“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)


(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

เงื่อนไขประการที่สาม การระวังตนจากโลกและจากผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า

4 1ท่านที่รักทั้งหลาย

อย่าเชื่อการดลใจทุกประการ

แต่จงทดสอบการดลใจต่างๆ ก่อนว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่

เพราะมีประกาศกเทียมอยู่ทั่วไปในโลกa

2ท่านทั้งหลายรู้จักการดลใจของพระเจ้าโดยวิธีนี้ คือ

การดลใจใดที่ยอมรับว่า พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์

ก็เป็นการดลใจที่มาจากพระเจ้า

3และการดลใจใดที่ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าb

ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า

แต่เป็นการดลใจของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า

ซึ่งท่านได้ฟังว่ากำลังมา

และบัดนี้อยู่ในโลกแล้ว

4ลูกที่รักทั้งหลาย ท่านมาจากพระเจ้า

และชนะประกาศกเทียมเหล่านั้นแล้ว

เพราะพระองค์ผู้สถิตในท่าน

ทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก คือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า

5เขาเหล่านั้นมาจากโลก

ดังนั้น จึงพูดตามวิถีโลก

และโลกย่อมฟังเขา

6แต่เราcมาจากพระเจ้า

ผู้ที่รู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา

ส่วนผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟังเรา

เราจึงรู้จักการดลใจที่เป็นความจริงและการดลใจที่เป็นความหลงผิดd

III. กำเนิดความรักและความเชื่อ

กำเนิดความรัก

7ท่านที่รักทั้งหลาย

เราจงรักกัน

เพราะความรักมาจากพระเจ้า

และทุกคนที่มีความรัก ย่อมเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์e

8ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า

เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักf

9ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ

พระเจ้าทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลก

เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น

10ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา

และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา

มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า

11ท่านที่รักทั้งหลาย

ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้

เราก็ควรจะรักกันด้วย

12ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าg

แต่ถ้าเรารักกัน

พระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเรา

และความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์

13เรารู้ว่าเราดำรงอยู่ในพระองค์

และพระองค์ทรงดำรงอยู่ในเรา

เพราะพระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าhให้เรานั่นเอง

14เราเห็นและเราเป็นพยานได้ว่า

พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์

มาเป็นพระผู้ไถ่โลก

15ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า

พระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา และเขาย่อมอยู่ในพระเจ้า

16เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา

พระเจ้าทรงเป็นความรัก

ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า

และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา

17ความรักสมบูรณ์อยู่ในเรา

เพื่อให้เรามีความมั่นใจในวันพิพากษา

เพราะพระองค์ทรงเป็นอย่างไร

เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย

18ไม่มีความกลัวในความรัก

ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว

เพราะความกลัว คือความคาดหมายว่าจะถูกลงโทษ

ความรักของผู้มีความกลัวจึงยังไม่สมบูรณ์i

19จงมีความรักเถิด

เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน

20ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า”

แต่เกลียดชังพี่น้องของตน

ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ

เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้

ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้

21เราได้รับบทบัญญัตินี้จากพระองค์

คือให้ผู้ที่รักพระเจ้า รักพี่น้องของตนด้วย

 

4 a เราต้องดูให้ดีว่าผู้ที่อ้างว่ามีพระจิตของพระเจ้านั้นได้รับแรงบันดาลใจจากการดลใจของโลกด้วยหรือไม่ เราจะรู้จักเขาโดยผลการกระทำของเขา (มธ 7:15-20) โดยความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระเจ้า (เทียบ 1 ยน 2:3-6, 13-14) และเฉพาะอย่างยิ่งโดยคำสอนของเขาเกี่ยวกับพระคริสตเจ้า (ข้อ 2-3) บรรดาอัครสาวกวินิจฉัยการดลใจของพระเจ้าจากการดลใจของโลกได้ (ข้อ 6)

b สำเนาโบราณบางฉบับซึ่งปิตาจารย์หลายท่านเห็นด้วยว่า “ที่แบ่งแยก” พระเยซูเจ้า

c “เรา” หมายถึง คริสตชนผู้ประกาศพระวาจา คือผู้ที่พระศาสนจักรยอมรับว่าเป็นผู้ได้รับอำนาจจากบรรดาอัครสาวกในการประกาศข่าวดีและเทศน์สอน

d แนวความคิดเรื่องจิตสองประเภทเป็นที่รู้จักกันดีในลัทธิยิว (เช่นที่คุมราน) แนวความคิดนี้มีความคล้ายกับเรื่องทางสองแพร่ง (ฉธบ 11:26-28; มธ 7:13-14, 13 เชิงอรรถ d) มนุษย์อยู่ระหว่างโลกสองโลก และสังกัดเข้าโลกใดโลกหนึ่งเมื่อรับเอาการดลใจของโลกนั้นมาเป็นของตน (3:8, 19) ผู้มีความเชื่อจะได้รับชัยชนะสุดท้ายอย่างแน่นอน (ข้อ 4; 2:13-14; 5:4-5)

e ความรักเป็นคุณลักษณะของบุตรพระเจ้า (ข้อ 16)

f พระเจ้าทรงรักอิสราเอล (อสย 54:8 เชิงอรรถ c) การส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาเป็นพระผู้ไถ่กู้โลก (ข้อ 9; ยน 3:16; 4:42; เทียบ รม 3:24-25, 24 เชิงอรรถ i; 5:8; ฯลฯ) ทำให้ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เห็น (ข้อ 7) เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก (ข้อ 16) (3:16) และทำให้ผู้มีความเชื่อซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า (1:3 เชิงอรรถ b) เข้าร่วมในความรักนั้น (ข้อ 10, 19)

g ข้อความนี้คัดค้านโดยตรงกับความคิดของผู้ที่อ้างว่าตนมี “ชีวิตจิต” (pneumatikoi) สมบูรณ์จนแลเห็นพระเจ้าได้โดยตรง

h หมายถึง พระพรของพระจิตเจ้าที่พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานให้ในยุคสุดท้าย (กจ 2:17-21, 33) พระพรดังกล่าวได้หลั่งลงในใจของเราแล้ว (ดู รม 5:5 เชิงอรรถ e; 1 ธส 4:8) และได้ก่อให้เกิดความมั่นใจภายในซึ่งบรรดาอัครสาวกประกาศออกมาภายนอก (5:6-7 เทียบ กจ 5:32) ในที่นี้หมายถึงการเป็นบุตรของพระเจ้า (รม 8:15-16; กท 4:6)

i ความรักเรียกร้องให้มีความยำเกรงต่อพระเจ้าเยี่ยงบุตรเป็นองค์ประกอบ (ฉธบ 6:2 เชิงอรรถ a; สภษ 1:7 เชิงอรรถ a) แต่ตัดความกลัวแบบทาสออกไป คือความกลัวการลงโทษจากพระเจ้า (3:20) พระเจ้าได้ทรงพิสูจน์ความรักของพระองค์ไว้ในพระบุตร (ดู ข้อ 8 เชิงอรรถ f)

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก