(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

VII. พระทรมาน และการกลับคืนพระชนมชีพ

การวางแผนกำจัดพระเยซูเจ้า

26 1เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาเหล่านี้แล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า 2“ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า อีกสองวันจะถึงวันปัสกา และบุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบให้ศัตรูนำไปตรึงกางเขน”

3เวลานั้น บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนมาชุมนุมกันในสำนักของมหาสมณะชื่อ คายาฟาส 4และคิดหาอุบายเพื่อจับกุมพระเยซูเจ้า จะได้ฆ่าเสีย 5เขาพูดกันว่า “อย่าทำการนี้ในวันฉลองเลย เพราะประชาชนจะก่อการจลาจล”

การเจิมที่หมู่บ้านเบธานีa

6ขณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านเบธานีในบ้านของซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อน 7หญิงคนหนึ่งถือขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอมราคาแพงเข้ามา และเทน้ำมันหอมลงบนพระเศียรขณะที่พระองค์กำลังประทับที่โต๊ะอาหาร 8บรรดาศิษย์เห็นดังนั้น จึงไม่พอใจกล่าวว่า “ทำไมทำให้น้ำมันหอมเสียไปเปล่าๆ 9น้ำมันหอมนี้อาจจะขายได้เงินมาก แล้วเอาไปแจกให้คนยากจน” 10พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า “ท่านทำให้นางยุ่งยากใจทำไม นางได้ทำกิจการดีต่อเราb 11ท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ แต่ท่านจะไม่มีเราอยู่กับท่านเสมอไป 12นางเทน้ำมันหอมนี้ชโลมกายของเราเป็นการเตรียมไว้สำหรับฝังศพ 13เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ที่ใดในโลกที่มีการประกาศข่าวดี จะมีการกล่าวถึงสิ่งที่นางได้ทำเพื่อเป็นการระลึกถึงนาง”

ยูดาสทรยศต่อพระเยซูเจ้า

14คนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบบรรดาหัวหน้าสมณะ ถามว่า 15“ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญcให้แก่ยูดาส 16ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็หาโอกาสที่จะมอบพระองค์

การเตรียมงานเลี้ยงปัสกา

17วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อd บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” 18พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึ่ง บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์บอกว่าเวลากำหนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่บ้านของท่าน’”

19บรรดาศิษย์ก็ทำตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา

พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงการทรยศของยูดาส

20ครั้นถึงเวลาค่ำ พระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทั้งสิบสองคน 21ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารพร้อมกับพระเยซูเจ้าอยู่นั้นe พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อเรา” 22บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” 23พระองค์ตรัสตอบว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละจะทรยศต่อเรา 24บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มีเขียนเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า” 25ยูดาสผู้ทรยศต่อพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว”

พระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลมหาสนิท

26ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารอยู่นั้นf พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปัง ตรัสถวายพระพร ทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” 27แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ตรัสขอบพระคุณg ประทานให้เขาเหล่านั้น ตรัสว่า “ทุกท่านจงดื่มจากถ้วยนี้เถิด 28นี่เป็นโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาhที่หลั่งออกมาเพื่ออภัยบาปมนุษย์ทั้งหลายi 29เราบอกท่านทั้งหลายว่า แต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าจะถึงวันที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่กับท่านในพระอาณาจักรของพระบิดาของเรา”j

พระเยซูเจ้าทรงทำนายว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์

30เมื่อขับร้องเพลงสดุดีแล้วk ทุกคนออกจากห้องเพื่อไปยังภูเขามะกอกเทศ 31แล้วพระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ทุกท่านจะทอดทิ้งเราในคืนนี้l เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะจะกระจัดกระจายไป 32แต่เมื่อเรากลับคืนชีพแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน” 33เปโตรทูลตอบว่า “แม้ทุกคนจะทอดทิ้งพระองค์ ข้าพเจ้าก็จะไม่ทอดทิ้งพระองค์เลย” 34พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนนี้เอง ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” 35เปโตรทูลว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายพร้อมกับพระองค์ ข้าพเจ้าก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” ศิษย์ทุกคนต่างกล่าวเช่นเดียวกัน

ภายในสวนเกทเสมนี

36เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงสถานที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนีm พระองค์ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ ขณะที่เราไปอธิษฐานภาวนาที่โน่น” 37แล้วทรงพาเปโตรและบุตรทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงรู้สึกเศร้าและสลดพระทัยอย่างยิ่ง 38จึงตรัสแก่เขาทั้งสามคนว่า “ใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิตn จงอยู่ที่นี่และตื่นเฝ้ากับเราเถิด” 39แล้วพระองค์ทรงพระดำเนินไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ทรงซบพระพักตร์ลงกับพื้นดิน อธิษฐานภาวนาว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”o 40พระองค์เสด็จกลับมาพบบรรดาศิษย์ ทรงพบเขาเหล่านั้นกำลังหลับอยู่ จึงตรัสกับเปโตรว่า “ท่านตื่นเฝ้าอยู่กับเราสักหนึ่งชั่วโมงไม่ได้หรือ 41จงตื่นเฝ้าและอธิษฐานภาวนาเพื่อจะได้ไม่เข้าสู่การทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังอ่อนกำลัง” 42พระองค์เสด็จไปอีกครั้งหนึ่ง ทรงอธิษฐานภาวนาว่า “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าข้าพเจ้าต้องดื่มจากถ้วยนี้โดยหลีกเลี่ยงมิได้แล้ว ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”

43ครั้นเสด็จกลับมาก็ทรงพบเขาเหล่านั้นหลับอยู่อีก เพราะนัยน์ตาลืมไม่ขึ้น 44พระองค์จึงเสด็จจากเขาทั้งสามคน ไปอธิษฐานภาวนาอย่างเดียวกันเป็นครั้งที่สาม 45แล้วเสด็จกลับมาพบเขา ตรัสว่า “เดี๋ยวนี้ ท่านหลับต่อไปและพักผ่อนได้p เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะต้องถูกมอบในเงื้อมมือของคนบาปมาถึงแล้ว 46จงลุกขึ้น ไปกันเถิด ผู้ทรยศต่อเราอยู่ที่นี่แล้ว”

พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม

47ขณะที่พระองค์กำลังตรัสนั้น ยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคนมาถึงพร้อมกับคนจำนวนมาก ถือดาบและไม้ตะบองเป็นอาวุธ บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนส่งพวกนี้มา 48ผู้ทรยศต่อพระองค์ให้สัญญาณแก่คนเหล่านี้ว่า “ข้าพเจ้าจูบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จับกุมเขาไว้เถิด”

49ทันใดนั้น ยูดาสก็เข้ามาหาพระเยซูเจ้า ทูลว่า “สวัสดี พระอาจารย์” แล้วจูบพระองค์ 50พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย จงทำอย่างที่ตั้งใจจะทำเถิด”q เวลานั้น คนเหล่านั้นต่างกรูกันเข้าจับกุมพระองค์ 51ขณะนั้น คนหนึ่งซึ่งอยู่กับพระเยซูเจ้าก็ชักดาบฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ใบหูขาด 52พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เอาดาบใส่ฝักเสีย เพราะทุกคนที่ใช้ดาบ ก็จะต้องพินาศด้วยดาบ 53ท่านคิดว่า เราจะอ้อนวอนพระบิดาเจ้าให้ส่งทูตสวรรค์มากกว่าสิบสองกองพลมาช่วยเราบัดนี้มิได้หรือ 54แล้วพระคัมภีร์ที่เขียนว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ จะเป็นความจริงได้อย่างไร” 55ขณะนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “เราเป็นโจรหรือ ท่านทั้งหลายจึงถือดาบ ถือไม้ตะบองมาจับกุมเรา เรานั่งสอนในพระวิหารทุกวัน ท่านก็มิได้จับกุมเรา”

56เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ข้อเขียนของบรรดาประกาศกเป็นความจริง หลังจากนั้นศิษย์ทุกคนละทิ้งพระองค์และหนีไป

พระเยซูเจ้าทรงถูกพิจารณาคดีในสภาซันเฮดรินr

57บรรดาผู้ที่จับกุมพระเยซูเจ้านำพระองค์ไปยังบ้านของคายาฟาสมหาสมณะ บรรดาธรรมาจารย์และผู้อาวุโสชุมนุมกันที่นั่น 58ส่วนเปโตรติดตามพระองค์ไปห่างๆ จนถึงลานบ้านของมหาสมณะเข้าไปภายในและนั่งกับบรรดาผู้รับใช้ คอยดูว่าเหตุการณ์จะจบลงอย่างไร

59บรรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภาซันเฮดรินทุกคนพยายามหาพยานเท็จมากล่าวหาพระเยซูเจ้า เพื่อจะประหารชีวิตพระองค์ให้ได้ 60แต่เขาหาหลักฐานไม่ได้ แม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคน ในที่สุดมีคนสองคนมาให้การว่า 61“คนคนนี้ได้พูดว่า ‘ฉันมีอำนาจจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน’”s 62มหาสมณะจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ พยานเหล่านี้ตั้งข้อกล่าวหาอะไรกล่าวโทษท่าน”t 63แต่พระเยซูเจ้าทรงนิ่ง มหาสมณะจึงพูดกับพระองค์ว่า “เราสั่งให้ท่านสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงชีวิต จงตอบเราว่า ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตใช่หรือไม่” 64พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพu และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า 65มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าv เราจะต้องการพยานอะไรอีก ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว 66ท่านคิดอย่างไร” ทุกคนตอบว่า “เขาสมควรต้องตาย”

67แล้วพวกนั้นก็พากันถ่มน้ำลายรดพระพักตร์พระองค์ ชกต่อยพระองค์ บางคนตบตีพระองค์ กล่าวว่า 68“พระคริสต์จงทำนายซิว่า ใครตบหน้าเจ้า”w

เปโตรปฏิเสธพระเยซูเจ้า

69ขณะที่เปโตรนั่งอยู่ที่ลานข้างนอก หญิงรับใช้คนหนึ่งเข้ามาพูดว่า “ท่านก็เคยอยู่กับเยซู ชาวกาลิลีด้วย” 70แต่เปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งหลายว่า “ฉันไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร” 71เมื่อเปโตรออกไปที่ประตู หญิงรับใช้อีกคนหนึ่งเห็นเข้าจึงพูดกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้เคยอยู่กับเยซู ชาวนาซาเร็ธด้วย”x 72เปโตรปฏิเสธอีก ทั้งสาบานว่า “ฉันไม่เคยรู้จักคนนั้นเลย” 73ต่อมาไม่นาน คนที่อยู่ที่นั่นเข้ามาพูดกับเปโตรว่า “ท่านเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ ฟังสำเนียงyก็รู้แล้ว” 74แต่เปโตรเริ่มสาบานอย่างแข็งขันว่า “ฉันไม่รู้จักคนนั้น” ทันใดไก่ก็ขัน 75เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่จะขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เขาจึงออกไปข้างนอก ร้องไห้อย่างขมขื่น

 

26 a ใน ยน หญิงในเหตุการณ์นี้มีชื่อว่ามารีย์ เป็นน้องสาวของลาซารัส เรื่องที่กล่าวถึงใน ลก 7:36-50 เป็นคนละเหตุการณ์กัน

b ชาวยิวแบ่งกิจการดีเป็นสองประเภทคือ การให้ทานและกิจการแสดงเมตตาจิตอื่นๆ ซึ่งมีคุณค่ามากกว่า เช่นการฝังศพผู้ตาย ดังนั้น หญิงนี้ที่ได้ชโลมพระกายล่วงหน้าเพื่อเตรียมการฝังพระศพ จึงได้ทำกิจการดีที่มีค่ามากกว่าการให้ทาน

c “เหรียญ” ในที่นี้เป็นเหรียญเงินน้ำหนัก 1 เชเขล (ประมาณ 1 บาท) เงินสามสิบเชเขล เป็นราคาชีวิตทาสคนหนึ่งตามที่กำหนดไว้ในธรรมบัญญัติ (อพย 21:32)

d “วันแรก” ของสัปดาห์ที่ชาวยิวกินขนมปังไร้เชื้อ (ดู อพย 12:1 เชิงอรรถ a; 23:14 เชิงอรรถ d) โดยปกติเป็นวันหลังฉลองปัสกาและตรงกับวันที่ 15 เดือนนิสาน แต่สำหรับผู้นิพนธ์พระวรสารสหทรรศน์ “วันแรกของสัปดาห์” นี้หมายถึงวันปัสกาเอง แต่ถ้าเราใช้รายละเอียดจากเรื่องพระทรมานใน ยน 18:28 ดูเหมือนว่าในปีนั้นงานเลี้ยงปัสกาตรงกับเย็นวันศุกร์ (วันศุกร์นั้นคือ “วันเตรียมฉลอง 27:62; ดู ยน 19:14, 31, 42) พระวรสารสหทรรศน์กล่าวถึงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูเจ้าในวันก่อน คือเย็นวันพฤหัสบดีซึ่งอาจอธิบายได้โดยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งในสองเหตุผลนี้ คือ (1) ชาวยิวส่วนหนึ่งกินเลี้ยงปัสกาล่วงหน้าหนึ่งวัน หรือ (2) พระเยซูเจ้าเองทรงเลือกทำเช่นนั้นด้วยพระองค์เอง เพราะทรงทราบว่าพระองค์ไม่สามารถกินเลี้ยงปัสกาได้ในเย็นวันศุกร์ (อันที่จริงพระองค์ทรงฉลองปัสกาโดยถวายพระองค์เองเป็นบูชาบนไม้กางเขน ยน 19:36 เชิงอรรถ u; 1 คร 5:7) คำอธิบายประการหลังนี้น่าจะถูกต้องกว่า วันที่ 14 เดือนนิสาน (วันกินเลี้ยงปัสกา) ตรงกับวันศุกร์ในปี ค.ศ.30 และ 33 นักวิชาการคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์ในปีใดปีหนึ่งในสองปีนี้ แล้วแต่ว่าพระองค์ทรงรับพิธีล้างในปี ค.ศ.28 หรือ 29 และคำนวณเช่นกันว่า การเทศนาสั่งสอนของพระองค์จะยาวหรือสั้น

e การเลี้ยงปัสกามีรายการอาหารหลายอย่างกำหนดไว้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะรับประทานอาหารอย่างแรกเป็นเหมือน “ออร์เดอฟ”

f หลัง “ออร์เดอฟ” ก็ถึงอาหารหลักของการเลี้ยง มีข้อกำหนดชัดเจนให้ประธานถวายพรพระเจ้า เมื่อหยิบขนมปังและถ้วยเหล้าองุ่น พระเยซูเจ้าทรงใช้พิธีกรรมนี้ในการตั้งศีลมหาสนิท

g “ขอบพระคุณ” คำภาษากรีก eucharisto พิธีศีลมหาสนิทจึงเรียกว่า “Eucharist” (การขอบพระคุณ)

h สำเนาโบราณบางฉบับเสริมว่า “ใหม่” (เทียบ ลก 22:20; 1 คร 11:25)

i “มนุษย์ทั้งหลาย” แปลตามตัวอักษรว่า “มนุษย์จำนวนมาก” เป็นสำนวนภาษาเซมิติก หมายถึง มวลมนุษย์ - ที่ภูเขาซีนาย เลือดของสัตว์ที่ถวายเป็นบูชา เป็นการรับรองพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับประชากรของพระองค์ฉันใด (อพย 24:4-8 เชิงอรรถ c) บนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นเครื่องบูชาที่สมบูรณ์จะรับรองพันธสัญญาใหม่ (เทียบ ลก 22:20) ระหว่างพระเจ้าและมนุษยชาติฉันนั้น บรรดาประกาศกได้กล่าวล่วงหน้าถึงพันธสัญญาใหม่นี้แล้ว (ยรม 31:31 เชิงอรรถ l) พระเยซูเจ้าทรงรับภารกิจเป็นผู้ไถ่มนุษยชาติตามที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์” จะกระทำการนี้ (อสย 42:6; 49:6; 53:12 ดู 41:8 เชิงอรรถ f เทียบ ฮบ 8:8; 9:15; 12:24) ความคิดเรื่องพันธสัญญาใหม่พบได้เช่นกันในจดหมายของเปาโลหลายตอนนอกเหนือจากใน 1 คร 11:25 เช่นใน 2 คร 3:4-6; กท 3:15-20; 4:24 ซึ่งแสดงว่าความคิดเรื่องพันธสัญญาใหม่นี้เป็นเรื่องสำคัญ

j เป็นการกล่าวถึงงานเลี้ยงในยุคสุดท้าย (เทียบ 8:11; 22:1ฯ) พระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์จะไม่ร่วมโต๊ะกินอาหารในโลกนี้อีก

k เพลงสดุดีที่ขับร้องเป็นการปิดการเลี้ยงปัสกา คือ สดด 113-118 เพลงสดุดีชุดนี้เรียกว่า “Hallel”

l “ทอดทิ้ง” แปลตามตัวอักษรว่า “จะสะดุดล้ม” การที่บรรดาศิษย์พบว่าผู้ที่เขาเชื่อว่าเป็นพระเมสสิยาห์ (16:16) ซึ่งกำลังจะได้รับชัยชนะตามที่เขาคาดหมายไว้ (20:21ฯ) กลับยอมแพ้ศัตรูโดยไม่ขัดขืน นับว่าเป็นอุปสรรคต่อความเชื่อของเขาทีเดียว เหตุการณ์นี้จะทำให้เขาหมดกำลังใจเกือบจะเสียความเชื่อไปชั่วระยะหนึ่งทีเดียว (เทียบ ลก 22:31-32)

m “เกทเสมนี” แปลว่า “เครื่องหีบน้ำมัน” ตั้งอยู่ในหุบเขาขิดโรน เชิงเขามะกอกเทศ

n สำนวนนี้ทำให้คิดถึงข้อความใน สดด 42:5 และ ยนา 4:9

o พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกกลัวความตายตามธรรมชาติมนุษย์ และโดยสัญชาตญาณทรงต้องการจะหนีให้พ้นจึงแสดงความรู้สึกนี้ออกมา แต่หลังจากนั้นทรงระงับได้และทรงยอมรับพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า (ดู 4:1 เชิงอรรถ a)

p เป็นการตำหนิโดยประชดประชันเล็กน้อย เวลาที่ท่านน่าจะตื่นเฝ้าอยู่กับเราได้ผ่านไปแล้ว ขณะนี้เป็นเวลาแห่งการทดลองสำหรับพระองค์แต่ผู้เดียว ส่วนบรรดาศิษย์จะหลับต่อไปก็ได้ตามใจ

q แปลตามตัวอักษรว่า “เพื่อนเอ๋ย สำหรับสิ่งที่ท่านอยู่ที่นี่” ไม่ใช่คำถามว่า “มาที่นี่ทำไม” ไม่ใช่คำตำหนิ “ท่านมาที่นี่เพื่ออะไรกัน” แต่เป็นสำนวนที่นิยมใช้กับความหมายว่า “จงทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำเถิด” “จัดการเลย” พระเยซูเจ้าทรงตัดบทคำทักทายที่ไม่จริงใจนั้น บอกให้ลงมือทำเสีย (เทียบ ยน 13:27)

r การเล่าของ ลก และ ยน ทำให้เราแยกเหตุการณ์ได้เป็น 2 ระยะ (1) การพิจารณาคดีเวลากลางคืนที่สำนักของอันนาส และ (2) การพิจารณาคดีในสภาซันเฮดรินตอนเช้าวันรุ่งขึ้น (27:1) มธ และ มก กล่าวถึงการพิจารณาคดีในตอนกลางคืน เหมือนกับเป็นการพิพากษาคดีในสภาเฮดรินตอนเช้า เพราะการพิจารณาคดีตอนเช้าเท่านั้นตัดสินชะตากรรมของพระเยซูเจ้า

s การที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่าพระองค์ทรงสามารถสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ภายในสามวันนั้น พระองค์มีพระประสงค์ที่จะสอนว่าคารวกิจของชาวยิวที่เคยปฏิบัติกันมาจะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่จะต้องพัฒนาให้สมบูรณ์อาศัยพันธสัญญาใหม่ที่พระองค์จะทรงสถาปนาขึ้น เราเข้าใจความหมายของพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสนี้ได้ชัดเจนหลังจากที่พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วเท่านั้น (ดู ยน 2:22 เชิงอรรถ i) พระวิหารหลังใหม่จะต้องมาแทนที่พระวิหารหลังเก่า และพระวิหารหลังใหม่นี้ ก่อนอื่นคือพระวรกายรุ่งโรจน์ของพระองค์ ซึ่งจะคืนพระชนมชีพภายในสามวัน (มธ 16:21; 17:23; 20:19; ยน 2:19-22) และหลังจากนั้น พระวิหารใหม่นี้คือพระศาสนจักร (มธ 16:18)

t คำแปลบางสำนวนรวมสองคำถามนี้เป็นคำถามเดียวว่า “ท่านไม่ตอบข้อกล่าวหาที่คนเหล่านี้กล่าวโทษท่านหรือ”

u “ผู้ทรงอานุภาพ” มีความหมายเท่ากับ “พระเจ้า” (ดู 3:2 เชิงอรรถ d) พระวรสารแสดงว่าในเวลาวิกฤตินี้พระเยซูเจ้าทรงเลิกปกปิดความเป็นพระเมสสิยาห์ (ดู มก 1:34 เชิงอรรถ m) และทรงยอมรับสมญาว่าเป็นพระเมสสิยาห์อย่างเปิดเผย แต่ทรงแสดงว่าเป็นพระเมสสิยาห์มิใช่ความหมายที่ชาวยิวทั่วไปมักเข้าใจ คือเป็นผู้กอบกู้อิสรภาพทางการเมือง แต่ในความหมายของผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ที่ดาเนียลได้เห็นในนิมิต (ดนล 7:13 เชิงอรรถ k) ข้อความในข้อนี้นอกจากจะเท้าความถึง ดนล แล้ว ยังเท้าความถึง สดด 110:1 “ประทับเบื้องขวา” อีกด้วย (ดู กจ 2:33 เชิงอรรถ t) ข้อความจาก สดด 110:1 นี้ บรรดาอัครสาวกใช้บ่อยๆ ในคำเทศน์สอน การที่พระเยซูเจ้าทรงใช้วลี “บุตรแห่งมนุษย์” แทนพระองค์เอง ดู 8:20 เชิงอรรถ h

v ไม่ปรากฏชัดว่าพระเยซูเจ้าทรงพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างไร ไม่ใช่เพราะทรงประกาศว่าเป็นพระเมสสิยาห์แน่ๆ แต่อาจเป็นเพราะว่าได้ทรงอ้างว่าทรงเป็นบุตรของพระเจ้าทั้งๆ ที่ทรงถูกจับกุมอยู่

w การเรียบเรียงของ มธ ตรงนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผล พระเยซูเจ้ามิได้ทรงถูกปิดตาเหมือนใน ลก 22:63 พระองค์ย่อมบอกได้โดยง่ายว่าใครตีพระองค์ จุดสำคัญก็คือว่าพระองค์ทรงถูกเยาะเย้ยในฐานะเป็น “ประกาศก” เพราะคำพูดของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องพระวิหาร หรือที่ถูกกว่านั้น ในฐานะที่ทรงเป็น “ประกาศก-พระเมสสิยาห์” นั่นคือ เป็นผู้อ้างว่าเป็นมหาสมณะในยุคสุดท้ายผู้เสนอให้สร้างพระวิหารใหม่

x “ชาวนาซาเร็ธ” ต้นฉบับโบราณใช้คำเป็นสองแบบ คือบางฉบับใช้ Nazoraios บางฉบับใช้ Nazarenos

y เป็นสำเนียงเพี้ยนแบบชาวกาลิลี