เพลงสดุดีที่ 105

พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาa

          สดด บทนี้และบทต่อไปมีลักษณะคล้ายกันมากในฐานะที่กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล แต่มีมุมมองต่างกัน ใน สดด 105 ผู้ประพันธ์ต้องการชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาที่ทรงให้ไว้แก่ประชากรของพระองค์เสมอมา แต่ สดด 106 กล่าวย้ำถึงความไม่เชื่อฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่พระเจ้าทรงรับจากชนชาติอิสราเอล เพลงสดุดีทั้งสองบทนี้คงใช้ในเทศกาลอยู่เพิงเมื่อชาวอิสราเอลรื้อฟื้นความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้า โดยยอมรับว่าพระเจ้าทรงกระทำดีต่อตนตลอดมา (สดด 105) พร้อมกับสารภาพผิดที่ได้ขัดพระบัญชาอยู่เสมอๆ (สดด 106) พระศาสนจักรเป็นส่วนรวมและคริสตชนแต่ละคนอาจใช้เพลงสดุดีทั้งสองบทนี้เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน

1จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงเรียกขานพระนามพระองค์เถิด

        จงประกาศพระราชกิจของพระองค์แก่บรรดาประชาชาติ

2จงขับร้องเพลงถวายพระองค์

        จงบอกเล่าถึงพระราชกิจน่าพิศวงทั้งหลายของพระองค์

3จงภูมิใจในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

        ใจของผู้แสวงหาพระยาห์เวห์จงชื่นชมเถิด

4จงแสวงหาพระยาห์เวห์และพระอานุภาพของพระองค์

        จงแสวงหาพระพักตร์พระองค์อยู่เป็นนิตย์

5จงระลึกถึงพระราชกิจน่าพิศวงที่ทรงกระทำ

        ระลึกถึงพระปาฏิหาริย์และพระวินิจฉัยที่พระองค์ตรัสไว้

6ท่านทั้งหลายที่เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมผู้รับใช้พระองค์

        เป็นลูกหลานของยาโคบซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรร

7พระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา

        พระองค์ทรงปกครองทั่วแผ่นดิน

8พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์อยู่ตลอดเวลา

        ทรงระลึกถึงพระวาจาที่ทรงสัญญาไว้สำหรับมนุษย์หนึ่งพันชั่วอายุคน

9พันธสัญญาที่ทรงกระทำไว้กับอับราฮัม

        และคำปฏิญาณที่ทรงให้แก่อิสอัค

10พระองค์ทรงรับรองพันธสัญญานี้เป็นข้อกำหนดสำหรับยาโคบ

        เป็นพันธสัญญานิรันดรสำหรับอิสราเอล

11เมื่อตรัสว่า “เราจะให้แผ่นดินคานาอันแก่ท่าน

        เป็นส่วนมรดกของท่านและลูกหลาน”

12เมื่อเขาทั้งหลายยังมีจำนวนน้อย

        เป็นคนต่างถิ่นเพียงไม่กี่คนอยู่ในแผ่นดินนั้น

13เร่ร่อนจากชนชาติหนึ่งไปยังอีกชนชาติหนึ่ง

        จากอาณาจักรหนึ่งไปยังอีกประชาชาติหนึ่ง

14พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดมาเบียดเบียนเขา

        เพราะเห็นแก่เขา พระองค์ทรงกำชับบรรดากษัตริย์

15ตรัสว่า “อย่าแตะต้องบรรดาผู้รับเจิมของเราb

        อย่าทำร้ายบรรดาประกาศกของเรา”

16พระองค์ทรงเรียกความอดอยากมาสู่แผ่นดิน

        ทรงทำลายเสบียงอาหารของเขาจนหมดสิ้น

17ทรงส่งบุรุษผู้หนึ่งล่วงหน้ามาก่อน

        คือโยเซฟผู้ถูกขายเป็นทาส

18เท้าของเขาถูกจองจำด้วยโซ่ตรวน

        คอของเขาติดอยู่ในปลอกเหล็ก

19จนกระทั่งคำพยากรณ์ของเขาเป็นจริง

        พระวาจาของพระยาห์เวห์พิสูจน์ว่าเขาบริสุทธิ์

20กษัตริย์แห่งอียิปต์จึงมีพระบัญชาให้ปล่อยเขา

        ผู้ปกครองประชาชาติปล่อยเขาเป็นอิสระ

21ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าดูแลราชสำนัก

        ให้เป็นผู้จัดการทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพระองค์

22เพื่อให้วิชาความรู้cแก่บรรดาเจ้านายตามดุลพินิจ

        และสอนบรรดาผู้อาวุโสให้มีปรีชาญาณ

23แล้วอิสราเอลก็เข้ามาในอียิปต์

        ยาโคบเข้ามาอาศัยอยู่อย่างคนต่างถิ่นในแผ่นดินฮาม

24พระเจ้าทรงบันดาลให้ประชากรของพระองค์ทวีจำนวนขึ้นมากมาย

        โปรดให้เขามีพละกำลังมากกว่าบรรดาศัตรู

25ทรงเปลี่ยนใจชาวอียิปต์ให้เกลียดชังประชากรของพระองค์

        และให้ปฏิบัติไม่ซื่อต่อบรรดาผู้รับใช้พระองค์

26พระองค์ทรงส่งโมเสสผู้รับใช้พระองค์

        และอาโรนผู้ที่ทรงเลือกสรร

27เขาทั้งสองคนทำเครื่องหมายอัศจรรย์ตามพระบัญชาในหมู่ชาวอียิปต์

        ทำปาฏิหาริย์ในแผ่นดินฮาม

28พระองค์ทรงส่งความมืด ความมืดก็ปกคลุมแผ่นดิน

        แต่เขาเหล่านั้นก็ยังกล้าท้าทายdพระวาจาของพระองค์

29พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือด

        และทรงบันดาลให้ปลาในแม่น้ำตายสิ้น

30แผ่นดินของเขาถูกฝูงกบเข้ามารุกราน

        เข้าไปจนถึงพระราชฐานชั้นในของกษัตริย์

31เมื่อพระเจ้าตรัสสั่ง แมลงวันก็กรูกันมา

        และฝูงยุงก็เข้ามาอยู่ทั่วเขตแดนของเขา

32พระองค์ประทานลูกเห็บแทนฝน

        ให้ฟ้าแลบแปลบปลาบทั่วแผ่นดินของเขา

33ทรงทำลายเถาองุ่นและต้นมะเดื่อเทศ

        และทรงหักโค่นต้นไม้ในเขตแดนของเขา

34พระองค์ตรัสสั่ง ตั๊กแตนก็เข้ามา

        เป็นฝูงตั๊กแตนเหลือคณานับ

35กินหญ้าเขียวทั้งหมดในแผ่นดิน

        และทำลายผลิตผลในผืนดินของเขา

36ทรงสังหารบุตรคนแรกทุกคนของแผ่นดิน

        ซึ่งเป็นผลแรกของวัยฉกรรจ์

37พระองค์ทรงนำอิสราเอลออกไปพร้อมกับเงินและทองคำ

        ในเผ่าต่างๆ ไม่มีผู้ใดเจ็บป่วยเลย

38ชาวอียิปต์ดีใจที่เขาทั้งหลายออกไป

        เพราะกลัวชาวอิสราเอลมาก

39พระองค์ทรงแผ่ก้อนเมฆออกปกคลุมเขาทั้งหลาย

        และประทานไฟให้ส่องแสงในเวลากลางคืน

40เมื่อเขาทูลขอe พระองค์ก็ทรงนำนกคุ่มลงมา

        ประทานอาหารจากท้องฟ้าให้เขากินจนอิ่ม

41พระองค์ทรงเปิดหินผา น้ำก็พวยพุ่งออกมา

        ไหลเชี่ยวเหมือนลำธารในถิ่นทุรกันดาร

42เพราะทรงระลึกถึงพระสัญญาศักดิ์สิทธิ์

        ที่ประทานแก่อับราฮัมผู้รับใช้พระองค์

43ทรงนำประชากรของพระองค์ออกไปด้วยใจชื่นบาน

        ทรงนำผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ ซึ่งโห่ร้องด้วยความยินดี

44พระองค์ประทานแผ่นดินของนานาชาติแก่เขา

        เขาจึงยึดครองผลงานของชนชาติอื่นๆ เป็นมรดก

45เพื่อรักษาข้อกำหนด

        และปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระองค์

อัลเลลูยาf

 

105 a เพลงสดุดีบทนี้ระลึกถึงประวัติศาสตร์ของอิสราเอลตามลำดับ คือสมัยบรรพบุรุษ (ข้อ 8-15) เรื่องราวของโยเซฟ (ข้อ 16-23) ภารกิจของโมเสส (ข้อ 24-27) ภัยพิบัติในอียิปต์ (ข้อ 28-36) การอพยพและการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 37-43) และในที่สุดการเข้ายึดครองแผ่นดินคานาอันตามที่ทรงสัญญาไว้แก่อับราฮัม (ข้อ 44-45)

b “บรรดาผู้รับเจิม” “ผู้รับเจิม” มักจะหมายถึงกษัตริย์หรือสมณะ แต่ในที่นี้อาจหมายถึงบรรดาบรรพบุรุษและผู้นำอื่นๆ ของอิสราเอล ซึ่งเป็น “อาณาจักรของสมณะ” (อพย 19:6; อสย 61:6 ดู สดด 28:8; ฮบก 3:13 ด้วย)

c “เพื่อให้วิชาความรู้” แปลตามสำนวนแปลโบราณหลายฉบับ ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “เพื่อผูกมัด”

d “ท้าทาย” แปลตามสำนวนแปลโบราณหลายฉบับ ต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “ไม่ท้าทาย”

e “เขาทูลขอ” สำนวนแปลโบราณหลายฉบับว่า “เขาทั้งหลายทูลขอ”

f สำนวนแปลโบราณหลายฉบับละ “อัลเลลูยา” ที่นี่