“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2016
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต 

ยรม 20:10-13…..
10ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า
“ความหวาดกลัวอยู่รอบด้าน มาแล้ว
จงกล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด”
มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า


คอยเฝ้าดูความล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า
“เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง
แล้วเราจะเอาชนะเขาได้
และจะแก้แค้นเขา”
11แต่พระยาห์เวห์ทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง
ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม
จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้
เขาจะต้องอับอายมาก
เพราะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้
ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม
12ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมจักรวาล
พระองค์ทรงทดสอบผู้ชอบธรรม
ทรงสำรวจใจและจิต
ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา
เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอคดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว
13จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์
จงสรรเสริญพระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน
ให้พ้นมือของผู้ทำความชั่วร้าย

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• วันนี้เมื่ออ่านประกาศกเยเรมีย์ ทำให้พ่อระลึกถึงเพลงบทสร้อยที่เราคริสตชนคาทอลิกร้องกันเป็นประจำ และเพลงสั้นๆ นี้ก็เกิดขึ้นในความคิดของพ่อโดยทันทีที่ได้อ่านพระวาจาประจำวันนี้จากหนังสือประกาศกเยเรมีย์... จริงๆ แล้วพ่อได้ขับร้องหลายรอบ หลายรอบจริงๆ ร้องเพื่อฟังเสียงของบทเพลงที่ทำให้พ่อได้คิดถึงและตระหนักถึงพระวาจาของพระเจ้าวันนี้

• บทเพลงบทสร้อยบทนั้น ที่นี่พ่อจะขอเขียนซ้ำสามครั้งเลยครับ
o “แม้ข้าพเจ้าอยู่กลางเงาความตาย ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว สิ่งร้ายทั้งสิ้น”
o “แม้ข้าพเจ้าอยู่กลางเงาความตาย ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว สิ่งร้ายทั้งสิ้น”
o “แม้ข้าพเจ้าอยู่กลางเงาความตาย ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว สิ่งร้ายทั้งสิ้น”

• เงาความตาย “Shadow of Death” ในพระคัมภีร์เราพบข้อความว่า “หุบเขาแห่งเงาความตาย” (valley of the shadow of death) พ่อตัดสินใจศึกษาคำนี้ก่อนทันที และอยากจะนำมาเขียนถึงในเวลานี้ครับ

• คำว่า “หุบเขาแห่งเงาความตาย” From Psalm 23 หรือบทเพลงสดุดีที่ 23 "Shadow of death" is from the Hebrew צלמות (tzal "shadow" + mavet "death") ถ้าจะออกเสียงภาษาฮีบรูคำนี้คือ “ซัลมาเว็ต”
o “ซัล” แปลว่า “เงา” และคำว่า
o “มาเว็ต” แปลว่า “ความตาย”

• คำนี้เป็นเครื่องหมายอธิบาย “โลก” หมายถึง “ความมืด และความตาย” และภาพที่ใช้คือภาพของหุบเขาบนโลกที่เรามนุษย์ต้องเดินผ่านไป... ซึ่งหนทางหรือหุบเขาแห่งความตายคือสภาพที่เรามนุษย์ทุกคนต้องเดินผ่าน “แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลั อันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ” (สดด 23:4) เราได้เห็นภาพของฝูงแกะที่เดินกับนายชุมพาบาลผู้เลี้ยงดูที่พาเรา (ฝูงแกะ) ให้เดินในสถานที่แม้ยากลำบากแต่ “ปลอดภัย” แน่นอน
• ความจริงของข้อความนี้คือ “หุบเขาแห่งความตาย” คือ “สถานที่หรือที่ๆ หน้ากลัวไปหมดจริงๆ น่ากลัวอย่างลึกลับและเฉียดความตายหรือปางตาย”

• พ่อคิดถึงโลกปัจจุบันของเรา...ครับ
o โลกปัจจุบันของเราอยู่ในท่ามกลางสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรมแห่งความตาย” (Culture of Death)
o คำๆ นี้ “วัฒนธรรมแห่งความตาย” นี้มีความหมายลึกซึ้งมาก

• ในปัจจุบันของโลก ของสังคมของเรา เพราะความรู้สึกรู้สาต่อเรื่องความตายนั้นมันค่อยๆ หย่อนยานลง หย่อนยานลงไปเรื่อยๆ อาการหนักมากๆ จนถึงปัจจุบัน เราไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากกับความตาย...
o ตายรายวัน ฆ่ารายวัน
o จนถึงล่าสุดที่เราได้ยิน แบ่งกลุ่มแตกแยกทางความคิด และก็ทำร้าย ทำลายกันเอง สร้างกลุ่ม กองกำลัง และทำร้ายทำลายชีวิตฝ่ายที่คิดต่างๆ นี่เป็นความโหดร้ายและความเลวร้ายจริงๆ... ทำไมเล่นกับความตาย และง่ายกับความตายขนาดนี้...
o แม้แต่เด็กหรือลูกๆในปัจจุบัน... โอพระเจ้าข้าเราคนไทยไปไกลขนาดนี้แล้วหรือ สังคมไทยของเราที่นักถือบิดามารดาที่สุด และเป็นพระบัญญัติของพระเจ้าจริงๆ เป็นสำนึกจริงๆ แต่ทว่าข่าวล่าสุด ลูกฆ่าพ่อแม่พี่น้อง ดูง่ายจังเลย...

• ความรู้สึกรู้สาของคนต่อความตายนั้น มีน้อยลงไปทุกทีๆ...
o ความรู้สึกรู้สาต่อเพื่อนมนุษย์ ความลำบาก และความตายหรือความเสียหายของเพื่อนมนุษย์นั้นมีลดลงเรื่อยๆ ลดลงจริงๆนะครับ เรื่องนี้พ่อคงต้องให้คำอธิบายและตัวอย่างชัดๆ เพื่อกระตุ้นเตือนมโนธรรมของพี่น้องคริสตชนของพ่อให้มีความรู้สึกรู้สาและมีความรักชีวิต รักพี่น้องและห่วงใยพี่น้องมากขึ้น
o เราจะปล่อยให้ตัวเราไหลไปกับวัฒนธรรมแห่งความตายไม่ได้ จะปล่อยให้เราเป็นคนไม่รู้สึกรู้สากับเพื่อนพี่น้อง ความลำบาก ความเสียหาย ความน่าสงสาร และจนถึงความน่าเวทนาของเพื่อนี่น้องของเราไม่ได้เด็นขาด
o แต่อันที่จริงสำหรับเราคริสตชนเราต้องไม่จมอยู่ในวัฒนธรรมแห่งความตาย
o เพราะว่าอันที่จริง ความเป็นจริงๆของชีวิตของเรา... คือ พวกเราคริสตชน... พวกเราดำเนินชีวิต และมีความเชื่อศรัทาและมีชีวิตแท้จริงอยู่ใน “วัฒนธรรมแห่งความรักและวัฒนธรรมแห่งชีวิต” (Civilization of LOVE และ Culture of Life)
o พ่อเชื่อว่า... เราคริสตชนคงจะไม่ตกตามไปกับสภาพที่สังคมกำลังถลำลึกลงไปในวัฒนธรรมแห่งความตาย ความรุนแรง หรือความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดไม่ได้เด็ดขาด....
พี่น้องที่รักครับ เราคนไทย เรารักประเทศไทยของเรา เรารักชาติบ้านเมืองของเรา และบ่อครั้งเราอาจจะได้ละเลยความรักชาติบ้านเมืองและไปหลงกับอุดมการณ์ที่อาจะนำความบ้าคลั่งและความเกลียดชัง พ่อขอยกตัวอย่างความน่าเวทนาของสังคมไทยของเรา....

• การไม่แยแสกับความเสียหายของคนอื่น ความเสียใจความเสียดาย และความเดือนร้อนของคนอื่นๆ เด็กวัยรุ่นหรือแก็งค์ขโมยรถ บ่อยครั้งรวมหัวรวมตัวกันออกไปเป็นกลุ่มเพื่อขโมยรถจักรยานยนต์ และเอาไปชำแหละขายชิ้นส่วนเพื่อเอาเงินไปเที่ยวเล่นกินดื่มหรือเสพยา...
o พวกคนร้ายขี้ขโมยเหล่านี้ทำได้อย่างไร เขาไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดของคนอื่นเลยหรือ... การขโมยรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือมาหากิน หาเช้ากินค่ำ และส่วนใหญ่ก็ยังมีหนี้สิน ผ่อนไม่หมด ค้างชำระ และลำบาก และอีกมากมายหลากร้อยรูปแบบ ขโมย ขโมย ขโมย มีข่าวทุกวันและที่ไม่เป็นข่าวอีกมากๆ งัดแงะ ลัก ขโมย หยิบ ฉวย เรื่องราวจริงๆมีมากกว่าที่เป็นข่าว...
o คำถามของพ่อ คือ สำนึกถึงความเดือนร้อนของคนอื่นๆหายไปไหนหมด
o โจรงัดห้องพัก โจรมีดอีโต้ งัด ขโมย และมากมาย
o ยังไม่รวมคอรัปชั่นโดยเฉพาะพวกคอรัปชั้นเชิงนโยบาย โกงกินเป็นเครือข่ายของบาปและความชั่ว การโกงกินกันเป็นสายใยของคอรัปชั่น.. จนหลายๆประเทศโกงกันเป็นครอบครัว โกงทั้งครอบครัว โกงจนเป็นครอบครัวทรราช.. กินตามน้ำตามตำแหน่งที่แข่งขันกัน

• คำถามอีกครั้งแรงๆ... สำนึก ความผิด บาป และความเห็นใจคนอื่นหายไปไหนจากประเทศไทย...

• เคยมีกลุ่มเด็กๆ อีกกลุ่มก็ดีดหินใส่รถยนต์บนถนน ใครดีดโดนรถกระจกแตกก็ถือว่าเยี่ยมยอดมาก สำเร็จ เก่ง รถที่ผ่านมาอันตรายมากสำหรับคนขับและชีวิต ทรัพย์สินที่ต้องเสียไป... เวลาลาและความปลอดภัย... ได้ยินว่า บางทีร้านกระจกรถยนต์ก็ทำเอง จ้างคนไปคอยยิงหินใส่กระจกรถยนต์ห่างจากร้านไปสักสองสามกิโล พอแตก ก็เจอร้านกระจกพอดี... มีอย่างนี้ด้วยหรือ... น่าคิด สำนึก ความรู้สึกรู้สาต่อความเดือนร้อนของคนอื่นหายไปไหนหมดแล้ว....

• เราเคยมีเรื่องนักเรียนตีกัน นักเลงรวมหัวกันตีคนอื่น ซัดเสียน่วม เอาพวกมารุมตีเพียงเพราะตนเองทำผิดจอดรถในที่ห้ามจอด มีปากเสียงกันกับยาม อารมณ์ แบบนี้ โมโหแบบนี้ โกรธก็ขับรถพุ่งชนเสียจนคนอื่นแทบเสียชีวิต ไม่พอใจก็ใช้ความรุนแรงกันเต็มๆ ... นักเรียน นักศึกษา ตีกัน ยิงกัน และที่แย่ เด็กดีๆ โดนลูกหลงทุกที... สังคมเราเมื่อใดจะเห็นคุณค่าชีวิต เมื่อไรหนอคนของเราจะ คนไทยจะมีการศึกษา มีวุฒิภาวะ มีความตระหนักและสำนึกรักชีวิต และไม่ทำลายชีวิตกัน เลิกทำร้าย และทำลายกันเสียที อันนี้ยังไม่รวมเรื่องขัดผลประโยชน์และเก็บกันรายวัน...

• อนิจจาพ่อต้องใช้คำว่านี้ “อนิจจา” ชีวิตคนไทย สังคมไทย...

• ปัญหาสังคมมีแต่มากๆ ขึ้นเพราะวัฒนธรรมแห่งความตายครอบงำจิตใจ
o ความไม่รู้สึกรู้สากับชีวิตและความรู้สึกของคนอื่นๆ
o ไม่รู้สึกรู้สากับความลำบากของเพื่อพี่น้อง....
o สังคมและวัฒนธรรมแห่งความตายรากเหง้าของเจ้าอยู่ที่ไหน????
o รากเหง้าของเจ้ามาจากไหน????...

• คำตอบที่เห็นได้ชัดที่สุดและเลวร้ายที่สุดคือ... “ความเห็นแก่ตัวจนถึงความโลภมากที่สุด”

• พ่อถามจริงๆกับใจตนเอง...
o เจ้าปีศาจความเห็นแก่ตัวตัวเดียวจริงๆ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว และก็เห็นแก่ตัว
o เจ้าปีศาจที่เรียกคนว่าเป็นวัฒนธรรมที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา ความคิดเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้สนใจความสุข ชีวิตและคุณค่าของคนอื่นๆเลย
o เจ้าปีศาจเลวร้ายที่เอาแต่ได้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้อง เห็นแก่พรรค เห็นแก่ก๊กเหล่า และอันที่จริงพรรค เห็นแก่ตระกูล ครอบครัวเชื้อสายใยโยงเป็นเครือข่ายที่สร้างความทรราชให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นแก่ความดีส่วนรวมเลย เห็นแก่พวก เหล่า รากเหง้าก็เห็นแก่ตัวนั่นแหละ... เพราะทุกคนออกแรงก็เพื่อตนเองอีกอย่างหนีไม่พ้น... ความคุกรุ่นอยู่ภายในใจคือความอยากของแต่ละคน เมื่อมาร่วมกันก็เรียกว่า อุดมการณ์แต่ลึกๆ ก็คือผลประโยชน์ความตะกละโลภส่วนตัวส่วนตนอีกอย่างหนีไม่พ้น...
o วัฒนธรรมแห่งความตาย คือ ไม่รู้สึกรู้สากับคนอื่น ชีวิตคนอื่น ความเสียหายของคนอื่น ความตายของคนอื่นๆ คือวัฒนธรรมที่ขาดความรัก ขาดความรัก ขาดความรักจริงๆ ไม่ได้รักพระเจ้า ไม่ได้รักเพื่อนพี่น้องเลย

• ประกาศกเยเรมีย์ประกาศการถูกเบียดเบียนก็จริง แต่อันที่จริง “เราไม่ต้องกลัว”

• พี่น้องครับ พ่อเขียนเรื่องนี้เพื่อสะท้อนเยเรมีย์ครับ... เป็นความจริงครับ
o เราต้องไม่กลัววัฒนธรรมแห่งความตาย ไม่ต้องกลัว เพราะ เพราะ เพราะว่า พระเจ้าทรงชีวิต LIFE อยู่กับเรา
o และอันที่จริงเราคริสตชนนั้นดำรงอยู่ เราดำรงอยู่ในวัฒนธรรมหรืออารยธรรมแห่งความรัก หรือวัฒนธรรมแห่งความรักครับ ดังนั้น “แม้ข้าพเจ้าอยู่กลางเงาความตาย ข้าพเจ้าก็ไม่กลัว...” ไม่ต้องกลัวครับ... ทำไมหรือครับ??? คำขอบคือ “พระเจ้าอยู่กับเรา”
o ท่านประกาศกเยเรมีย์ถูกขู่ทำร้าย ถูกขู่เอาชีวิตแต่ท่านไม่กลัว เพราะพระเจ้าอยู่กับท่าน

• อ่านเยเรมีย์ตอนนี้สิครับ... “แต่พระยาห์เวห์ทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม”

พี่น้องที่รัก ไตร่ตรองส่งท้ายกันหน่อยครับ...
• พ่ออยากให้ชีวิตของเรามีพระเจ้าทรงประทับอยู่อย่างชัดเจนครับ
• มีพระเจ้าจริงๆ และเราจะมีสันติสุขแท้จริง
• เราจะสามารถเป็นเกลือดองแผ่นดิน
• เราจะสามารถเอาชนะหรือไม่พ่ายแพ้ให้กับ วัฒนธรรมแห่งความตาย โดย
1. ให้เราต้องพยายามทำลายความเห็นแก่ตัว ด้วยวัฒนธรรมแห่งความรักเมตตาและบัญญัติแห่งความรักในชีวิตของเราครับ....
2. เราต้องไม่กลัวครับ เพราะพระเจ้าเป็นความรัก “Deus Caritas Est” และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้าครับ เขาจะไม่ต้องกลัวอะไร ดังนั้น
3. เราต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งความรักเสมอไปครับ...

• พ่ออยากภาวนาด้วยคำของประกาศกเยเรมีย์ครับ
o “จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ จงสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำความชั่วร้าย”
o ขอพระเจ้าองค์ความรัก ประทานความรักเพื่อเราทุกคน
o ทั้งนี้เพื่อว่า...พี่น้องคริสตชนทุกคนจะได้เป็นความรัก เพื่อเราจะได้เจริญชีวิตในวัฒนธรรมแห่งความรักมากๆ นะครับ

• ขอย้ำจริงๆว่า ให้เรารู้สึกรู้สา และเมตตากันและกันมาก ห่วงใยกันมากๆด้วยนะครับ พระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ.... ใกล้ปัสกาแล้วนะครับ กลับคืนชีพจากความตายเสมอนะครับ รู้สึกรู้สา และมีเมตตากันเสมอไปครับ....

• พระสันตะปาปาฟรังซิสย้ำสอนเรา ใน Evangelii Gaudium “ความยินดีแห่งพระวรสาร” เน้นย้ำว่า “เฉพาะคนที่รู้สึกรู้สาถึงความสุขในการแสวหาความดี และด้านที่ดีของเพื่อนพี่น้องเท่านั้น และคนที่ปรารถนาให้เพื่อนพี่น้องมีความสุขเท่านั้น สามารถเป็นมิชชันนารีผู้ประกาศพระวรสารได้ (EG ข้อ 272)

 

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก