทนี้แตกต่างกันมากและไม่สมบูรณ์ หลายครั้งจึงต้องแปลโดยคาดคะเน

b “พระองค์จะทรงรวบรวมท่าน” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

c ข้อความตั้งแต่ข้อ 8 ถึงข้อ 11กข ไม่มีในสำเนาโบราณฉบับซีนาย (S) เราจึงแปลจากสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละตินและภาษาซีเรียค

d “ของพระองค์” สำนวนแปลโบราณภาษาละตินว่า “ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

e “เคารพยำเกรงเจ้า” สำนวนแปลโบราณภาษาละตินว่า “สร้างเจ้าขึ้นใหม่”

14 1เพลงสรรเสริญของโทบิตจบที่นี่

 

XIII. บทส่งท้าย

           

2โทบิตมีอายุถึงหนึ่งร้อยสิบสองปีแล้วก็สิ้นใจ และถูกฝังไว้อย่างสมเกียรติที่กรุงนีนะเวห์ ตาเขาบอดเมื่ออายุหกสิบสองปี เมื่อมองเห็นแล้ว เขามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข เขาให้ทานแก่คนยากจน ถวายพระพรแด่พระเจ้าและสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระองค์อยู่เสมอ 3เมื่อใกล้จะตาย เขาเรียกโทบียาห์บุตรชายเข้ามาหาและสั่งว่า “ลูกเอ๋ย จงพาบุตรของลูก 4ไปลี้ภัยในแคว้นมีเดีย เพราะพ่อเชื่อว่าพระวาจาของพระเจ้าที่ประกาศกนาฮูมaเคยกล่าวไว้เกี่ยวกับกรุงนีนะเวห์ทุกอย่างจะเป็นจริง และจะเกิดขึ้นแก่แคว้นอัสซีเรียและกรุงนีนะเวห์ ดังที่ประกาศกของอิสราเอลที่พระเจ้าทรงส่งมาได้กล่าวทำนายไว้ จะไม่มีถ้อยคำใดเลยที่จะไม่เป็นจริง ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาb ในแคว้นมีเดียลูกจะปลอดภัยมากกว่าในแคว้นอัสซีเรีย หรือที่กรุงบาบิโลน พ่อรู้และเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้จะเป็นจริงและจะเกิดขึ้น ไม่มีถ้อยคำใดที่พระองค์ตรัสไว้จะไม่เป็นจริง

          บรรดาพี่น้องของเราที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอิสราเอลทุกคนจะกระจัดกระจายเป็นเชลยห่างจากแผ่นดินที่สวยงามของตน แผ่นดินทั้งหมดของอิสราเอลจะกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร กรุงสะมาเรียและกรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นที่รกร้าง พระวิหารของพระเจ้าจะถูกทำลายและถูกไฟเผาอยู่ระยะหนึ่ง 5แต่พระเจ้าจะทรงพระเมตตาต่อเขาทั้งหลายอีก จะทรงนำเขากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอล เขาจะสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ จะไม่เหมือนพระวิหารเดิม แต่จะคงอยู่จนถึงเวลาที่ทรงกำหนดไว้ ต่อมา เขาทุกคนจะกลับจากการเนรเทศ และจะสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ให้รุ่งเรือง เขาจะสร้างพระวิหารของพระเจ้าตามที่บรรดาประกาศกของอิสราเอลเคยกล่าวพยากรณ์ไว้ 6ชนทุกชาติที่อยู่ทั่วแผ่นดินจะกลับใจและยำเกรงพระเจ้าอย่างจริงใจ ทุกคนจะละทิ้งรูปเคารพที่ทำให้เขาหลงไปเชื่อคำเท็จ และจะถวายพระพรแด่พระเจ้าจอมจักรวาลอย่างที่ควร 7ชาวอิสราเอลทุกคนที่รอดชีวิตอยู่ในวันนั้นและระลึกถึงพระเจ้าด้วยใจจริง จะมาชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็ม และจะอยู่ในแผ่นดินของอับราฮัมอย่างสงบตลอดไป พระเจ้าจะประทานแผ่นดินนั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาอีก ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างจริงใจจะชื่นชมยินดี ส่วนผู้ที่ทำบาปและความอธรรมจะสูญหายไปจากทั่วแผ่นดิน

          8-9บัดนี้ ลูกหลานเอ๋ย พ่อสั่งลูกๆ เช่นนี้ จงรับใช้พระเจ้าจากใจจริง และจงทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย จงสั่งสอนลูกๆ ว่า เขามีหน้าที่ปฏิบัติความยุติธรรม และให้ทานแก่คนยากจน ระลึกถึงพระเจ้าและถวายพระพรแด่พระนามพระองค์เสมอจากใจจริงและสุดกำลัง

          ลูกเอ๋ย จงออกจากกรุงนีนะเวห์ อย่าอยู่ที่นี่ต่อไปอีก หลังจากที่ลูกฝังศพแม่ของลูกไว้ใกล้กับพ่อแล้ว วันนั้นเอง ลูกต้องไม่อยู่ในเขตกรุงนีนะเวห์ พ่อเห็นว่าชาวเมืองนี้ปฏิบัติความอธรรมและการฉ้อโกงอย่างมากโดยไม่อับอายเลย 10ลูกเอ๋ย จงคิดถึงสิ่งที่นาดับเคยทำกับอาคิคาร์ พ่อเลี้ยงของเขา ให้ต้องลงไปอยู่ในคุกมืดทั้งเป็นมิใช่หรือ แต่พระเจ้าทรงทำให้อาคิคาร์เห็นผลกรรมที่นาดับได้ทำแก่ตน อาคิคาร์ได้กลับมาสู่แสงสว่าง ในขณะที่นาดับต้องลงไปสู่ความมืดตลอดไป เพราะเขาประทุษร้ายต่อชีวิตของอาคิคาร์ อาคิคาร์รอดพ้นจากบ่วงแร้วที่นาดับวางดักไว้จะให้เขาตาย เพราะเขาเคยให้ทานแก่คนยากจนc ส่วนนาดับกลับตกลงไปในบ่วงแร้วของตนเองที่ทำให้เขาตาย 11ลูกหลานเอ๋ย จงพิจารณาเถิดว่า การให้ทานเกิดผลดีอย่างไร และการปฏิบัติความอธรรมเกิดผลร้ายนำไปสู่ความตายอย่างไร ดูซิ บัดนี้พ่อกำลังจะตายอยู่แล้ว”

          บุตรหลานนำเขาให้นอนลงบนเตียง แล้วเขาก็สิ้นใจd และถูกฝังอย่างสมเกียรติ

          12เมื่อมารดาสิ้นใจ โทบียาห์ก็ฝังนางไว้คู่กับบิดาของตน แล้วออกเดินทางไปแคว้นมีเดียพร้อมกับภรรยาและบุตรe เขาไปอยู่กับรากูเอลบิดาของภรรยาที่เมืองเอกบาทานา 13เขาดูแลบิดามารดาของภรรยาในวัยชราอย่างสมเกียรติ และฝังไว้ที่เมืองเอกบาทานาในแคว้นมีเดีย โทบียาห์ได้รับมรดกของรากูเอลรวมกับมรดกที่เขาได้รับจากโทบิตบิดาของตน 14เขามีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติจนอายุได้หนึ่งร้อยสิบเจ็ดปีf จึงสิ้นใจ 15ก่อนตาย เขาได้ยินข่าวว่ากรุงนีนะเวห์ถูกทำลาย และเห็นชาวนีนะเวห์ที่ถูกจับเป็นเชลยถูกซีอาซาเรสgกษัตริย์แห่งมีเดียกวาดต้อนมาที่แคว้นมีเดีย โทบียาห์ถวายพระพรแด่พระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำกับชาวนีนะเวห์และชาวอัสซีเรีย ก่อนจะสิ้นใจ เขามีโอกาสยินดีกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นแก่กรุงนีนะเวห์ และถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป อาเมน

14 a “นาฮูม” สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) ว่า “โยนาห์”

b “เมื่อถึงเวลา” ผู้เขียนรู้ว่าเหตุการณ์ที่เล่าเกิดขึ้นแล้ว แต่เล่าเหมือนกับว่าโทบิตซึ่งมีชีวิตอยู่ขณะที่อาณาจักรอัสซีเรียกำลังรุ่งเรืองที่สุดกล่าวพยากรณ์ไว้ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น วิธีเขียนเช่นนี้จะเป็นลักษณะของวรรณกรรมประเภทวิวรณ์ (Apocalyptic) * ในสมัยของผู้เขียน อนาคตที่กล่าวถึงนี้เป็นเครื่องหมายพาดพิงถึงยุคของพระเมสสิยาห์ที่จะมาถึงในอนาคต

c “ให้ทานแก่คนยากจน” สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ให้ทานแก่ฉัน” (หมายถึงแก่โทบิตผู้พูด)

d “เขาก็สิ้นใจ” สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) เสริมว่า “เมื่ออายุได้หนึ่งร้อยห้าสิบแปดปี”

e “และบุตร” แปลตามสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) และสำนวนแปลโบราณภาษาละติน

f “หนึ่งร้อยสิบเจ็ดปี” สำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) ว่า “หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี” สำนวนแปลโบราณภาษาซีเรียคว่า “หนึ่งร้อยเจ็ดปี” สำนวนแปลโบราณภาษาละตินว่า “เก้าสิบเก้าปี”

g “ซีอาซาเรส” แปลโดยคาดคะเน ซึ่งน่าจะตรงกับประวัติศาสตร์ สำเนาโบราณฉบับซีนาย (S) และสำนวนแปลโบราณภาษาละตินว่า “อาคิคาร์” ส่วนสำเนาโบราณฉบับวาติกัน (B) ว่า “เนบูคัดเนสซาร์และอาหสุเอรัส”