รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2016
สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา
ฟป 2:5-11…
5จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด

6แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า
พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น
เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน


7แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น
ทรงรับสภาพดุจทาสเป็นมนุษย์ดุจเรา
ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์
8ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน
9เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง
และประทานพระนามให้แก่พระองค์
พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น
10เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน
รวมทั้งใต้พื้นพิภพ
จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้
11และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้า พระบิดา

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง

• “quod simile simili cognoscitur” อ่านว่า กว๊อด ซีมีเล ซีมีลี โคยอสชีตูร์ แปลว่า อะไรที่เหมือนกันก็ย่อมรู้จักกัน (Summa Theologiae Ia, 84,2)

• เช้าวันนี้ขออ้างอิงข้อเขียนของปรมาจารย์โทมัส อาควีนัสหน่อยครับ
o จากหนังสือที่ยากและประเสริฐสุดทางปรัชญาและเทววทิยาของท่านนักบุญที่เป็นปราชญ์ของพระศาสนจักรท่านนี้
o หลายคนบอกว่าดีที่ท่านนักบุญโทมัสอาไควนัสอายุสั้น เพราะถ้าท่านอายุยืนเราคงเรียนคงอ่านเทววิทยากันตายแน่ๆ เขียนเป็นภาษาลาตินยากมากๆด้วยครับ

• แต่ประโยคที่ยกมาวันนี้ได้ยินอาจารย์พ่อสมัยที่พ่อเรียนชอบอ้างกันนักหนา ประโยคนี้แปลได้ว่า “อะไรที่เหมือนๆกันก็ย่อมจะรู้จักกัน”

• ทำไมพ่อจึงเริ่มแบบนี้ เพราะว่าสิ่งที่เหมือนกันคล้ายกันย่อมรู้จักกันได้ดี พ่อมีประเด็นให้ไตร่ตรองครับ ลองพิจารณาดูนะครับ
o ถ้าเราเป็น “คน” เป็นมนุษย์ เราได้พบคนได้พบเพื่อมนุษย์ เราย่อมจะ “รู้” หรือรู้จัก หรือมั่นใจได้ทันที่ว่า คนนั้นคือคนเหมือนกับเรา เราย่อมรู้จักกันทันทีในความเป็นคนไม่ใช่หรือครับ เพราะมีหัว มีตา มีแขน มีขา มีร่างกายอวัยวะทั้งสามสิบสอง มีลักษณะเหมือนกับเรา เราย่อมรู้จักกัน เข้าใจกัน และรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน “ใช่ไหมครับ”
o แต่ที่น่าแปลก คนเรากลับเป็นว่าไม่ค่อยจะไม่ค่อยรู้จักกันเพราะสิ่งภายนอกในหลายๆอย่าง เช่น เครื่องแบบ การแต่งการ ความร่ำรวย รถยนต์ที่ใช่ เครื่องประดับเพชรนิลจินดา กระเป๋ายี่ห้อดีราคาแพง สิ่งประกอบภายนอกเหล่านี้ที่ใช้ๆกันกลับบ่อยครั้งทำให้เรามองว่าเรากับคนอื่นๆหรือหลายคนกลับไม่เหมือนเรา ไม่ใช่พวกเดียวกัน เป็นคนต่างชั้นต่างสังคมต่างชนชั้นกัน และก็ตีค่ากันที่ราคาไปต่างๆกัน และทำให้มนุษย์กลับไม่ค่อยมองเห็นคนอื่นๆ เป็นคนเหมือนกันเรา...
o น่าคิดนะครับ บางทีเราไม่เห็น “พี่น้อง” บางคน อยู่ในสายตาเพียงเพราะไม่มี ไม่รวย ไม่มีฐานะ ไม่โน่นไม่นี่เต็มไปหมด ไม่ไฮโซ ไม่หรู...
o ก็แบบนี้นะครับ ทั้งที่ความเป็นคนนั้นอันที่จริงก็เหมือนกันจริงๆตรงที่เป็น “คน” แต่เรากลับกำหนดการรู้จัก การจับกลุ่มจับก้อนจับพวก จับกลุ่มที่พักอาศัยไฮคลาสและหรือสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เรามองข้ามความเหมือนกัน ที่ความเป็นคนที่เหมือนกันไปได้อย่างไร

• พ่อเคยนั่งรถยนต์กับสามเณรบ่อยๆ และบ่อยครั้งก็มีคำชมกันว่า “รถคันนั้นสวย หรูเลิศ เริด หรือเจ๋ง” พ่อมักจะถามสามเณรกลับไปโดยไม่มองและไม่เปิดตามองรถคันนั้นด้วย พ่อจะถามเณรว่า “เออ มันมีกี่ล้อ” เขาตอบว่า “สี่ล้อครับพ่อ” พ่อก็ตอบว่าเออ ก็เท่ากับของเรานี่น่า และพ่อถามต่อ “และมันมีกี่ประตู” เณรตอบว่า “สปอร์ตสองประตูครับ” พ่อตอบว่า “รถคันนี้ของพ่ออายุยี่สิบปีเศษแต่มีประตูเยอะกว่า เรามีตั้งสี่ประตู...นั่งได้เยอะกว่าด้วย” พูดกันสนุกๆนะครับ เดี๋ยวคนมีรถสปอร์ตจะโกรธพ่อเอาได้นะครับ...
o อันที่จริงพ่อเพียงแต่ต้องการกล่าวถึง “สารัตถะ” (Essence) หรือ “สาระ” (Substance) นะครับ รถก็คือรถที่ใช้เป็นยานพาหนะเพื่อเดินทาง ก็เท่านั้นแหละครับ
o ประสบการณ์ต่อครับ.... พ่อเคยเห็นรถซาเล้ง (มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง) คุณพ่อบ้านเป็นคนขี่ คุณแม่แม่ซ้อน อุ้มลูกเล็กบนตักแม่ ลูกอีกสองคนนั่งในช่องวางของของซาเล้ง เขามีแค่สามล้อ (ล้อเล็กๆด้วย) แต่พ่อเห็นรอยยิ้ม หัวเราะ สนุก แม้แต่เจ้าตัวเล็กสุดก็ยืนเชิดหน้าใส่ลมผมกระเซิงยิ่งและอ้าปากกินลม(ปนไอเสียก็เถอะ) ดูช่างเป็นครอบครัวที่มีความสุข สองคนก็เล่นกันในซาเล้งอย่างมีความสุข คนเป็นพ่อขับก็มีรอยยิ้ม แม่ก็ส่งโอเลี้ยงให้พ่อดูดไปขับไป.... สุข...สุข...สุข...
o แต่บางทีพ่อก็เห็นรถหรูที่พ่อแม่ลูกนั่งด้วยกันแต่เหมือนอยู่คนละโลก คุณแม่แต่งหน้า... คุณพ่อขับไปและก็โทรศัพท์พูดคุยธุรกิจกระมังครับ... ลูกสองคนข้างหลังต่างเล่นไอโน่น ไอนี่ ใส่หูฟัง ทุกคนไม่มีรอยยิ้มกันเลย
o คนในรถหรูๆบางคันก็โกรธกันเห็นๆ บ่นกันให้เห็น บางทีเพราะรถแพงหรูนะจึงติดฟิล์มใสๆแต่กันความร้อน (แพงมาก) ติดฟิล์มกรองแสงทึบไม่ได้เพราะต้องให้เห็นคนนั่งจะได้ดูหรูเลิศเชิดเด่น แต่ที่จริงๆ คนอื่นๆเขาก็เห็นนะว่ากำลังโกรธหรือเกี่ยงงอน หรือ บึ้งตึงปั้นปึ่งกันอยู่....

• พี่น้องที่รักครับ... เห็นความแตกต่างๆ ไหมครับ ระหว่างซาเล้งกับรถหรู... ชีวิตจริงๆ ก็ “คน” แหละครับ จริงๆ และจริงๆก็ “ยานพาหนะ” แหละครับ บางทีเราก็ขับรถกันแพงจัง คันละสิบยี่สิบล้านมาขายเมืองไทยก็ซื้อได้ แน่นอนพ่อไม่มีเงินพ่อจึงอาจไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้มากนัก... แต่วันนี้พูดในฐานะ “มนุษย์” ครับ...

• อย่างที่พ่อเริ่มไว้แต่ต้น.... “อะไรที่เหมือนกันก็รู้จักกัน....” “พี่น้องครับ วันนี้พ่อขอเตือน “สติ” กันแรงๆ แบบไม่เกี่ยวกับ “สตางค์” เลยนะครับ”
1. เราทุกคนต่างเหมือนกันนะคับคือเราเป็น “คน” ครับ เป็น “เพื่อนมนุษย์” ครับ
2. และที่เหมือนกันมากกว่านั้น คือ “เราคริสตชนเหมือนพระคริสตเจ้าครับ”
3. เราต่างเป็นลูกของพระเจ้าครับเราต้องเห็นกันอยู่ในสายตา
4. ต้องรักกันนะครับ อย่าปล่อยให้สิ่งภายนอก เครื่องประดับ วัตถุนิยม บริโภคนิยม มากลบลบเลือนเกลื่อนจนเกรียนซึ่งความเป็นจริงของเราทุกคนนะครับว่า “เราเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้อง เป็นลูกพระเหมือนกัน” ต้องรู้จักกันนะครับ.....

• อ่านจดหมายถึงชาวฟิลิปปีวันนี้จะเห็นชัดจากคำสอนของเปาโลครับ เราเหมือนพระคริสตเจ้า “จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด...”
• พี่น้องครับ อะไรคือแบบอย่างของพระเยซูหรอครับ แบบอย่างที่สุดยอดและยอดสุดของพระเยซูนั่นคือ
o “ทรงถ่อมพระองค์ลงมาเพื่อเรา”
o ยอมทำความเป็นพระเจ้าของพระองค์ให้ว่างลง “ว่างเปล่าจากความเป็นพระเจ้ามารับสภาพมนุษย์ดุจเรา”

• พ่อคิดว่าถ้าเราเป็นเหมือนพระคริสตเจ้าจริงๆ ถ้าเราเป็นคริสตชนจริงๆ เราต้อง
o “รักและเป็นหนึ่งเดียว ร่วมทุกข์ เห็นใจ” กับเพื่อนพี่น้องของเราทุกคนนะครับ และพร้อมจะร่วมทุกข์ต่อกันด้วยการแบ่งปันด้วยความรักจริงๆครับ คนที่มีมากก็ให้มาก มีน้อยก็ให้น้อย
o สรุปคือเราต้องมอบให้แก่กันเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงมอบพระองค์เองให้เรานะครับ...
o พ่อสอนเณรของพ่อเสมอว่า “ถ้าเราให้หรือแบ่งปัน การให้ ถ้าเราให้แล้ว ผลก็คือเราจะรู้ว่า เรายังมีพอ เรายังให้ได้อีกนะ... แต่ถ้าเรารอที่จะให้ก็ต่อเมื่อเราแน่ใจว่าเรามีพอก่อน คือให้เรามีพอแล้วเราจะให้และแบ่งปัน เชื่อพ่อเถอะวันนั้นที่เรารู้ว่ามีพอจริงๆนั้นไม่มีวันนั้นหรอกครับ คงไม่มีวันที่เราจะให้แก่คนอื่นได้... เพราะคำว่า “พอ” สำหรับมนุษย์นั้น ไม่มีทาง
o บางคนเคยกล่าวไว้หรูๆว่า “ผมพอแล้ว... ผมรวยพอแล้วผมอยากที่จะทำเพื่อ...” แต่แล้วก็ยังโกงเสียจนแทบจะพังกันหมดทั้งชาติเลยครับ... คำว่า “พอ” ไม่มีหรอกครับสำหรับคนที่ไม่ได้คิดเริ่มที่จะให้จากใจจริง เริ่มให้หรือแบ่งปันทันทีแก่พี่น้องที่ลำบากโดยให้จากสิ่งที่มีอยู่แม้ไม่มากแต่ปรารถนาจะให้ และเริ่มเรียนรู้ที่จะแบ่งปันด้วยความรัก....
o เชื่อพ่อเถอะลูก.. “ถ้าเราเริ่มแบ่งปัน เริ่มกล้าที่จะให้ ให้ เราจะเห็นว่า เออ...เรายังมีนี่นา เรายังให้ได้อีก ให้ได้อีก และมั่นใจได้เลยว่า โลกใบนี้ยังมีพอเหลือเฟือสำหรับมนุษย์ทุกคน.... แต่ที่เรามีคนอดตายทุกวันมากมาย เหตุก็เพราะบางคนยังไม่พอนะครับ แม้มีมากแต่ก็ยังโลภต่อไป โกยต่อไป โกงต่อไป”

• พ่อขอให้คำตอบสวยสุดจากพระคัมภีร์วันนี้ครับ....
o นักบุญเปาโลสอนชาวฟิลิปปีด้วยแบบอย่างของพระคริสตเจ้าผู้ทรงถ่อมพระองค์ลงมาเพื่อมนุษย์ทุกคน ทรงเป็นต้นแบบแห่งการให้แบบ “ให้ทั้งหมดจนยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเรา”
o ดังนั้น นักบุญเปาโลจึงย้ำสอนคริสตชนตรงๆว่า.... “จงมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนพระคริสตเจ้า”

• พี่น้องที่รักครับ เพราะเราเหมือนพระองค์จริงๆ และต้องเหมือนพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน เพราะพระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์ดุจเรา และทำให้เราได้เป็นได้มีชีวิตพระเจ้าเหมือนพระองค์
o ดังนั้น... ขอให้เราทุกคนจงเป็นคนใจดี จงมีความรัก จงมีความเมตตา และจงเป็นเหมือนกับพระองค์เสมอในความรักและอ่อนโยนที่สุดนะครับ...
o ขอพระเจ้าอวยพรให้เราเป็นเหมือนพระองค์ และอันที่จริงพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกคนมาให้เหมือนพระองค์นะครับ.... และขอให้รู้ว่าเรากับเพื่อนมนุษย์ทุกคนเหมือนกันจริงๆ เป็นพี่น้องกันจริงๆ และเป็นลูกที่รักของพระเจ้าด้วยกันทุกคนนะครับ