"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า”

64. บทบัญญัติเอก (มก 12:28-34)
       12 28ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” 29พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว 30ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน 31บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” 32ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย 33การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆทั้งสิ้น” 34พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย


อธิบายความหมาย
         เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นในวันที่สามสัปดาห์การรับทรมานของพระเยซูเจ้าคือ วันอังคารศักดิ์สิทธิ์ เป็นการโต้เถียงครั้งที่ 4 ระหว่างพระเยซูเจ้ากับหัวหน้าชาวยิวในจำนวนการโต้เถียงทั้งหมด 5 ครั้ง คือเริ่มตั้งแต่บทที่ 11 ข้อ 27 พระเยซูเจ้ายังคงประทับอยู่ในบริเวณพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม แม้ข้อความนี้อยู่ในหมู่การโต้เถียง แต่โดยแท้จริงแล้ว เป็นลักษะการสนทนาระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ดังที่คงเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสมัยนั้น การสนทนาระหว่างพระเยซูเจ้ากับธรรมาจารย์ในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและจบลงด้วยการชมเชยซึ่งกันและกัน
- ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” ผู้ตั้งคำถามเป็นธรรมจารย์คนหนึ่งที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์ เรื่องราวที่เขาถามเป็นประเด็นสำคัญที่บรรดาธรรมาจารย์ในสมัยนั้นโต้เถียงกันอยู่ เพราะมีข้อห้าม 365 ข้อ และข้อปฏิบัติ 248 ข้อ รวมทั้งหมด 613 ข้อ ที่ต้องคำนึงถึงเพื่อนำพระบัญญัติของพระเจ้ามาปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ ของชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม บรรดาธรรมาจารย์พยายามกำหนดลำดับความสำคัญของข้อกำหนดเหล่านี้

- พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลังของท่าน ถ้อยคำที่พระเยซูเจ้าทรงอ้างว่าเป็นบทบัญญัติเอก เราพบได้ว่าในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 6 ข้อ 4-5 และเป็นคำเริ่มต้นของบทภาวนา เชมา (Shema จงฟังเถิด) ที่ชาวยิวทุกคนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องอธิษฐานภาวนาวันละ 2 ครั้ง โดยแท้จริงแล้ว นักบุญมาระโกเสริมคำว่า “สุดสติปัญญา” (เทียบ “สุดความเข้าใจ” ในข้อ 33) การที่พระเจ้าของอิสราเอลเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวของโลก เรียกร้องให้ชาวอิสราเอลมีหน้าที่รักพระองค์สุดจิตใจและสุดกำลัง เพราะพระองค์ทรงเลือกเขาไว้จากบรรดาชนชาติทั้งหลายของแผ่นดิน

- บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” โดยทั่วไป ชาวยิวทุกคนให้ความสำคัญอย่างน้อยในด้านทฤษฏีแก่ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น ในปี ค.ศ. 20 ธรรมาจารย์ฮิลเลลเคยกล่าวว่า “ สิ่งที่ท่านไม่ชอบ อย่าทำกับเพื่อนมนุษย์ นี่คือธรรมบัญญัติทั้งหมด ส่วนสิ่งที่เหลือเป็นการอธิบายธรรมบัญญัติเท่านั้น” แม้การสอนบทบัญญัติแห่งความรักต่อพระเจ้ารวมกับบทบัญญัติแห่งความรักต่อเพื่อนมนุษย์พบได้ในหนังสืออื่น ๆ นอกพันธสัญญาใหม่ เช่น ในข้อเขียนของฟีโล ชาวยิวผู้เกิดที่เมืองอเล็กซานเดรียแห่งอียิปต์และเป็นผู้ร่วมสมัยกับพระเยซูเจ้า ในหนังสือตัลมุดของชาวยิว มีเขียนไว้ว่า “การให้ทานและเมตตากิจถ่วงข้อบังคับทุกข้อของธรรมบัญญัติ” คำสอนใหม่ของคริสตชนจึงอยู่อันดับแรกในการเข้าใจคำว่า “เพื่อนมนุษย์” เพราะชาวยิวหมายถึงเพียงคนร่วมชาติเท่านั้น (เทียบ ลนต 19:18) แต่คริสตชนหมายถึงมนุษย์ทุกคน อันดับที่สอง คริสตชนรวมบทบัญญัติ 2 นี้เข้าด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะเป็นลักษณะ 2 ประการของความรักหนึ่งเดียว และเป็นความคิดหลักของการปฏิบัติทั้งหมดของคริสตชน (เทียบ รม 13:8-10; กท 5:14; ยก 2:8)

- ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย คำยืนยันที่ว่า “พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย” คัดมาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 4 ข้อ 35 (เทียบ อสย 45:21)

- การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆทั้งสิ้น” ธรรมาจารย์ผู้นี้แสดงว่าได้เข้าใจความคิดของพระเยซูเจ้าเป็นอย่างดี เขาไม่เพียงสรุปพระวาจาของพระองค์เท่านั้น แต่ยังยืนยันว่าการรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ดังที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน ก็เป็นวิธีปฏิบัติศาสนกิจที่ดีกว่าและสูงส่งกว่ากิจการแสดงคารวกิจที่ปฏิบัติในพระวิหาร บรรดาประกาศกก็เคยแสดงความคิดนี้ด้วยเช่นกัน (เทียบ 1 ซมอ 15:22; ฮชย 6:6; อมส 5:22; มคา 6:8; สดด 40:7-9)

- พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด นี่เป็นข้อความตอนเดียวในพระวรสารสหทรรศน์ที่พระเยซูเจ้าทรงชมเชยธรรมาจารย์คนหนึ่งและทรงยอมรับปรีชาญาณของเขา พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิวมองข้ามคำตอบของธรรมาจารย์ที่เห็นพ้องต้องกันกับพระเยซูเจ้า

- จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” พระวาจานี้เชิญชวนธรรมาจารย์ให้ถามต่อไปว่า ฉันต้องการทำอะไรอีก พระเยซูเจ้าเคยตรัสตอบเศรษฐีหนุ่มว่า เขายังขาดสิ่งหนึ่งคือไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน แล้วติดตามพระองค์ไป (เทียบ มก 10:21) พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่าธรรมาจารย์ไม่อยู่ห่างไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า แต่เขาจะเข้าพระอาณาจักรได้ก็ต่อเมื่อ เขากล้าสอบถามพระองค์ว่าเขายังขาดสิ่งใดอีก แล้วเขาจะเข้าใจความรักของพระเจ้าสำหรับตน และจะรู้จักรักผู้อื่น ดังที่พระองค์ทรงรักเขา

- หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย นี่เป็นประโยคที่ใช้เพื่อสรุปจบของการโต้ถียงครั้งที่ 4 แต่ดูเหมือนว่าเป็นข้อสรุปของการโต้เถียงทั้งหมด 5 ครั้ง เพราะเรื่องต่อไปเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ไม่ได้เริ่มต้นโดยคำถามของชาวฟาริสี แต่เริ่มจากคำถามของพระเยซูเจ้าและเป็นการแถลงของพระองค์โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง