(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

8 1พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ

2เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน

3บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง 4แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี 5ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” 6เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อจับผิดพระองค์ หวังจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดินa 7เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” 8แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป 9เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม 10พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” 11หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”         

พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลกb

12พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า

“เราเป็นแสงสว่างส่องโลก

ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด

แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต”

พระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานให้ตนเอง

13ชาวฟาริสีกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นพยานให้กับตนเอง คำยืนยันเป็นพยานของท่านจึงไม่น่าเชื่อถือ” 14พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า

“แม้เราจะเป็นพยานให้ตนเอง

คำยืนยันเป็นพยานของเราก็น่าเชื่อถือ

เพราะเรารู้ว่า

เรามาจากไหน และกำลังจะไปไหน

แต่ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า

เรามาจากไหน และกำลังจะไปไหนc

15ท่านพิพากษาตามมาตรการของมนุษย์d

แต่เราไม่พิพากษาeผู้ใด

16และถึงแม้ว่าเราพิพากษาผู้ใด

คำพิพากษาของเราก็น่าเชื่อถือ

เพราะเราไม่อยู่คนเดียว

แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงอยู่กับเราด้วย

17ในธรรมบัญญัติของท่านทั้งหลายมีเขียนไว้ว่า

‘คำยืนยันเป็นพยานของคนสองคนเป็นที่น่าเชื่อถือ’

18เราเป็นพยานให้ตนเอง

และพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาทรงเป็นพยานให้เราด้วย”

19เขาเหล่านั้นจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ใด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายไม่รู้จักทั้งเรา ทั้งพระบิดาของเรา

ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านคงรู้จักพระบิดาของเราด้วย”

20พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ในบริเวณที่วางของถวาย ขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง

21พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า

“เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา

แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่านf

ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้”

22ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” 23พระเยซูเจ้าตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง

แต่เรามาจากเบื้องบน

ท่านเป็นของโลกนี้

แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้

24 ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน

ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นg

ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน”

25เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า

“เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกhแล้ว

26เรายังมีอีกหลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน

แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรงสัจจะ

สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์

เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้”

27คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา 28พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า

“เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น

เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็นi

และรู้ว่าเราไม่ทำอะไรตามใจตนเอง

แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้

29พระผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา

พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำพัง

เพราะเราทำตามที่พระองค์พอพระทัยเสมอ”

30เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์

พระเยซูเจ้าและอับราฮัม

31พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า

“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา

ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง

32ท่านจะรู้ความจริงj

และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”

33คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’” 34พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาปk

35ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป

แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป

36ดังนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ

ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง

37เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม

แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา

เพราะวาจาของเราไม่ซึมซาบเข้าไปในท่าน

38เราบอกสิ่งที่เราได้เห็นเมื่อเราอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดา

ท่านทั้งหลายก็ทำตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย”

39คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า

“ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม

ท่านจงทำกิจการของอับราฮัมเถิดl

40แต่บัดนี้ ท่านกำลังพยายามจะฆ่าเรา

ซึ่งเป็นคนบอกความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้าให้ท่านฟัง

อับราฮัมไม่เคยทำเช่นนี้เลย

41ท่านไม่ทำกิจการของอับราฮัม

แต่ทำกิจการของบิดาของท่าน”

คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อm บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” 42พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า

“ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา

เพราะเรามาจากพระเจ้า

เราไม่ได้มาตามใจตนเอง

แต่พระองค์ทรงส่งเรามา

43ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจสิ่งที่เราพูด

เพราะท่านฟังถ้อยคำของเราไม่ได้n

44ท่านมาจากปีศาจซึ่งเป็นบิดาของท่าน

ท่านต้องการทำตามความปรารถนาของบิดาของท่าน

บิดาของท่านเป็นฆาตกรมาตั้งแต่แรกเริ่ม

เขาไม่ยืนหยัดoอยู่ในความจริง

เพราะความจริงไม่อยู่ในเขา

เมื่อเขาพูดเท็จ

เขาก็พูดตามธรรมชาติของเขา

เพราะเขาเป็นผู้พูดเท็จ และเป็นบิดาของการพูดเท็จp

45แต่เราพูดความจริง

และท่านไม่ยอมเชื่อเรา

46ท่านผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าเราทำบาปq

ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา

47ผู้ที่มาจากพระเจ้า

ย่อมฟังพระวาจาของพระเจ้า

เหตุที่ท่านไม่ฟัง

ก็เพราะท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า”

48ชาวยิวตอบพระองค์ว่า “เราพูดถูกแล้วมิใช่หรือว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรีย และถูกปีศาจสิง” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า

49“เราไม่ได้ถูกปีศาจสิง

แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา

และท่านล่วงเกินเรา

50เราไม่แสวงหาเกียรติของเรา

มีผู้อื่นที่แสวงหาเกียรติของเรา และเป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว

51เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา

ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย”

52ชาวยิวพูดกับพระองค์ว่า “บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ 53ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเรา ซึ่งตายไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน” 54พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า

“ถ้าเราให้เกียรติตนเอง

เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร

ผู้ที่ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา

ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’

55แต่ท่านไม่รู้จักพระองค์

เรารู้จักพระองค์

ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’

เราก็เป็นคนพูดเท็จเหมือนกับท่าน

แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์

56อับราฮัมบิดาของท่านได้ยินดี

ที่จะเห็นวันของเราr

เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว”s

57ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” 58พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น”

 

59คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์t แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไปจากพระวิหาร

 

เรียนพระคัมภีร์กับคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
พระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 7-8

 



 

8 a เราไม่รู้ว่า การที่พระเยซูเจ้าทรงขีดเขียนบนพื้นดินมีความหมายถึงสิ่งใด

b ความคิดเรื่องความสว่าง ความมืดในพันธสัญญาใหม่ได้พัฒนามาตามแนวทางสามสายดังนี้ (1) ดวงอาทิตย์ส่องสว่างมนุษย์ที่กำลังเดินทางฉันใด สิ่งใดที่แสดงหนทางไปหาพระเจ้าแก่มนุษย์จึงเป็น แสงสว่าง ในอดีต แสงสว่างนี้คือธรรมบัญญัติ พระปรีชาญาณ และพระวาจาของพระเจ้า (สดด 119:105; สภษ 4:18-19; 6:23; ปญจ 2:13; เทียบ รม 2:19) ในปัจจุบันแสงสว่างนี้คือพระเยซูเจ้า (ยน 1:9; 9:1-39; 12:35; 1 ยน 2:8-11 ดู 2 คร 4:6) ซึ่งเปรียบเสมือนกลุ่มเมฆสุกใส ซึ่งได้นำชาวอิสราเอลในการอพยพจากอียิปต์ (ยน 8:12 ดู อพย 13:21ฯ; ปชญ 18:3ฯ) แสงสว่างนี้ยังหมายความรวมไปถึงบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งต้องฉายแสงความครบครันของพระเจ้าจากชีวิตของตนด้วย (มธ 5:14-16; ลก 8:16; วว 21:24) (2) แสงสว่างเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิต ความสุขและความยินดี ส่วนความมืดเป็นสัญลักษณ์ของความตาย ความโศกเศร้า และความทุกขเวทนา (โยบ 30:26; อสย 45:7) ดังนั้น การเป็นทาสคือความมืด ความปลดปล่อยและความรอดพ้นในยุคของพระเมสสิยาห์จึงเป็นแสงสว่าง (อสย 8:22-9:1; มธ 4:16; ลก 1:79; รม 13:11-12) แสงสว่างนี้ส่องแสงแม้กระทั่งคนต่างศาสนา (ลก 2:32; กจ 13:47) โดยทางพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความสว่าง (ดูข้อความของ ยน ที่เพิ่งอ้างถึง; อฟ 5:14) แสงสว่างนี้จะสุกใสที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ (มธ 8:12; 22:13; 25:30; วว 22:5) (3) การเป็นปฏิปักษ์ระหว่าง แสงสว่าง ความมืด ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของโลกแห่งความดีและความชั่ว ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน (ดู ข้อเขียนของชาวเอสเซนที่คุมราน) ดังนั้น ในพันธสัญญาใหม่จึงมีสอง อาณาจักร พระคริสตเจ้าทรงเป็นเจ้าปกครองอาณาจักรหนึ่ง และซาตานเป็นเจ้าปกครองอีกอาณาจักรหนึ่ง (กจ 26:18; 2 คร 6:14-15; คส 1:12-13; 1 ปต 2:9) แต่ละคนพยายามที่จะตั้งตนเป็นเจ้านายสูงสุด (ยน 13:29-30; ลก 22:53) มนุษย์เป็น บุตรแห่งความสว่างหรือไม่ก็เป็น บุตรแห่งความมืด (12:36; ลก 16:8; อฟ 5:7-9; 1 ธส 5:5) แล้วแต่ว่าผู้นำชีวิตของเขาเป็นแสงสว่าง (คือพระคริสตเจ้า) หรือเป็นความมืด (คือซาตาน) (1 ธส 5:4ฯ; 1 ยน 1:6-7; 2:9-10) กิจการที่มนุษย์ทำแสดงว่าเขาเป็นใคร (รม 13:12-14; อฟ 5:8-11) เมื่อแสงสว่างมาถึง ความแตกต่าง (การพิพากษา) ระหว่างมนุษย์สองกลุ่มนี้จะปรากฏชัดเจนขึ้น เพราะแสงสว่างจะบังคับทุกคนให้แสดงตนว่าเป็นฝ่ายแสงสว่าง หรือเป็นฝ่ายความมืด (3:19-21; 7:7; 9:39; 12:46; ดู อฟ 5:12-13) ทัศนคติของพระคัมภีร์ยังมองโลกในแง่บวก คือ สักวันหนึ่งความมืดจะต้องหายไปเพราะแสงสว่างเข้ามาแทนที่ (1:5; รม 13:12; 1 ยน 2:8)

c พระบุตรทรงเป็นพยานให้พระองค์เองได้ เพราะพระองค์แต่ผู้เดียวทรงทราบธรรมล้ำลึกว่าทรงมีต้นกำเนิดจากสวรรค์ (เทียบ มธ 11:27//)

d ชาวยิวตัดสินจากสิ่งที่มองเห็นได้ คือเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับตน เมื่อมองดูธรรมชาติมนุษย์ เขาไม่อาจมองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบุตรของพระเจ้าได้ (น.ออกัสติน)

e การพิพากษา ในความหมายภาษาเซมิติกคือ พิพากษาลงโทษ

f ชาวยิวที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า กำลังมุ่งหน้าสู่ความพินาศที่ไม่มีทางแก้ไข เขากำลังทำบาปผิดต่อความจริง (ข้อ 40, 45ฯ) ซึ่งเป็นบาปผิดต่อพระจิตเจ้า (มธ 12:31// ดู ยน 7:34 เชิงอรรถ n)

g เราเป็น หรือ เราเป็นผู้นั้น (หรือ ยาห์เวห์ ในภาษาฮีบรู) เป็นพระนามของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยแก่โมเสส (อพย 3:13 เชิงอรรถ g, 14) พระนามนี้มีความหมายว่า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าที่ไม่มีผู้ใดเหมือน เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว (ฉธบ 32:29) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงใช้พระนามนี้กับพระองค์ พระองค์กำลังอ้างว่าเป็นพระผู้ไถ่พระองค์เดียวที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นจุดหมายของความเชื่อ และความหวังของชาวอิสราเอล (ดู ข้อ 28, 58; 13:19; และ 6:35; 18:5, 8)

h ข้อความนี้ออกคลุมเครืออยู่มาก เราจึงพบคำแปลอื่นๆ เช่น “ก่อนอื่นหมดเราพูดกับท่านทำไม” ทำไมเราจะต้องพูดกับท่าน” “เรากำลังจะบอกอยู่นี่แหละ

i ในพันธสัญญาเดิม ประโยคที่ว่า ท่านทั้งหลายจะรู้ว่าเราเป็น หรือ รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เป็นคำยืนยันถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า (ดู ข้อ 24 เชิงอรรถ g) หรือมิฉะนั้น ก็เป็นการประกาศว่าพระเจ้าได้ทรงเข้ามาในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเพื่อช่วยประชากรของพระองค์อย่างอัศจรรย์ (ดู อพย 10:2; อสย 43:10 ซึ่งมีข้อความคล้ายกับ ยน อสค 6:7, 10, 13ฯ) ข้อความนี้กล่าวล่วงหน้าว่าพระเยซูเจ้าจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อจะทรง ถูกยกขึ้น บนไม้กางเขน (12:32 เชิงอรรถ h) ข้อความนี้เป็นคำตอบให้แก่คำถามของชาวยิว (ข้อ 25) และจะเป็นการตัดสินลงโทษความไม่เชื่อของพวกเขาด้วย (ดู 19:37; มธ 26:64//; 1 คร 2:8; วว 1:7)

j พระเยซูเจ้าทรงเป็นความจริง คือทรงเป็นของประทานและแผนการทั้งหมดที่พระบิดาประทานให้แก่มนุษย์เพื่อให้รอดพ้น (14:6; 17:17; ดู วว 3:7; 19:11) ในพระเยซูเจ้า พระสัญญาของธรรมบัญญัติ (1:17) เป็นความจริง พระองค์ทรงประกาศพระวาจาที่ทรงได้รับจากพระบิดาผู้ทรงส่งพระองค์มา (3:11 เชิงอรรถ e; 8:26, 40) ดังนั้น พระองค์ทรงเผยให้มนุษย์ทราบถึงพระบิดาที่พระองค์ทรงรู้จัก (1:18) และเชื้อเชิญให้เราเชื่อในพระองค์ (3:12 เชิงอรรถ g; 8:45-47) พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างแท้จริง (1:9) และตรัสว่า เราเป็นขนมปังแท้ ฯลฯ (6:35) หลังจากที่ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้ว (12:32 เชิงอรรถ j) พระจิตแห่งความจริง (14:17 เชิงอรรถ j) จะทรงนำผู้มีความเชื่อทุกคนไปรับความจริงทุกประการ (16:13) ผู้ที่เชื่อซึ่ง อยู่ฝ่ายความจริง (18:37; 1 ยน 3:19 เชิงอรรถ g; ดู 2 ธส 2:10-12) จะได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากความจริง (17:17-19) เขาจะดำรงอยู่ในความจริง (ยน 8:31) ดำเนินอยู่ในความจริง (2 ยน 4; 3 ยน 4) ปฏิบัติตามความจริง (ยน 3:21) และร่วมงานกับความจริง (3 ยน 8) เขาจะนมัสการพระบิดาเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง (4:23-24) เขาจะพ้นจากความเท็จ (ข้อ 44 เชิงอรรถ o)

k สำเนาโบราณบางฉบับละคำว่า ของบาป

l สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่านคงจะทำ…” ชาวยิวเหล่านี้ไม่เหมือนกับอิสอัค คือไม่เป็นบุตรของอับราฮัม เพราะไม่เชื่อ เขาเพียงแต่ สืบเชื้อสาย มาจากอับราฮัม (เหมือนอิชมาเอล ซึ่งมีมารดาเป็นทาส และถูกขับไล่ไปไม่ให้รับมรดก ดู ข้อ 34-35) เปาโลเปรียบเทียบอิสอัคกับอิชมาเอลใน กท 4:30ฯ ชาวยิวที่โต้ตอบกับพระเยซูเจ้า ไม่เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย เพราะเขาไม่เชื่อในพระเยซูเจ้า (1:12 เชิงอรรถ j; 3:7-9)

m ลูกไม่มีพ่อ แปลตามตัวอักษร ลูกของการล่วงประเวณี บรรดาประกาศกเรียกการไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าว่าเป็น การล่วงประเวณี (ดู ฮชย 1:2 เชิงอรรถ b) ดังนั้น ในที่นี้ ชาวยิวจึงค้านว่าเขาได้ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระเจ้า

n ชาวยิวไม่สามารถฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าได้เพราะเขามีปีศาจ (เจ้าแห่งความโกหก) เป็นเจ้านาย และปีศาจเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง (เทียบ 18:37)

o แปลอีกอย่างหนึ่งว่า เขาไม่ตั้งอยู่ในความจริง

p ยังแปลได้อีกว่า บิดาของผู้โกหก การโกหกตรงข้ามกับพระวาจา (1:1 เชิงอรรถ a) และตรงข้ามกับความจริง (ข้อ 31) มีความสัมพันธ์กับความชั่วร้าย (เทียบ รม 1:25; 2 ธส 2:9-12) ชาวยิวซึ่งปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงของพระเยซูเจ้า (ข้อ 40 เทียบ 1 ปต 2:22) ยอมมอบตนเป็นทาสของหัวหน้าศัตรูทั้งหมดของความจริงนี้ (ดู ยน 12:31 เชิงอรรถ f; 13:2 เชิงอรรถ e; 1 ยน 2:14)

q ถ้าพระเยซูเจ้าไม่ทรงปฏิบัติภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำ พระองค์ก็จะทรงทำบาป

r วัน ของพระเยซูเจ้า คือ การเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในโลกนี้ พระเยซูเจ้าทรงนำสำนวน วันของพระเจ้า ในพันธสัญญาเดิม (“วันของพระยาห์เวห์ ดู อมส 5:18 เชิงอรรถ m) มาใช้สำหรับพระองค์เอง

s อับราฮัมได้เห็น วัน ของพระเยซูเจ้า (เหมือนดังที่อิสยาห์ ได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ 12:41) แต่ทว่า แต่ไกล (เทียบ กดว 24:17; ฮบ 11:13) เพราะอับราฮัมได้เห็นการบังเกิดของพระเยซูเจ้าในการเกิดของอิสอัคตามพระสัญญา (ซึ่งเขาได้ หัวเราะ ปฐก 17:17 เชิงอรรถ f) การบังเกิดของอิสอัคเป็นเครื่องหมายบอกล่วงหน้าถึงการบังเกิดของพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงอ้างว่าทรงทำให้พระสัญญานี้ที่ได้ทรงกระทำไว้กับอับราฮัมเป็นความจริง พระองค์ทรงเป็นอิสอัคในความหมายสมบูรณ์

t คำว่า เราเป็น มีความหมายว่าพระเยซูเจ้าทรงอ้างว่าเป็นพระเจ้าด้วย สำหรับชาวยิวการพูดเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ซึ่งมีโทษต้องถูกประหารชีวิตโดยเอาหินทุ่มให้ตาย (ลนต 24:16)