(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต

          2 1ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้าน 2ประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้น 3ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ 4แต่เขานำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น 5เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้ จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”a 6ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า 7“ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้ เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ใครอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น” 8ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิตของพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไม 9อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด’ 10แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดิน” พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า 11“เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด” 12เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า “พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย”

พระเยซูเจ้าทรงเรียกเลวี

          13พระองค์เสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีกb ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา 14ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวีบุตรของอัลเฟอัส กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป

          15ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา 16บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป” 17พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป”

การโต้เถียงเรื่องการจำศีลอดอาหาร

          18บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำลังจำศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีล” 19พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เขาย่อมไม่จำศีลอดอาหาร 20แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจำศีลอดอาหาร 21ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำให้เป็นรอยขาดมากกว่าเดิม 22ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้าและถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่”

บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต

          23วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าวc 24ชาวฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมศิษย์ของท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต” 25พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำสิ่งใดในยามที่มีความจำเป็นและความหิวโหยทั้งพระองค์และผู้ติดตาม 26พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าเมื่ออาบียาธาร์dเป็นมหาสมณะ เสวยขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย”

          27แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโตe 28ดังนั้น บุตรแห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย”

 

2 a พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่าทรงมีอำนาจให้อภัยบาป ซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะของพระเจ้า (อสย 1:18 เชิงอรรถ j) พระองค์จะทรงใช้อำนาจนี้บ่อยๆ ในช่วงเวลาที่ทรงเทศน์สอนประชาชน ทรงอธิบายว่าอำนาจนี้สืบเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (มธ 20:28 เชิงอรรถ g) เป็นเสมือนพระโลหิตแห่งพันธสัญญา (มธ 26:28 เชิงอรรถ h) กลุ่มคริสตชนในภายหลังจะสอนว่าอำนาจอภัยบาปนี้เป็นผลจากการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ เช่น ใน กจ 2:38; 3:19; 10:43; 13:38; รม 3:21-26, 24 เชิงอรรถ i; 5:6-9; อฟ 1:7; 4:32; คส 1:14; 3:13; ฮบ 9:26; 1 ยน 1:7; 2:12; วว 1:5 พระเยซูเจ้ายังทรงมอบอำนาจนี้ให้กับบรรดาศิษย์โดยสัญญาว่าพระเจ้าจะทรงรับรองคำตัดสินของเขา (มธ 16:19; 18:18; ยน 20:23)

b หมายถึงทะเลสาบกาลิลี หรือ “ทะเลสาบทิเบเรียส”

c มธ และ ลก เล่าเรื่องนี้ กล่าวชัดเจนว่าบรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวขึ้นมากินเพื่อประทังความหิว แต่ มก เล่าว่าบรรดาศิษย์ได้เด็ดรวงข้าวเท่านั้น บางคนจึงแปลความข้อนี้ว่า เป็นการถอนต้นข้าวเพื่อเปิดทางเดิน เพราะผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมของชาวยิว ย่อมไม่เข้าใจว่าการเด็ดรวงข้าวมีความหมายเท่ากับ “การเก็บเกี่ยว” ซึ่งเป็นงานต้องห้ามในวันสับบาโต ผู้อ่านที่ไม่ใช่ชาวยิวจะเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็นการทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น จึงมีความผิด อย่างไรก็ตาม คำอธิบายเช่นนี้ไม่เข้ากับข้อความต่อไปที่กล่าวถึงการละเมิดวันสับบาโต

d มหาสมณะใน 1 ซมอ 21:1-7 คืออาคิเมเลค ข้อความตอนนี้กล่าวถึงอาบียาธาร์บุตรของอาคิเมเลคว่า เป็นมหาสมณะ เพราะเป็นที่รู้จักกันดีกว่าในฐานะเป็นมหาสมณะในรัชสมัยของกษัตริย์ดาวิด (2 ซมอ 20:25) หรือมิฉะนั้น มก เขียนตามธรรมประเพณีอีกสายหนึ่งว่า อาบียาธาร์เป็นบิดาของอาคิเมเลค (2 ซมอ 8:17 ฉบับภาษาฮีบรู)

e ข้อนี้ไม่ปรากฏใน มธ และ ลก น่าจะเป็นคำอธิบายเพิ่มเติมของ มก เมื่อคริสตชนมิได้ให้ความสำคัญแก่วันสับบาโตเหมือนเดิมต่อไปแล้ว (ดู ลก 5:39 เชิงอรรถ f)