(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

ข. คำเทศน์เกี่ยวกับพระศาสนจักร

ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

          18 1ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” 2พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา 3แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย 4ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”

การชักนำผู้อื่นให้ทำบาป

          5“ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้aในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา 6ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาๆ ที่มีความเชื่อในเราทำบาป ถ้าเขาจะถูกแขวนคอด้วยหินโม่ใหญ่ถ่วงลงใต้ทะเล ก็ยังดีกว่าสำหรับเขา 7น่าเสียดายที่โลกนี้ยังมีผู้ที่เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาป ผู้เป็นเหตุให้มนุษย์ทำบาปต้องมีอย่างแน่นอน แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้นั้นเถิด”

          8“ถ้ามือหรือเท้าของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาปb จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านเข้าสู่ชีวิตcโดยมีมือหรือเท้าข้างเดียว ยังดีกว่ามีมือหรือเท้าทั้งสองข้าง แต่ถูกทิ้งลงในไฟนิรันดร”

          9“ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตโดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้าง แต่ต้องถูกทิ้งลงในไฟนรก”d

          10“จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์eพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”f(11)

แกะที่พลัดหลง

          12“ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว แล้วแกะตัวหนึ่งบังเอิญหลงทาง เขาจะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ”

          13“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดีในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง”

          14“พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียวต้องพินาศไป”

การตักเตือนกันฉันพี่น้อง

          15“ถ้าพี่น้องของท่านทำผิดg จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง ถ้าเขาเชื่อฟัง ท่านจะได้พี่น้องกลับคืนมา 16ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย คำพูดของพยานสองคนหรือสามคนจะได้จัดเรื่องราวให้เรียบร้อย 17ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยาน จงแจ้งให้หมู่คณะทราบh ถ้าเขาไม่ยอมฟังหมู่คณะอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคนต่างศาสนา หรือคนเก็บภาษีเถิด”i

          18“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดิน จะผูกไว้ในสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านจะแก้บนแผ่นดิน ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย”j

การอธิษฐานภาวนาร่วมกัน

          19“เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนบนแผ่นดินพร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้ 20เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา”

การให้อภัยความผิดk

          21เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” 22พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง”l

อุปมาเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตา

          23อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ 24ขณะที่ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้นำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่หนึ่งหมื่นตะลันต์m 25เขาไม่มีสิ่งใดจะชำระหนี้ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตร ภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ 26ผู้รับใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้ทั้งหมด’ 27กษัตริย์ทรงสงสารจึงทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ 28ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญn เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’

          29เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำระหนี้ให้’ 30แต่เขาไม่ยอมฟัง นำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำระหนี้หมด 31เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำความทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ 32พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าขอร้อง 33เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ 34กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด 35พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำต่อท่านทำนองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง”

 

18 a “เด็กเล็กๆ” หมายถึงผู้ที่ทำตนเป็นเด็กเพราะไม่มีมารยา (เทียบ ข้อ 4)

b ตามความหมายเดิมของคำกรีก หรือและตามตัวอักษร หมายถึง “บ่วงแร้ว” (ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หกล้ม - ดู 16:23 เชิงอรรถ k) ข้อ 8-9 ไม่มีความคิดต่อเนื่องจากข้อ 7 แต่ มธ นำมาใส่ไว้ที่นี่เพราะมีคำว่า “เป็นเหตุให้ทำบาป” เหมือนในข้อ 6-7; ข้อ 8-9 นี้มีอยู่แล้วใน 5:29-30

c หมายถึง ชีวิตนิรันดร

d “ไฟนรก” แปลคำภาษาฮีบรู Ge-Hinnom หมายถึงหุบเขานอกกรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นสถานที่มีมลทิน เพราะเคยมีการฆ่าเด็กถวายบูชา (ลนต 18:21 เชิงอรรถ h) ต่อมา เนื่องจากสถานที่นี้มีไฟเผาขยะลุกอยู่ตลอดเวลา ชาวยิวจึงเปรียบสถานที่นี้กับไฟนรก ซึ่งเป็นที่ที่พระเจ้าทรงลงโทษคนชั่ว

e เป็นสำนวนจากพันธสัญญาเดิมหมายถึงการที่ข้าราชสำนักเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระมหากษัตริย์ (เทียบ 2 ซมอ 14:24; 2 พกษ 25:19; ทบต 12:15) ในที่นี้ต้องการเน้นความใกล้ชิดระหว่างทูตสวรรค์กับพระเจ้า

f สำเนาโบราณบางฉบับเพิ่มข้อ 11 “เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาเพื่อช่วยสิ่งที่เสียไปให้รอดพ้น” (เทียบ ลก 19:10)

g สำเนาโบราณหลายฉบับเติมคำว่า “ต่อท่าน” แต่ไม่จำเป็น ความผิดในที่นี้หมายถึงความผิดหนักและอื้อฉาว ไม่จำเป็นต้องทำผิดต่อบุคคลที่มีหน้าที่ตักเตือน ซึ่งต่างกับกรณีข้อ 21

h “หมู่คณะ” (ภาษากรีก ekklesia) แปลคำ qahal ในภาษาฮีบรู ซึ่งหมายถึงการชุมนุมของพี่น้องคริสตชนมากกว่าจะหมายถึง “พระศาสนจักรทั้งหมด”

i “คนต่างศาสนาและคนเก็บภาษี” เป็นผู้ที่สังคมรังเกียจ ชาวยิวที่เคร่งครัดศาสนาไม่คบหากับคนพวกนี้ (ดู 5:46 เชิงอรรถ u และ 9:10 เชิงอรรถ e) เทียบได้กับการถูกอัปเปหิจากหมู่คณะใน 1 คร 5:11 เชิงอรรถ h

j อำนาจนี้พระเยซูเจ้าได้ทรงมอบให้เปโตรแล้ว (16:19) ในที่นี้ พระองค์ทรงมอบให้แก่หมู่คณะด้วย

k คริสตชนต้องให้อภัยกัน (5:39; 6:12// เทียบ 7:2; 2 คร 2:7; อฟ 4:32; คส 3:13) ตามแบบฉบับของพระเจ้าและของพระเยซูเจ้า (ลก 23:34 เชิงอรรถ k) และปฏิบัติตามแบบฉบับของชาวอิสราเอล (ลนต 19:18-19; ดู อพย 21:25 เชิงอรรถ f) “เพื่อนบ้าน” ในพันธสัญญาเดิมหมายถึง “เพื่อนร่วมชาติ” แต่ในพันธสัญญาใหม่ หมายถึงทุกคนรวมทั้งผู้ที่ทำผิดต่อเราด้วย (5:44-45; รม 12:17-21; 1 ธส 5:15; 1 ปต 3:9; ดู สดด 5:10 เชิงอรรถ c) ความรักจะลบล้างบาปได้มาก (สภษ 10:12; อ้างถึงโดย ยก 5:20; 1 ปต 4:8)

l “เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง” ยังแปลได้อีกว่า “เจ็ดสิบเจ็ดครั้ง” (ดู 6:9 เชิงอรรถ d) มธ อธิบายคำสอนเรื่องนี้โดยใช้อุปมาในข้อ 23-25 อุปมาหลายเรื่องที่เป็นของ มธ โดยเฉพาะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โดยเน้นลักษณะตรงกันข้ามของบุคคลในเรื่อง (ดู 20:1 เชิงอรรถ a; 21:28; 22:1 เชิงอรรถ a; 24:45 เชิงอรรถ w; 25:1 เชิงอรรถ a, 31 เชิงอรรถ e; ลก 15:11 เชิงอรรถ a)

m “หนึ่งหมื่นตะลันต์” หมายถึงเงินจำนวนมากทีเดียว (เป็นพันล้านบาท) เพราะหนึ่งตะลันต์เท่ากับทองคำหนักประมาณ 30 กิโลกรัม

n “หนึ่งร้อยเหรียญ” หนึ่งเหรียญเป็นค่าจ้างรายวันของกรรมกร