(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

“ผู้เลี้ยงแกะ” ที่ดี

10 1เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ไม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าทางอื่น ก็เป็นขโมยและโจร 2ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ 3คนเฝ้าประตูย่อมเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟังเสียงเขา เขาเรียกชื่อแกะของตนทีละตัวa และพาออกไปข้างนอก 4เมื่อเขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาจะเดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะจำเสียงของเขาได้ 5แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า

6พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นbฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงสิ่งใด

7พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่า

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

เราเป็นประตูคอกแกะc

8ทุกคนที่มาdก่อนหน้าเรา

เป็นขโมยและโจร

แต่แกะมิได้ฟังเสียงของเขาเหล่านั้น

9เราเป็นประตู

ผู้ที่เข้ามาทางเราก็จะรอดพ้น

เขาจะเข้าจะออก

และจะพบทุ่งหญ้า

10ขโมยย่อมมา

เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย

เรามา เพื่อให้แกะมีชีวิตe

และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์

11เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีf

ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน

12ลูกจ้างที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ

และไม่เป็นเจ้าของแกะ

เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา

ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป

สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป

13ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง

ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย

14เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี

เรารู้จักแกะของเรา

และแกะของเราก็รู้จักเราg

15พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด

เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น

เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา

16เรายังมีแกะอื่นๆ

ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้

เราต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วยh

แกะจะฟังเสียงของเรา

จะมีแกะเพียงฝูงเดียวi

และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว

17พระบิดาทรงรักเรา

เพราะเราสละชีวิตของเรา

เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก

18ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้

แต่เราเองสมัครใจjสละชีวิตนั้น

เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา

และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก

นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา”

19ชาวยิวมีความคิดเห็นแตกต่างกันอีกเพราะพระวาจานี้ 20หลายคนพูดว่า “คนนี้ถูกปีศาจสิง กำลังพูดเพ้อเจ้อ ท่านทั้งหลายฟังเขาทำไม” 21คนอื่นพูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่ถ้อยคำของผู้ถูกปีศาจสิง ปีศาจรักษาตาของคนตาบอดได้หรือ”

 

V.วันฉลองพระวิหาร ชาวยิวตัดสินใจจะประหารชีวิตพระเยซูเจ้า

พระเยซูเจ้าทรงอ้างว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า

22ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว 23พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงซาโลมอน 24ชาวยิวมาล้อมพระองค์ไว้ ทูลว่า “ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยู่นานเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสตเจ้า ก็จงบอกพวกเราให้ชัดเจนเถิด”k 25พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า

“เราบอกท่านทั้งหลายแล้วlแต่ท่านไม่เชื่อ

กิจการที่เราทำในนามของพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา

26แต่ท่านไม่เชื่อ

เพราะท่านไม่ใช่แกะของเราm

27แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา

เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา

28เราให้ชีวิตนิรันดรแก่แกะเหล่านั้น

และมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร

ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้

29พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคนn

และไม่มีใครแย่งชิงoไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้

30เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”p

31ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก 32พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการที่ดีหลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะกิจการใด” 33ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการที่ดี แต่เพราะท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า” 34พระเยซูเจ้าตรัสว่า

“มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายว่า

เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้าq

35พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’

และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้

36พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์

และทรงส่งเรามาในโลก แล้วทำไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่นพระเจ้า

เมื่อเราพูดว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’

37ถ้าเราไม่ทำกิจการของพระบิดาของเรา

ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย

38แต่ถ้าเราทำ

แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา

อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด

แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า

พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”

39คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของพวกเขาไปได้

พระเยซูเจ้าเสด็จไปพำนักอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน

40พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้นยอห์นได้ทำพิธีล้าง พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่นั่น 41ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์นไม่ได้ทำเครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความจริง” 42และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์

 

เรียนพระคัมภีร์กับคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
พระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 10

 


 

10 a แปลได้อีกว่า เรียกแกะตามชื่อของมัน

b คนเหล่านั้น หมายถึง ชาวฟาริสีซึ่งจงใจเป็นคนตาบอด (9:40) เขาจึงไม่สามารถเข้าใจว่าอุปมาเรื่องนี้หมายถึงตน

c ประตูคอกแกะ หมายถึง ประตูที่เปิดเข้าไปหาแกะ ผู้ที่ เข้าไป โดยทางพระเยซูเจ้าเท่านั้นมีอำนาจที่จะเป็นผู้นำแกะได้ (21:15-17)

d สำเนาโบราณบางฉบับละ ก่อนหน้าเรา ผู้ที่มาก่อนหน้าพระเยซูเจ้าอาจหมายถึงชาวฟาริสี (เทียบ มธ 23:1-36; ลก 11:39-52; และ มธ 9:36; มก 6:34)

e ชีวิต หมายถึง ชีวิตนิรันดร ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ (3:16, 36; 5:40; 6:33, 35, 48, 51; 14:6; 20:31) ด้วยพระทัยกว้างขวาง (ดู มธ 25:29; ลก 6:38; วว 7:17)

f พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงประชากรของพระองค์ และจะทรงเลือกผู้เลี้ยงประชากรในสมัยพระเมสสิยาห์ (เทียบ อสค 34:1 เชิงอรรถ a) คำยืนยันของพระเยซูเจ้าที่ว่าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีจึงเป็นการอ้างว่าเป็นพระเมสสิยาห์

g ในภาษาของพระคัมภีร์ (ดู ฮชย 2:22 เชิงอรรถ v) ความรู้ ไม่เป็นเพียงข้อสรุปของกระบวนการทางปัญญา แต่เป็นผลของ ประสบการณ์ เป็นการได้สัมผัสด้วยตนเอง (ดู ยน 10:14-15 และ 14:20; 17:21-22; เทียบ 14:17; 17:3; 2 ยน 1-2) เมื่อความรู้พัฒนาขึ้น ก็กลายเป็นความรัก (ดู ฮชย 6:6 เชิงอรรถ c และ 1 ยน 1:3 เชิงอรรถ b)

h พระเยซูเจ้าไม่ทรงนำชนต่างชาติให้เข้ามาเป็นชาวยิว แต่ทรงรวบรวมทุกคนให้เป็นประชากรที่ทรงนำไปรับชีวิตนิรันดร

i สำเนาโบราณภาษาละติน (Vg) ว่า คอกแกะเดียว

j พระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตในพระองค์ (3:35 เชิงอรรถ t) และไม่มีผู้ใดสามารถฉกชิงชีวิตนั้นไปจากพระองค์ได้ (7:30, 44; 8:20; 10:39) พระองค์ทรงสละชีวิตนั้นด้วยความสมัครใจ (ข้อ 18; 14:30; 19:11) ดังนั้น พระองค์จึงทรงบังคับอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างสงบและทรงอำนาจ เมื่อต้องเผชิญกับความตาย (12:27; 13:1-3; 17:19; 18:4-6; 19:28)

k จนถึงเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนโดยใช้อุปมา (ดู ข้อ 6; 16:25, 29) ชาวยิวจึงขอร้องมากกว่าแต่ก่อนให้พระองค์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ (2:18; 6:30; 8:25) ในพระวรสารสหทรรศน์ คำถามนี้จะเป็นคำถามของมหาสมณะก่อนจะทรงรับทรมาน (มก 14:61)

l คำยืนยันของพระเยซูเจ้าก่อนหน้านี้ ในพระวรสารฉบับนี้ ได้บอกอย่างชัดเจนพอควรแล้วว่า พระองค์ตรัสสอนในฐานะผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา (เทียบ 2:19; 5:17ฯ, 39; 6:32ฯ; 8:24, 28ฯ; 56ฯ; 9:37)

m ความเชื่อในพระเยซูเจ้าเรียกร้องให้เรามีความรู้สึกร่วมกับพระองค์ มนุษย์ต้อง มาจากเบื้องบน (8:23) เป็นคน ของพระเจ้า (8:47) ของความจริง” (18:37) เป็นแกะในฝูงของพระองค์ (ข้อ 14) ความเชื่อเรียกร้องให้มีใจที่เปิดกว้างรับความจริง (3:17-21; ดู กจ 13:48 เชิงอรรถ jj; รม 8:29ฯ)

n สำเนาโบราณบางฉบับว่า สิ่งที่พระบิดาประทานแก่เราก็ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง

o สำเนาโบราณบางฉบับว่า ช่วงชิงมัน

p หนึ่งเดียวกัน อาจมีความหมายเพียงว่า อำนาจของพระบุตรเป็นสิ่งเดียวกันกับอำนาจของพระบิดา แต่บริบทแสดงว่ามีความหมายมากกว่านั้น โดยเสนอเอกภาพที่กว้างและลึกซึ้งกว่านั้นอีก ชาวยิวได้เข้าใจความหมายนี้ดี คิดว่าพระเยซูเจ้าทรงอ้างว่าเป็นพระเจ้าเท่ากับพระบิดาด้วย (ข้อ 33 เทียบ 1:1; 8:24, 29; 10:38; 14:9-10; 17:11, 21; และ 2:11 เชิงอรรถ f)

q ข้อความที่ว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้า ใน สดด 82:6 กล่าวถึงบรรดาผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่แทนพระเจ้าเพราะ “การพิพากษาเป็นอำนาจของพระเจ้า” (อพย 21:6; ฉธบ 1:17; 19:17; สดด 58) วิธีอ้างเหตุผลของพระเยซูเจ้าเป็นวิธีการแบบของพวกรับบี คือ ถ้าผู้พิพากษาได้ชื่อว่า พระเจ้า ได้ ก็สาอะไรกับพระองค์ที่พระบิดาทรงส่งมา จะเรียกตนเองว่าเป็น บุตรพระเจ้า ไม่ได้หรือ เกี่ยวกับสำนวน พระบุตรของพระเจ้า ดู ข้อ 36 เทียบ 5:25; 11:4, 27; 20:17, 31 เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหตุการณ์ที่กำหนดชะตากรรมของพระเยซูเจ้าโดยเด็ดขาด (ดู 19:7; ดู มธ 4:3 เชิงอรรถ d ด้วย)