"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระคริสต์จะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไร”

65. พระเยซูเจ้าทรงเป็นยิ่งกว่าโอรสของกษัตริย์ดาวิด (2)
b)ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
           1.พระวรสารข้อความนี้ เปิดเผยสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในดวงหทัยพระคริสตเจ้า คือความปรารถนาให้เรารู้จักพระองค์ นักบุญมาระโกเล่าว่า ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน ทรงกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และการใช้เหตุผลของผู้ฟังว่า "บรรดาธรรมาจารย์พูดได้อย่างไรว่าพระคริสตเจ้าเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด เพราะกษัตริย์ดาวิดเองยังเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเช่นนี้แล้ว พระคริสตเจ้าจะทรงเป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไรกัน”

คำถามนี้ดูเหมือนเป็นปัญหาทางเทววิทยา แต่โดยแท้จริงแล้ว พระเยซูเจ้าทรงต้องการดึงดูดความตั้งใจของผู้ฟังให้รู้จักพระองค์ พระเจ้าเศร้าพระทัยเมื่อทรงเห็นว่าสติปัญญาของเราสนใจหลายสิ่งหลายอย่างแต่ละเลยพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงรักเรามากและเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคนที่มีความรัก พระองค์พอพระทัยให้เรามีสถานที่สำคัญสำหรับพระองค์ในความทรงจำและในการตัดสินของเรา
            2.พระเยซูเจ้าทรงทราบว่า สติปัญญาของมนุษย์เต็มไปด้วยข่าวสาร ความคิดต่าง ๆ ความห่วงใย ความวิตกกังวล และแผนงานมากมาย พระองค์ทรงปรารถนาให้เรารู้จักจัดลำดับความสำคัญตามความเป็นจริง คือรู้จักใช้เวลาคิดถึงพระองค์ ไตร่ตรองและรำพึงภาวนา ไม่หมกมุ่นอยู่กับความคิดซ้ำ ๆ เกี่ยวกับพระองค์ซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและประทับใจเรา ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเชิญชวนเราให้รู้จักไตร่ตรองทางความเชื่อและยอมรับคำสอนทางศาสนามากยิ่งขึ้น

              3.แม้เราจะตั้งใจฟังบทเทศน์ในพิธีบูชาขอบพระคุณวันอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอเพื่อจะรู้จักพระคริสตเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ และเนื้อหาไม่ต่อเนื่องกัน ดังนั้น เราจึงต้องถามตัวเองอย่างถ่อมตนว่า เราได้ใช้เวลาพอสมควรเพื่อรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้น หรือตรงกันข้าม เราไม่ใส่ใจที่จะรู้จักพระเยซูเจ้า เหมือนกับว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลสูงส่งเกินไป แต่โดยแท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเป็นเพื่อนสำคัญที่สุด เป็นเพื่อนยิ่งใหญ่ที่ช่วยเราให้รอดพ้น เป็นพระเจ้าผู้พอพระทัยยอมรับธรรมชาติมนุษย์มาเป็นพี่ชายของเรา

             4.เราไม่ควรปล่อยให้ความเชื่อของเราลดลงเหลือเพียงความรู้สึกทางศาสนา หรือเป็นการกระทำที่เคยชิน แต่เราต้องเป็นผู้ปรีชาฉลาด รู้จักหล่อเลี้ยงความเชื่อด้วยการหมั่นศึกษาหาความรู้และเหตุผลใหม่ ๆ เพื่อยึดมั่นในพระคริสตเจ้าอย่างมั่นคง ความเชื่อของคริสตชนหลายคนสั่นคลอนและไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิต เพราะความรู้ของเขาเกี่ยวกับพระเยซูเจ้ายังคงเป็นความรู้เล็กน้อยที่เคยมีตั้งแต่ในวัยเด็ก และเขาไม่เข้าใกล้พระองค์ด้วยแสงสว่างที่มีชีวิตชีวาของสติปัญญาและเหตุผล

               5.ทุกวันนี้ พระเยซูเจ้ายังทรงถามเราว่า "ทำไมท่านเรียกเราว่าเป็นพระเจ้า ถ้าไม่รู้จักเราเท่าที่ควร ท่านจะวอนขอเราอย่างไร ถ้าท่านไม่ค่อยเอาใจใส่ที่จะรู้ว่าเราเป็นผู้ใด ได้คิดและได้ทำอะไร” มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักเทววิทยาหรือคริสตชนที่ได้รับการศึกษาน้อย ต้องพิจารณามโนธรรมอยู่เสมอว่า ได้พยายามที่จะรู้จักพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้นหรือไม่ พระองค์ทรงเป็นบุคคลน่าสนใจอย่างมากที่พระเจ้าประทานแก่เราจริงหรือไม่ โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจสำหรับเรามากไปกว่าพระธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าผู้ทรงรักเราและทรงช่วยเราให้รอดพ้น รวมทั้งเป็นผู้ที่เราต้องละม้ายคล้ายกับพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกวัน