"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา”

15. พระเยซูเจ้ากับพระประยูรญาติของพระองค์และคู่อริ (4)
b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1.    พระประยูรญาติของพระเยซูเจ้ารักพระองค์ แต่ไม่เข้าใจพฤติกรรมของพระเยซูเจ้าว่า คนคนหนึ่งจะอุทิศตนแด่พระบิดาโดยสิ้นเชิงจนดูเหมือนขาดสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปคิดว่าเป็นสามัญสำนึก ทำนองเดียวกัน เราที่เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าอาจจะเผชิญกับผู้ที่รักเราแต่ไม่เข้าใจเราเช่นกัน  คนเหล่านี้ไม่เข้าใจว่า ทำไมเรารับใช้พระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพ ชื่อเสียง ยอมทุ่มเทชีวิตทั้งหมดเพื่อพระองค์ และบางครั้งทำสิ่งที่ก่อให้เกิดศัตรู คนทั่วไปคิดว่าพฤติกรรมนี้ขาดสามัญสำนึกของมนุษย์

2.    คริสตชนอาจตกในข้อบกพร่องเดียวกับธรรมาจารย์ ที่พยายามปรับคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าให้อยู่ในกรอบแนวความคิดประสามนุษย์ โดยแท้จริงแล้ว หลายครั้งสามัญสำนึกหมายถึงการแสวงหาผลประโยชน์ ความเห็นแก่ตัว ความต้องการให้พระเจ้าทรงสนับสนุนเข้าข้างตน แทนที่จะอยู่กับพระองค์โดยใช้มาตรการแห่งความรัก การเสียสละ การให้อภัย ความเมตตากรุณา สัญชาตญาณมนุษย์คำนึงเสมอว่า ถ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าแล้ว จะได้ผลประโยชน์หรือจะสูญเสียผลประโยชน์ คุ้มหรือไม่คุ้มที่จะทำสิ่งนั้น มนุษย์มักต้องการเพียงความสะดวกสบายและความสงบสุข

3.    พระเยซูเจ้าทรงเผชิญหน้ากับบุคคลหลายกลุ่ม จึงพบความยากลำบากในการปฏิบัติภารกิจ แต่ทรงได้รับพละกำลังและทิศทางมาจากความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา  คริสตชนก็เช่นกันเราได้รับอิทธิพลจากความคิดของคนหลายกลุ่มในสังคม การแสวงหาทิศทางที่ถูกต้องก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ เราก็ได้รับทั้งพระจิตเจ้าและพระฉบับของพระเยซูเจ้า เราต้องฟังเสียงของพระจิตเจ้าเพื่อจะได้มีพละกำลังและแสงสว่าง เราไม่ต้องแปลกใจที่หลายคนไม่เข้าใจพระคริสตเจ้าและการกระทำของเรา เราต้องมีมานะมั่นคงที่จะปฏิบัติภารกิจติดตามพระคริสตเจ้า

4.    พฤติกรรมของพระเยซูเจ้าเป็นตัวอย่างในการเผชิญหน้ากับศัตรู พระองค์ไม่ทรงแสดงอาการกริ้วหรือน้อยพระทัย แม้ทรงถูกล่วงเกินก็ ไม่ทรงตำหนิต่อว่าเขา แต่ทรงให้เหตุผลเพื่อเขาจะได้ไตร่ตรอง ทรงชี้แจงข้อจำกัดและข้อบกพร่องความคิดของเขา ทรงแสดงว่าความคิดนั้นจะนำไปสู่ผลร้าย พระองค์ทรงสอนเราให้รู้จักแยกแยะความคิดต่าง ๆ  ใช้ความคิดอ่านและการไตร่ตรอง นี่คือพฤติกรรมที่เราควรมีกับทุกคนแม้เขาเป็นคู่อริ เราประพฤติเช่นนี้กับทุกคนหรือไม่

5.    เราเห็นหลายคนที่อยู่รอบพระเยซูเจ้า เขามีลักษณะเหมือนกันคือ ไม่เฉื่อยชา ไม่เกียจคร้าน เขามาฟังคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า ท่าทีของเราต่อพระองค์เป็นอย่างไร เรามีความกระตือรือร้นและขยันขันแข็งที่จะรักษาความสัมพันธ์กับพระองค์หรือไม่ เรามีท่าทีเหมือนธรรมาจารย์ ญาติพี่น้องที่อยู่ข้างนอก หรือผู้ที่ฟังพระองค์ด้วยความตั้งใจ

6.    พระเจ้าทรงให้อภัยบาปทุกอย่าง เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก และพระจิตของพระองค์ก็คือความรักนั่นเอง  แต่มีบาปประการหนึ่งที่ไม่ได้รับการอภัยคือ การกระทำผิดต่อพระจิตเจ้า หมายถึงการไม่ยอมรับความรักของพระเจ้า นี่เป็นบาปของผู้ที่คิดว่าตนเป็นฝ่ายถูกเสมอไม่เคยทำความผิดเลย  โดยแท้จริงแล้ว การยอมรับว่าตนมีความอ่อนแอและได้ทำผิดก็เป็นพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า เพราะเมื่อเราสำนึกผิดและขออภัย เมื่อนั้นเราก็จะได้รับการอภัย แต่เมื่อเรามีใจแข็งกระด้าง คิดว่าไม่มีความผิด เราจะไม่ได้รับการอภัยเลย

7.    พระเยซูเจ้าตรัสว่าธรรมาจารย์เหล่านั้นทำผิดต่อพระจิตเจ้า เขามีความคิดตายตัวเกี่ยวกับพระเจ้า รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งใดต้องทำสิ่งใดไม่ต้องห้าม เขาจึงตัดสินว่าพระเยซูเจ้าทรงสอนผิด เราทุกคนอาจมีท่าทีของธรรมาจารย์อยู่ในใจบ้าง คือคิดว่าตนเองรู้ความจริงและความจริงอยู่กับตนเสมอ มั่นใจว่าความคิดที่ต่างจากความคิดของเราเป็นความจริงไม่ได้ เราไม่เปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็น ไม่ยอมรับว่ามีสิ่งที่ดีกว่าและถูกต้องกว่า เราต้องมีความถ่อมตนที่ยอมการเปลี่ยนแปลง ไม่ประพฤติเหมือนธรรมาจารย์ พระเยซูเจ้าทรงให้อภัยบาปของทุกคน เมื่อผู้นั้นยอมกลับใจ ยอมรับคำสั่งสอนและข่าวดีของพระองค์

8.    เมื่อเรายอมปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราก็เป็นสมาชิกครอบครัวใหม่ของพระเยซูเจ้า การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าหมายถึง การยอมเชื่อฟังพระเยซูเจ้าเหมือนคนที่นั่งโดยรอบภายในบ้าน บรรดาพระประยูรญาติและบรรดาธรรมาจารย์ไม่ยอมฟังพระองค์ แต่ต้องการให้พระองค์ทรงฟังทั้งความคิดและผลประโยชน์ของเขา เราต้องยอมให้พระเยซูเจ้าทรงเรียกเรา ไม่ใช่เราเรียกพระองค์ให้เสด็จออกมาพบเราข้างนอก เราต้องรู้จักวินิจฉัยว่า เมื่อใดพระเยซูเจ้าทรงเรียกเราให้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์เพื่อฟังพระวาจา  เราต้องชนะการผจญอย่างต่อเนื่องที่จะต้องการทูลพระองค์ว่าทรงต้องทำอะไรเพื่อเรา