“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)


(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

พระเยซูเจ้าทรงมอบภารกิจให้อัครสาวกสิบสองคน

9 1พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนaเข้ามาพร้อมกัน ประทานอำนาจเหนือปีศาจและพลังรักษาโรค 2ทรงส่งเขาไปประกาศพระอาณาจักรพระเจ้าและรักษาคนเจ็บป่วย 3พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านเดินทาง อย่านำสิ่งใดไปด้วย อย่านำไม้เท้า ย่าม อาหาร เงิน หรือแม้แต่เสื้อสำรองไปด้วย 4เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใด จงพักอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเดินทางต่อไป 5ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา” 6บรรดาอัครสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวดีและรักษาโรคไปทั่วทุกแห่ง

กษัตริย์เฮโรดและพระเยซูเจ้าb

          7กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทรงรู้สึกสับสน เพราะบางคนพูดว่ายอห์นได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย 8บางคนพูดว่าประกาศกเอลียาห์ได้ปรากฏแล้ว บางคนว่าประกาศกในอดีตคนหนึ่งได้กลับคืนชีพ 9แต่กษัตริย์เฮโรดตรัสว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว คนที่เราได้ยินเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นใคร” กษัตริย์เฮโรดจึงทรงหาโอกาสจะพบพระองค์

บรรดาอัครสาวกกลับมา พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังc

          10เมื่อบรรดาอัครสาวกกลับมาแล้ว เขาทูลทุกสิ่งที่ได้ทำแด่พระเยซูเจ้า พระองค์จึงทรงพาเขาไปด้วย ทรงปลีกพระองค์ไปยังเมืองที่มีชื่อว่าเบธไซดา 11แต่ประชาชนรู้ จึงติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสสอนเขาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า ทรงรักษาคนที่ต้องการการบำบัดรักษา

          12เมื่อจวนถึงเวลาเย็น อัครสาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนกลับไปเถิด เขาจะได้ไปตามหมู่บ้านและชนบทโดยรอบเพื่อหาที่พักและอาหาร เพราะขณะนี้เราอยู่ในที่เปลี่ยว” 13พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลว่า “เราไม่มีอะไรนอกจากขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวเท่านั้น หรือว่าเราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งหมด” 14ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงบอกให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณห้าสิบคน” 15เขาก็ทำตามและให้ทุกคนนั่งลง 16พระเยซูเจ้าทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นมา ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์นำไปแจกจ่ายแก่ประชาชน 17ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้สิบสองกระบุง

เปโตรประกาศความเชื่อd

          18วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่เพียงพระองค์เดียว บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้า พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ประชาชนว่าเราเป็นใคร” 19เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นเอลียาห์ บ้างว่าเป็นประกาศกในอดีตคนหนึ่งซึ่งกลับคืนชีพ” 20พระเยซูเจ้าตรัสถามเขาว่า “ท่านล่ะว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสต์ของพระเจ้า” 21พระองค์จึงทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้พูดเรื่องนี้แก่ผู้ใด

พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งแรกเรื่องพระทรมานe

          22พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”

เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า

          23หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา 24ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ 25มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป 26ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเราและเพราะถ้อยคำของเรา บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขา เมื่อเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ของพระบิดา และของบรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์”

พระอาณาจักรจะมาถึงในไม่ช้า

          27เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า “บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตายจนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า”

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์f

          28หลังจากพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้ประมาณแปดวัน พระองค์ทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา 29ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น ลักษณะของพระพักตร์เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์มีสีขาวเจิดจ้า 30ทันใดนั้น บุรุษสองคนคือโมเสสและประกาศกเอลียาห์gมาสนทนากับพระองค์ 31ทั้งสองคนปรากฏมาในสิริรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการจากไปของพระองค์ที่กำลังจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม 32เปโตรและเพื่อนที่อยู่ด้วยต่างก็ง่วงนอนมาก เมื่อตื่นขึ้นhก็เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และเห็นบุรุษทั้งสองคนยืนอยู่กับพระองค์ 33ขณะที่บุรุษทั้งสองคนกำลังจะจากพระเยซูเจ้าไป เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร 34ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ เมื่ออยู่ในเมฆ เขากลัวมาก 35เสียงหนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรรi จงฟังท่านเถิด” 36เมื่อสิ้นเสียงนั้นแล้ว ศิษย์ทั้งสามคนก็เห็นพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียว เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ได้บอกเรื่องที่เห็นให้ผู้ใดรู้เลยในเวลานั้น

 คนถูกปีศาจสิง

          37ต่อมา เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคน ประชาชนจำนวนมากเข้ามาเฝ้าพระองค์ 38ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งร้องตะโกนในหมู่ประชาชนว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระองค์โปรดทอดพระเนตรบุตรชายของข้าพเจ้าด้วย เขาเป็นบุตรคนเดียวของข้าพเจ้า 39เมื่อปีศาจเข้าสิง เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันทีและเริ่มชัก น้ำลายฟูมปาก และก่อนที่ปีศาจจะออกไป มันก็จะทำให้เด็กหมดแรง 40ข้าพเจ้าวอนขอศิษย์ของท่านให้ขับไล่ปีศาจ แต่เขาทำไม่ได้” 41พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก และเลวร้าย เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่” 42ขณะที่เด็กคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้ ปีศาจก็ทำให้เด็กล้มลงชัก พระเยซูเจ้าตรัสสำทับจิตชั่วร้ายและทรงรักษาเด็กให้หายเป็นปกติ แล้วมอบเขาให้บิดา 43ทุกคนประหลาดใจมากเมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สองเรื่องพระทรมาน

          ขณะที่ทุกคนกำลังพิศวงในทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำอยู่นั้น พระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า 44“ท่านทั้งหลายจงฟังถ้อยคำเหล่านี้ไว้ให้ดีเถิด บุตรแห่งมนุษย์กำลังจะถูกมอบในมือของคนทั้งหลาย” 45แต่บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถูกปิดบังไว้มิให้เข้าใจความหมาย แต่เขาทั้งหลายก็ไม่กล้าทูลถามเรื่องนี้

ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดj

          46บรรดาศิษย์เริ่มถกเถียงกันว่าคนใดในกลุ่มยิ่งใหญ่ที่สุด 47พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงทรงจูงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนใกล้พระองค์ 48ตรัสว่า “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ คนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ต้อนรับเรา ผู้ใดต้อนรับเรา ผู้นั้นก็ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามา เพราะในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเล็กที่สุด ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด”

การใช้พระนามพระเยซูเจ้า

          49ยอห์นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนหนึ่งขับไล่ปีศาจในพระนามพระองค์ แต่เขาไม่ได้อยู่กับเรา เราพยายามห้ามปรามไว้k เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา” 50แต่พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลย ผู้ใดที่ไม่ต่อต้านท่าน ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายท่าน”

IV. การเดินทางสู่กรุงเยรูซาเล็มl

หมู่บ้านชาวสะมาเรียไม่รับเสด็จพระเยซูเจ้า

          51เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปmใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม 52และทรงส่งผู้นำสารไปล่วงหน้า คนเหล่านี้ออกเดินทางและเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรียเพื่อเตรียมรับเสด็จพระองค์ 53แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำลังเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มn 54เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่”o 55พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำหนิศิษย์ทั้งสองคนp 56แล้วทรงพระดำเนินต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์

ความยากลำบากในการเป็นอัครสาวก

57ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ” 58พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”

59พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่าq “ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน” 60พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิดr ส่วนท่านจงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า”

61อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปร่ำลาคนที่บ้านก่อน” 62พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักรของพระเจ้า”

 

9 a สำเนาโบราณบางฉบับละคำว่า “อัครสาวก”

b ลูกาไม่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความตายของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง ข้อความที่ว่า “กษัตริย์เฮโรดปรารถนาจะเห็นพระองค์” เป็นการเตรียมผู้อ่านให้คิดว่ากษัตริย์เฮโรดจะพบพระเยซูเจ้าในภายหลัง (23:8-12)

c ลก และ ยน กล่าวถึงการทวีขนมปังเพียงครั้งเดียว ขณะที่ มธ และ มก เล่าถึงการทวีขนมปังสองครั้ง เป็นไปได้ที่ ลก ได้จงใจไม่กล่าวถึงการทวีขนมปังครั้งที่สอง หรือเพราะ ลก ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดใน มก 6:45-8:26 ซึ่งเล่าเรื่องการทวีขนมปังครั้งที่สอง แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ลูกาได้จงใจไม่เล่าเรื่องซ้ำกันเหมือนกับ มก และ มธ ที่เล่าเรื่องการทวีขนมปังสองครั้ง ดูเหมือนจะเป็นการเล่าสองแบบของเหตุการณ์เดียวกัน โดยแบบหนึ่งมีต้นกำเนิดในแวดวงของชาวยิวในปาเลสไตน์ (สังเกตรายละเอียด เช่น ฝั่งตะวันตกของทะเลสาบ ดู มธ 14:13 เชิงอรรถ d; สิบสองกระบุง ตรงกับสิบสองตระกูลของอิสราเอล) ส่วนอีกแบบหนึ่งมีต้นกำเนิดจากแวดวงของคนต่างศาสนา (สังเกตรายละเอียด เช่น ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบ ดู มก 7:41 เจ็ดกระบุงตรงกับจำนวนของชาวคานาอันเจ็ดชาติก่อนที่ชาวยิวจะเข้ามายึดครองดินแดน ฉธบ 7:1; กจ 13:19 ดู มธ 14:13 เชิงอรรถ c ด้วย)

d ตามสำนวนของ ลก แม้เปโตรไม่เรียกพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” (ดู มธ 16:16 เชิงอรรถ d) คำประกาศความเชื่อของเปโตร ซึ่งกล่าวแทนบรรดาอัครสาวกอื่นๆ มีความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นจุดสำคัญในพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ขณะที่ประชาชนไม่เข้าใจว่าพระองค์คือใครและค่อยๆ ตีจากไป บรรดาศิษย์ยอมรับพระองค์เป็นครั้งแรกอย่างเปิดเผยว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ (ดู 2:26 เชิงอรรถ j) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเยซูเจ้าจึงทรงพยายามสั่งสอนผู้มีความเชื่อกลุ่มเล็กๆ นี้ให้มีความเชื่อมั่นคงและชัดเจนยิ่งขึ้น

e คำทำนายนี้ยังมีคำทำนายอื่นๆ อีกหลายอย่างตามมา (9:44; 12:50; 17:25; 18:31-33 เทียบ 24:7, 25-27)* ลก ไม่เล่าถึงการประท้วงของเปโตรและคำตำหนิของพระเยซูเจ้า (มก 8:32ฯ)

f รายละเอียดบางประการในการเล่าเรื่องการสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์เป็นของลูกาโดยเฉพาะ และไม่พบใน มก หรือ มธ สำหรับ มก เหตุการณ์นี้เป็นการเปิดเผยพระเมสสิยาห์ในฐานะที่ทำให้ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกสำเร็จไป สำหรับ มธ เป็นการแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นโมเสสคนใหม่ที่ใหญ่กว่าโมเสสคนเดิม สำหรับ ลก การสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ยังเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของพระเยซูเจ้าอีกด้วย ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ พระองค์ทรงเห็น “การจากไป” (การอพยพ) ของพระองค์ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างชัดเจน ความแตกต่างในการเล่าเรื่องเช่นนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์บางคนคิดว่า ลก ได้ใช้ธรรมประเพณีอีกฉบับหนึ่งต่างหากในการเรียบเรียง

g การที่ ลก ออกชื่อโมเสสและเอลียาห์เพื่อบอกว่า “บุรุษสองคน” ที่กล่าวถึงนี้เป็นใคร จึงมีผู้สันนิษฐานว่าในแหล่งข้อมูลที่ลูกาใช้กล่าวถึงทูตสวรรค์สององค์ (เทียบ 24:4; กจ 1:10) ซึ่งมาให้กำลังใจและกำลังกายแด่พระเยซูเจ้า (เทียบ ลก 22:43) สำหรับความหมายของโมเสสและเอลียาห์ ตามธรรมประเพณีของ มธ ดู มธ 17:1 เชิงอรรถ a

h “ตื่นขึ้น” ยังแปลได้อีกว่า “พยายามไม่หลับ” ลก ผู้เดียวเล่าว่าบรรดาศิษย์รู้สึกง่วงจนทนไม่ไหว ทำให้เราคิดถึงการง่วงนอนของบรรดาศิษย์ในสวนเกทเสมนี (22:45) ซึ่งเกิดขึ้นในเวลากลางคืน จึงเป็นไปได้ว่า ลก ยกเรื่องความง่วงจากเหตุการณ์ในสวนเกทเสมนีมาใช้ที่นี่ด้วย

i สำเนาโบราณบางฉบับว่า “สุดที่รัก” (ดู มธ และ มก) เราพบสมญา "ผู้ที่เราเลือกสรร" (เทียบ 23:35; อสย 42:1) และ “บุตรแห่งมนุษย์” แทนกันได้ในหนังสือ “อุปมาของเอโนค”

j คำตอบต่อคำถามนี้ ปรากฏอยู่ในข้อ 48ข ส่วนข้อความในข้อ 48ก ดูเหมือนจะเป็นพระวาจาที่พระองค์ตรัสในโอกาสอื่น (เทียบ มธ 10:40)

k สำเนาโบราณบางฉบับว่า “เราได้ห้ามปรามไว้”

l จนถึงบัดนี้ ลก ได้เล่าเหตุการณ์ตามลำดับที่พบใน มก แต่ในข้อความตั้งแต่ 9:51-18:41 ลก ไม่ได้เรียบเรียงเรื่องตามลำดับของ มก อีกต่อไป แต่ใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่นที่ มธ ใช้ด้วย ดู “ความรู้เกี่ยวกับพระวรสารสหทรรศน์” หรือจากแหล่งข้อมูลเฉพาะของตนเอง ลูกาได้เรียบเรียงเรื่องทั้งหมดนี้ในกรอบของการเดินทางสู่กรุงเยรูซาเล็ม (9:53, 57; 10:1; 13:22, 33; 17:11; ดู 2:38 เชิงอรรถ o)

m แปลตามตัวอักษรว่า “เวลาที่พระองค์จะทรงถูกยกขึ้น” “การถูกยกขึ้น” ของพระเยซูเจ้านี้ (เทียบ 2 พกษ 2:9-11; มก 16:19; กจ 1:2, 10-11; 1 ทธ 3:16) หมายถึงวันในระยะสุดท้ายของชีวิตในโลกนี้ของพระองค์ (การทรมาน การสิ้นพระชนม์) และยังหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ด้วย (การกลับคืนพระชนมชีพและการเสด็จสู่สวรรค์) ยน ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายของพระเยซูเจ้าในด้านเทววิทยามากกว่า ใช้คำว่า “การรับสิริรุ่งโรจน์” ของพระเยซูเจ้า ในความหมายนี้ (ยน 7:39; 12:16, 23; 13:31ฯ) สำหรับ ยน การถูกตรึงบนไม้กางเขนก็เป็น “การถูกยกขึ้น” (ยน 12:32 เชิงอรรถ j) ด้วย

n ความเกลียดชังของชาวสะมาเรียต่อชาวยิว (ยน 4:9 เชิงอรรถ e) จะแสดงออกให้เห็นเป็นพิเศษต่อผู้ที่เดินทางจาริกแสวงบุญมายังกรุงเยรูซาเล็ม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่ชาวยิวผู้แสวงบุญจะหลีกเลี่ยงไม่ผ่านดินแดนของชาวสะมาเรีย (เทียบ มธ 10:5) ลก และ ยน เท่านั้น (ยน 4:1-42) กล่าวว่าพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในดินแดนของชาวสะมาเรียผู้เป็นอริ (ดู 17:11, 16) ต่อมาไม่นานพระศาสนจักรยุคแรกก็ปฏิบัติตามพระฉบับของพระองค์โดยประกาศข่าวดีแก่ชาวสะมาเรียด้วย (กจ 8:5-25)

o สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ดังที่ประกาศกเอลียาห์ได้ทำ” เหตุการณ์นี้ชวนให้คิดถึง 2 พกษ 1:10-12 ยากอบและยอห์นในที่นี้นับได้ว่าเป็น “บุตรของฟ้าร้อง” (มก 3:17) จริงๆ

p สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ทรงตำหนิว่า ท่านไม่ทราบว่าจิตใจของท่านทำด้วยอะไร บุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อทำลาย แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น”

q สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “พระเจ้าข้า” (เทียบ มธ 8:21)

r ประโยคนี้เล่นคำ “คนตาย” ในสองความหมาย “ปล่อยให้คนตาย (ฝ่ายจิตใจ) ฝังคนตาย (ฝ่ายร่างกาย) ของตนเถิด”

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก