"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย ”

37. ชาวฟาริสีขอเครื่องหมายจากฟ้า (มก 8:11-13)

        811ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบ 12พระองค์ถอนพระทัยลึกๆ ตรัสว่า “คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย”13แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง


a)    อธิบายความหมาย
              ข้อความนี้ดูเหมือนไม่ต่อเนื่องจากเรื่องที่ได้เล่ามาแล้ว สิ่งที่นักบุญมาระโกทำให้เรื่องนี้เชื่อมโยงกันคือพระเยซูเจ้าจากทศบุรี ดินแดนคนต่างศาสนาทรงข้ามทะเลสาบมายังแผ่นดินของชาวยิว เพราะโดยปกติ จะพบชาวฟาริสีได้เฉพาะในดินแดนของชาวยิวเท่านั้น น่าสังเกตความแตกต่างระหว่างเรื่องอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังและการที่ชาวฟาริสีไม่มีความเชื่อจึงเรียกร้องให้พระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เรื่องตรงกันข้ามนี้ต้องการเน้นปัญหาที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนคือความเชื่อ

            ตั้งแต่เหตุการณ์นี้นักบุญมาระโกจะไม่เล่าอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำอีกต่อไป นอกจาก 3 เรื่องนี้คือพระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดที่เมืองเบธไซดา(8:22-26)  ทรงรักษาเด็กถูกปีศาจสิง(9:14-29)  และทรงรักษาบารทิเมอัสคนตาบอดที่เมืองเยรีโค(10:46-52)  เท่านั้น

- ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ นักบุญมาระโกเคยบอกผู้อ่านแล้วว่า ชาวฟารีสีเป็นศัตรูกับพระเยซูเจ้า (7:1, 5)แต่บัดนี้ เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นที่จะมีชัยชนะเหนือพระองค์ เขาต้องการเรียกร้องเครื่องหมายอัศจรรย์จากพระเยซูเจ้า และมั่นใจว่าพระองค์จะทรงกระทำไม่ได้ ทรงต้องอับอาย และประชาชนจะสูญเสียความเชื่อถือในพระองค์

- ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้า เครื่องหมายอัศจรรย์จะต้องมีลักษณะโดดเด่นน่าประทับใจคือพระเจ้าจากสวรรค์เท่านั้นที่ทรงกระทำได้โดยปราศจากการกระทำใด ๆของมนุษย์ เหมือนในพันธสัญญาเดิมเมื่อพระองค์ทรงเลี้ยงชาวอิสราเอลด้วยมานา น่าสังเกต ชาวฟารีสีไม่ปฏิเสธว่าพระเยซูเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์บางอย่าง เช่น ทรงรักษาผู้ป่วยทรงขับไล่ปีศาจจากผู้ถูกสิง แต่เขาตีความหมายว่ากิจการเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงพระอานุภาพของพระเจ้าและไม่พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสสิยาห์ที่ชาวยิวรอคอย แต่ตัดสินว่าการกระทำของพระเยซูเจ้ามาจากพลังของปีศาจนั่นเอง (3:22)
 
- เพื่อทดสอบ เจตนาของชาวฟารีสีคือต้องการทำให้พระเยซูเจ้าทรงอับอายต่อหน้าประชาชนผู้ชมเชยและยินดีฟังคำเทศน์สอนของพระองค์ ในพระคัมภีร์การทดสอบมีความหมายว่า ต้องการทำให้ผู้อื่นลำบากใจ เพราะต้องเผชิญหน้ากับการเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในกรณีนี้ชาวฟาริสีคิดว่าไม่ว่าพระเยซูเจ้าจะทรงเลือกทำอย่างไรเขาก็สามารถทำให้พระองค์เสียหน้าอย่างแน่นอนและประชาชนจะมองพระองค์ในแง่ลบ

- พระองค์ถอนพระทัยลึกๆ สำนวนนี้แสดงว่า พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกเสียพระทัยต่อชาวยิวที่มีใจหยาบแข็งกระด้างไม่ยอมเชื่อคำสั่งสอนของพระองค์

- ตรัสว่า “คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร คนยุคนี้หมายถึงชาวฟารีสีพร้อมกับประชาชนที่ยอมรับการสั่งสอนของเขาและต่อต้านพระเยซูเจ้ากับบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงใช้คำว่า “ยุคนี้” เพื่อเน้นว่าเป็นคนร่วมสมัยและยังเป็นการมองในแง่ลบ

- เราบอกความจริงกับท่านว่า เป็นวิธีตรัสของพระเยซูเจ้าเมื่อทรงยืนยันความจริงที่สำคัญ ดังที่เราพบบ่อย ๆ ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น นักบุญมาระโกเคยใช้วลีนี้ครั้งหนึ่งแล้ว (3:28)

- คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย” เป็นประโยคที่แสดงการสาบานอย่างแน่วแน่คือ พระองค์ทรงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะตอบสนองคำขอร้องของชาวฟารีสีเพราะอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำก็แสดงพอสมควรถึงพระอานุภาพที่มาจากพระเจ้าอยู่แล้วเพื่อจะตัดสินว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา แต่ผู้ที่ต่อต้านไม่ยอมรับการกระทำของพระเยซูเจ้าไม่ยอมรับการเป็นพยานของพระองค์จึงไม่มีประโยชน์ที่จะได้รับเครื่องหมายอัศจรรย์อีกประการหนึ่ง พระองค์จึงตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดที่จะไม่ให้เครื่องหมายอีกต่อไป

- แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง  พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบในดินแดนที่ทรงเคยทวีขนมปัง การที่พระเยซูเจ้าทรงแยกจากประชาชนเหล่านั้นแสดงถึงการต่อต้านกับชาวกาลิลี เพราะอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบก็หมายถึงทศบุรีไม่ใช่แคว้นกาลิลี ในโครงสร้างของพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโกพระเยซูเจ้าจะไม่เสด็จกลับมาเทศนาสั่งสอนในแคว้นกาลิลีอีกต่อไป จะเพียงเสด็จผ่านเพื่อไปยังแคว้นยูเดียและจะประทับอยู่ที่นั่นจนถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1.    เรามักจะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงชี้เครื่องหมายใหม่ในชีวิต เราต้องการมีความมั่นใจว่า พระองค์ทรงการสิ่งใดจากเรา แต่การเรียกร้องเช่นนี้ทำให้เราแยกตัวออกจากพระเจ้ามากกว่าที่จะทำให้เราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ พระองค์ประทานศีลมหาสนิทแก่เราและพอพระทัยให้เรารับด้วยความรู้คุณ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเครื่องหมายอื่น ๆ ที่แสดงความรักของพระองค์และความเอาพระทัยใส่เราเป็นความหวาดระแวงและการไม่ยอมเชื่อเท่าที่ควรของเราที่ทำให้พระองค์ต้องเสียพระทัย เพราะพระองค์ทรงรักเรา

2.การเรียกร้องเครื่องหมายจากสวรรค์เป็นการทดสอบสำหรับพระเยซูเจ้าด้วย เพราะถ้าพระองค์ทรงตอบสนองการเรียกร้องนั้น พระองค์ก็จะทรงฝ่าฝืนพระภารกิจที่ต้องนอบน้อมเชื่อฟังพระบิดาเจ้า ความเชื่อที่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งบางอย่างความเชื่อที่ไม่ยอมเสี่ยงและไม่อยากทุ่มเทชีวิตของตน เป็นการจำกัดอิสรภาพของพระเจ้า เป็นการบังคับพระองค์ให้ทรงกระทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้เราก็ไม่มีความเชื่อ พระเจ้าจึงไม่ประทานสิ่งที่เราวอนขอ

3.เราควรวอนขอพระองค์ให้ประทานความสามารถที่จะมองเห็นความรักของพระองค์ในกิจการประจำวัน พระองค์ทรงให้เครื่องหมายต่าง ๆ ในชีวิต เพียงเราจะต้องมีสายตาที่มองเห็นและสังเกตว่า ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ พระเจ้าทรงคุ้มครองชีวิตของเราด้วยพระญาณเอื้ออาทร

4.เมื่อชาวฟาริสีขอเครื่องหมายอัศจรรย์พระเยซูเจ้าถอนพระทัยลึก ๆ เราควรถามตนเองว่า เราพร้อมที่จะรับความจริงที่พระวรสารและพระเจ้าทรงเปิดเผยหรือไม่ เพราะจะง่ายมากที่ใจของเราไม่ยอมรับความจริงที่ตนเองไม่ชอบ ทุกครั้งที่เราเข้าใจว่าความจริงนั้นเรียกร้องสิ่งใหม่จากเรา ความเห็นแก่ตัวของเราก็ต่อต้านทันที เพราะรู้สึกว่าถูกคุกคาม เราจะหาเหตุผลเพื่อจะไม่ต้องเชื่อ และทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ เราต้องคิดว่าพระเยซูเจ้าถอนพระทัยลึก ๆ เพราะการกระทำของเราด้วย

5.พระเยซูเจ้าทรงแยกจากคนเหล่านั้น เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นกับเราด้วย เมื่อเราโต้เถียงกับพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงละทิ้งเรา เราต้องมีใจที่จะแสวงหาพระองค์ เปิดรับพระประสงค์ของพระองค์ วอนขอให้พระองค์ทรงชี้แจงพระประสงค์เพื่อปฏิบัติตาม มิใช่เพื่อหลีกเลี่ยงและทำตามใจชอบของตนเอง