"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา”

33. ขนบธรรมเนียมของชาวฟาริสี (5)
b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1.    สมัยนี้ ปัญหาเรื่องความเป็นมลทินหรือไม่เป็นมลทินของอาหารดูเหมือนว่าไร้ความหมาย เราไม่คุ้นเคยกับข้อกำหนดต่าง ๆ ของชาวยิว และคิดว่าธรรมชาติของอาหารรวมทั้งขนบธรรมเนียมการรับประทานอาหารไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเลย อย่างไรก็ตาม พระวาจาของพระเยซูเจ้าในข้อความนี้ยังมีความสำคัญสำหรับเราอีกด้วย ปัญหาไม่อยู่ที่ว่า สิ่งใดทำให้เป็นมลทินหรือไม่เป็นมลทิน แต่อยู่ที่ว่าพฤติกรรมใดของเราดีหรือไม่ดีต่อความสัมพันธ์กับพระเจ้า


2.    พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า บทบัญัติของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิตมนุษย์ การกระทำทั้งหมดของเรามีบทบัญญัติกำหนดไว้ตายตัว ทุกอย่างที่ต่อต้านหรือจำกัดการปฏิบัติตามบทบัญญัติก็เป็นข้อกำหนดที่มนุษย์ตั้งขึ้นเอง  พระเยซูเจ้าทรงอธิบายความจริงนี้โดยยกตัวอย่างของบทบัญญัติประการที่สี่คือ "จงนับถือบิดามารดา" เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้อย่างไม่มีเงื่อนไข ความสัมพันธ์ของบุคคลกับบิดามารดามีความสำคัญพื้นฐานไม่เพียงเพื่อมีชีวิต แต่เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพทางจริยธรรมอีกด้วย บทบัญญัตินี้มีไว้สำหรับบรรดาบุตรที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นอับดับแรกและทุกคนจะต้องปฏิบัติในแต่ละช่วงของชีวิต พระเจ้าพอพระทัยให้เราแสดงความเคารพ ความกตัญญูและความห่วงใยต่อบิดามารดา บทบัญญัติที่ว่า "จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" ต้องเป็นรูปธรรมอันดับแรกในการปฏิบัติตามบทบัญญัติ "จงนับถือบิดามารดา" แม้ในบางกรณีบางปฏิบัติต้องเผชิญกับอุปสรรค เพราะความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ยากและประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เราต้องแสดงความรักและความเอาใจใส่แท้จริงต่อบิดามารดา

3.    พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมถูกต้องตามกฏหมายกับพฤติกรรมถูกต้องตามจริยธรรม ความถูกต้องตามกฏหมายเกี่ยวข้องกับหน้าที่ภายนอกที่เราต้องปฏิบัติอย่างเปิดเผย แต่ไม่เกี่ยวข้องกับมโนธรรม เช่น คนหนึ่งอาจถือกฏจราจรอย่างเคร่งครัด แต่ในใจเขาบ่นด่าว่าผู้ที่ได้ตั้งกฏนี้ขึ้นมา ส่วนความถูกต้องทางจริยธรรมไม่เรียกร้องเพียงการปฏิบัติภายนอก แต่เกี่ยวข้องกับจิตใจมนุษย์ เพราะเขาต้องแสวงหาความดีโดยตัวรู้ มนุษย์เรายังถูกผจญที่จะพอใจในการปฏิบัติความถูกต้องตามกฏหมายเท่านั้น เมื่อเราอนุโลมยอมทำเช่นนี้ เราก็ค่อย ๆ เฉลียวฉลาดซ่อนความเห็นแก่ตัว โดยพยายามรักษากิจการของเราให้ถูกต้องตามกฏหมาย  

4.    พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราพิจารณากิจการของเราด้วยวิจารณญาณ เพื่อดูว่าการกระทำของเรามุ่งปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าหรือไม่ เพราะเรามักจะยอมทำสิ่งที่ปรารถนา จำเป็น ทันสมัย เป็นที่นิยม แต่พระเยซูจ้าทรงสอนเราว่า มาตรฐานแท้จริงที่ใช้วัดกิจการของเราคือ บทบัญญัติของพระเจ้า  สิ่งแรกที่มนุษย์ต้องเป็นห่วงคือ มีจิตใจบริสุทธิ์ซึ่งจะช่วยเราให้พบกับพระเจ้าโดยตรงและมีความสนิทสัมพันธ์ถาวรกับพระองค์ เราสำนึกหรือไม่ว่า บทบัญญัติของพระเจ้าไม่มีลักษณะ "ถ้าท่านพอใจ จงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น" แต่มีลักษณะบังคับที่ว่า "ต้องทำสิ่งนี้หรืออย่าทำสิ่งนั้น"

5.    เราอาจมั่นใจความจริงที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า  "ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน" และเราเห็นด้วยว่าสิ่งชั่วร้ายหรือบาปทั้ง 12 ประการนั้นมาจากใจ อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจหรือว่า สิ่งภายนอกไม่ทำให้เราเป็นมลทินหรือต้องอับอาย สมัยนี้เราได้รับความกดดันจากสังคมที่จะให้สำคัญมากแก่ความคิดเห็นของผู้อื่น มติมหาชน รูปแบบสมัยนิยม ฯลฯ โดยแท้จริงแล้ว เราจะแต่งตัวหรูหราหรือล้าสมัย มีใบหน้าและรูปร่างงดงามหรือไม่ ก็ไม่มีความสำคัญทางจริยธรรม ถึงกระนั้น เราก็ยังเป็นห่วงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เราจึงตัดสินว่าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพราะกังวลที่จะต้องไว้หน้าหรือกลัวเสียหน้ามากกว่าที่จะมีใจบริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า