เพลงสดุดีที่ 4
บทภาวนาเวลาเย็นa
ในบทภาวนาเวลาเย็นบทนี้ ผู้ชอบธรรมแสดงความทุกข์ที่เห็นคนอันธพาลผู้มีอำนาจกล่าวมุสาและใส่ความ น่าอนาถที่คนอันธพาลเหล่านี้มุ่งหาค่านิยมจอมปลอมของชีวิต เขาจึงพยายามชี้ให้เห็นความถูกต้อง สำหรับผู้ชอบธรรมนี้ มิตรภาพกับพระเจ้าคือบ่อเกิดแห่งความยินดีที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ความร่ำรวยทางวัตถุใดๆ จะนำมาให้ได้ สดด บทนี้เป็นคำภาวนาที่เปี่ยมด้วยความไว้วางใจว่า พระเจ้าจะทรงคุ้มครองป้องกันเขาให้พ้นจากศัตรูและภยันตรายต่างๆ ที่แฝงเข้ามาในยามค่ำมืดเวลากลางคืน
สำหรับหัวหน้านักขับร้อง ใช้เครื่องสายประกอบ เพลงสดุดีของกษัตริย์ดาวิด
1ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพิทักษ์สิทธิของข้าพเจ้า
โปรดตรัสตอบข้าพเจ้าเถิด เมื่อข้าพเจ้าร้องหาพระองค์
ยามข้าพเจ้าตกอยู่ในอันตราย
พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้ปลอดภัย
โปรดทรงเมตตาสงสารข้าพเจ้า
และทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาของข้าพเจ้าเถิด
2บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านทั้งหลายจะมีใจแข็งกระด้างอยู่นานสักเท่าใดb
ทำไมท่านจึงรักสิ่งไร้ค่า และแสวงหาสิ่งหลอกลวง
(พักครู่หนึ่ง)
3จงรู้เถิดว่าพระยาห์เวห์ทรงกระทำปาฏิหาริย์สำหรับผู้จงรักภักดีต่อพระองค์
พระยาห์เวห์ทรงฟังเมื่อข้าพเจ้าร้องหาพระองค์
4แม้จะวุ่นวายใจ ก็จงอย่าทำบาป
จงคิดคำนึงขณะที่นอนบนเตียงอย่างเงียบๆc
(พักครู่หนึ่ง)
5จงถวายเครื่องบูชาแสดงความจงรักภักดี
และจงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด
6หลายคนกล่าวว่า “ใครจะทำให้เราประสบความสุขได้”
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้แสงแห่งพระพักตร์ส่องสว่างเหนือข้าพเจ้าทั้งหลายเถิดd
7พระองค์ประทานความชื่นชมแก่ดวงใจของข้าพเจ้า
ยิ่งกว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ข้าวสาลีและเหล้าองุ่นมากมาย
8เมื่อข้าพเจ้านอน ก็จะหลับทันทีอย่างสงบ
เพราะมิใช่ใครอื่น ข้าแต่พระยาห์เวห์
มีเพียงพระองค์ที่ทรงทำให้ข้าพเจ้าอยู่อย่างปลอดภัย
4 a เพลงสดุดีบทนี้แสดงความวางใจและขอบคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดของความสุข ข้อ 4 และ 8 บอกให้ทราบว่าเพลงสดุดีบทนี้เป็นบทภาวนาสำหรับเวลาเย็น
b “ท่านจะมีใจแข็งกระด้าง” เป็นคำแปลจากต้นฉบับภาษากรีก ส่วนต้นฉบับภาษาฮีบรูว่า “ท่านจะลบหลู่ (พระเจ้าผู้ทรงเป็น) พระสิริรุ่งโรจน์ของข้าพเจ้า” ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะแบ่งคำไม่ถูก “สิ่งไร้ค่า” และ “สิ่งหลอกลวง” หมายถึงการกราบไหว้รูปเคารพ
c ข้อนี้มีความหมายไม่ชัดเจน ตัวบทที่คัดลอกกันมาคงคลาดเคลื่อน ยังไม่มีใครแก้ไขได้อย่างน่าพอใจ ความหมายที่น่าจะเดาได้ก็คือ ให้เราหลีกเลี่ยงบาปและภาวนานมัสการพระเจ้าแม้เมื่อพักผ่อน
d สำนวน “แสงแห่งพระพักตร์” ใช้บ่อยๆ ในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะในเพลงสดุดี หมายความว่า “พระเจ้าหรือกษัตริย์ทรงโปรดปราน” ด้านหน้าเป็นส่วนที่เห็นได้ของสิ่งต่างๆ (สดด 104:30; ปฐก 2:6 กล่าวถึง “หน้าดิน”) ถ้าเป็นบุคคล ใบหน้าหรือพระพักตร์ก็เป็นที่แสดงความคิดหรืออารมณ์ (ปฐก 4:5; 31:2) “ใบหน้า” จึงหมายถึงตัวบุคคลได้ด้วย (สดด 42:6, 11; 43:5) หน้าอยู่ที่ไหน ทั้งตัวก็อยู่ที่นั่น “อยู่เฉพาะพระพักตร์” จึงหมายถึงการพบกับพระเจ้าเป็นส่วนตัว แต่เนื่องจากมนุษย์จะเห็นพระเจ้าไม่ได้ (อพย 33:20 เชิงอรรถ i; 34:29-35) พระเจ้าจึงทรงส่องแสงจากพระพักตร์ของพระองค์ให้มนุษย์เห็น (ดู สดด 31:16; 44:3; 80:3) ซึ่งจะต้องเข้าใจในความหมายเปรียบเทียบ สำนวนที่ว่า “มนุษย์แสวงหาพระพักตร์พระเจ้า” (สดด 24:6; 27:8 เชิงอรรถ b; โยบ 33:26; อมส 5:4 เชิงอรรถ c) หรือ “แลเห็นพระพักตร์ของพระองค์” (สดด 11:7 เชิงอรรถ e; 42:2) ก็ต้องเข้าใจในทำนองเดียวกันด้วย