“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)


(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

อุปมาเรื่องผู้หว่าน

          4 1พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง 2พระองค์ทรงสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา ในการสอนนั้น พระองค์ตรัสว่า 3“จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด 5บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก 7บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล 8บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” 9แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”

เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมา

          10เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา 11พระองค์ตรัสตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่สำหรับคนที่อยู่ภายนอก ทุกสิ่งแสดงออกเป็นเพียงอุปมา ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

            12เพื่อaเขาจะมองแล้วมองเล่า แต่ไม่เห็น

                        ฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ

          มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรงให้อภัยเขา”

 

พระเยซูเจ้าทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน

          13พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไรb 14ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา 15เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป 16เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนพื้นหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที 17แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที 18เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา 19แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล 20ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”

การรับและการถ่ายทอดคำสอนของพระเยซูเจ้าc

          21พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “เขาจุดตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือใต้เตียงหรือ มิใช่วางไว้บนที่ตั้งตะเกียงหรือ 22เช่นเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ปรากฏออกมา 23ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”   

อุปมาเรื่องการตวง

          24พระองค์ตรัสอีกว่า “จงตั้งใจฟังให้ดี ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่านอย่างนั้น และจะเพิ่มให้อีกด้วย 25ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามี จะถูกริบไปด้วย”

อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเอง

          26พระองค์ยังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน 27เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ 28ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง 29เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว”d

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด

          30พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ 31พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน 32แต่ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้”

การใช้อุปมา

          33พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ 34พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น

พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ

          35เย็นวันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า “เราจงข้ามไปทะเลสาบฝั่งโน้นกันเถิด” 36บรรดาศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำอื่นๆ ติดตามไปด้วย 37ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว 38พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้วหรือ” 39พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า “เงียบซิ จงสงบลงเถิด” ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง 40แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ”e 41เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”

 

4 a คำสันธาน “เพื่อ” (ซึ่ง มธ ละไว้) มีความหมายเท่ากับ “เพื่อพระคัมภีร์จะได้สำเร็จไปดังที่มีเขียนไว้ว่า…”

b การที่บรรดาอัครสาวกไม่เข้าใจกิจการและพระวาจาของพระเยซูเจ้านั้นเป็นความคิดสำคัญข้อหนึ่งที่ มก กล่าวถึงหลายครั้ง (6:52; 7:18; 8:17-18, 21, 33; 9:10, 32; 10:38) มธ และ ลก มักจะไม่ให้ข้อสังเกตในเรื่องนี้ นอกจากในข้อความที่ตรงกันบางข้อ เช่น มธ 15:16; 16:9, 23; 20:22 และใน ลก 9:45 และของ ลก 18:34; 24:25, 45 และบางครั้ง มธ และ ลก ได้แก้ไขข้อความที่ยกมาจาก มก ด้วย (เทียบ มธ 14:33 กับ มก 6:51-52 ดู มธ 13:51 และ ยน 14:26 เชิงอรรถ r ด้วย)

c มก ได้รวบรวมอุปมาสั้นๆ สี่เรื่องไว้ด้วยกันตรงนี้ (ข้อ 21-25) ซึ่ง ลก ก็ได้ทำเช่นเดียวกัน อุปมาเหล่านี้อาจตีความได้หลายอย่างแล้วแต่บริบทที่ใช้ เช่น ลก ใช้อุปมาเรื่องตะเกียงถึง 2 ครั้ง ใน ลก 8:16 และ 11:33 (เทียบ มธ 5:15) อุปมาสั้นๆ ทั้งสี่นี้หมายถึงคำสอนของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นแสงสว่างที่จะต้องทอแสงออกมา และผู้รับคำสอนนี้จะต้องรับผิดชอบในการถ่ายทอดต่อไป

d พระอาณาจักรจะพัฒนาจนสมบูรณ์อาศัยพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน

e สำเนาโบราณบางฉบับว่า “ทำไมท่านยังไม่มีความเชื่ออีกเล่า”

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก