“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)


(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

ศักเคียส

          19 1พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น 2ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมั่งมี 3เขาพยายามมองดูว่าใครคือพระเยซูเจ้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมีคนมากและเพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย 4เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า 5เพราะพระองค์กำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขาว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” 6เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี 7ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” 8ศักเคียสยืนขึ้น ทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า”a 9พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วยb 10บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและช่วยคนเลวทรามให้รอดพ้น”

อุปมาเรื่องผู้รับใช้สิบคนที่รับเงินไปทำทุนc

          11ขณะที่ประชาชนกำลังฟังเรื่องเหล่านี้อยู่ พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนคิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะปรากฏในไม่ช้า พระองค์จึงทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง 12พระองค์ตรัสว่า “บุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งออกเดินทางไปแดนไกลเพื่อรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมาd 13เขาเรียกผู้รับใช้สิบคนเข้ามา แล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แต่ละคน สั่งว่า ‘จงเอาเงินนี้ไปทำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ’ 14แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา จึงส่งทูตคณะหนึ่งตามไปแจ้งว่า ‘พวกเราไม่ต้องการให้บุรุษผู้นี้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา’

          15แต่เขาก็ยังได้รับตำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ที่เขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะรู้ว่าแต่ละคนได้ทำธุรกิจอย่างไร 16คนแรกเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้สิบเท่า’ 17นายจึงบอกเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจปกครองเมืองสิบเมืองเถิด’ 18คนที่สองเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ทำกำไรได้ห้าเท่า’ 19นายบอกเขาว่า ‘เจ้าจงไปปกครองเมืองห้าเมืองเถิด’ 20อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่นี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บไว้ 21ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ 22นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากคำพูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน 23ทำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ 24นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินจากเขามาให้กับผู้ที่ทำกำไรสิบเท่าเถิด’ 25คนเหล่านั้นพูดว่า ‘นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว’ 26นายจึงตอบว่า ‘ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย  27ส่วนพวกศัตรูของข้าที่ไม่ต้องการให้ข้าเป็นกษัตริย์ จงพามาที่นี่ และประหารชีวิตต่อหน้าข้า’”

V. พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนที่กรุงเยรูซาเล็ม

พระเมสสิยาห์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม

          28เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินต่อไป เสด็จนำหน้าประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 29เมื่อเสด็จเข้าใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี ใกล้กับภูเขาที่เรียกกันว่าภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงส่งศิษย์สองคนไป ทรงสั่งว่า 30“จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้า เมื่อเข้าไปแล้ว ท่านจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่มีใครเคยขี่ลาตัวนั้นเลย จงแก้เชือกและจูงมาให้เราเถิด 31ถ้าผู้ใดถามว่า ท่านแก้เชือกผูกลาทำไม จงตอบเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน” 32ศิษย์ที่พระองค์ทรงสั่งได้ไปและพบตามที่ทรงบอกไว้ 33ขณะที่เขากำลังแก้เชือกผูกลูกลาอยู่ เจ้าของลาถามว่า “ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม” 34ศิษย์ทั้งสองคนก็ตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการใช้มัน”

          35ศิษย์ทั้งสองคนจูงลูกลามาถวายพระเยซูเจ้า ปูเสื้อคลุมของตนบนหลังลา แล้วทูลเชิญพระเยซูเจ้าให้ประทับบนหลังลานั้น 36ขณะที่พระองค์เสด็จไป ประชาชนปูเสื้อคลุมของตนบนทาง 37เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้ทางลงจากภูเขามะกอกเทศแล้ว บรรดาศิษย์ต่างมีความชื่นชมยินดี โห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเพราะการอัศจรรย์ทุกอย่างที่เขาเห็น 38ว่า

            ขอถวายพระพรแด่กษัตริย์ผู้เสด็จมา

                        ในพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า

            สันติจงมีในสวรรค์

                    และพระสิริรุ่งโรจน์จงมีในที่สูงสุด”

พระเยซูเจ้าทรงปกป้องบรรดาศิษย์ที่โห่ร้องถวายพระเกียรติ

          39ชาวฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ จงห้ามบรรดาศิษย์ของท่านเถิด” 40พระองค์ตรัสตอบว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนเหล่านี้นิ่งเงียบ ก้อนหินทั้งหลายจะส่งเสียงตะโกน”

พระเยซูเจ้าทรงกันแสง

          41ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนั้นแล้วทรงกันแสง 42ตรัสว่า “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางนำไปสู่สันติe ก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นถูกซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าเสียแล้ว 43วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน 44จะบุกทำลายเจ้าและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้าไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า”f

พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร

          45พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ทรงเริ่มขับไล่บรรดาพ่อค้า ตรัสกับเขาว่า 46“มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร”

พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนในพระวิหาร

          47พระองค์ทรงสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน บรรดาหัวหน้าสมณะ ธรรมาจารย์และหัวหน้าประชาชนหาวิธีกำจัดพระองค์ 48แต่หาวิธีไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร เพราะประชาชนทุกคนกำลังตั้งใจฟังพระองค์

 

19 a การชดใช้สี่เท่าเป็นข้อกำหนดตามกฎหมายของชาวยิวสำหรับกรณีเดียวคือขโมยแกะ (อพย 21:37) กฎหมายโรมันกำหนดว่าขโมยต้องคืนของที่ขโมยมาให้สี่เท่า ถ้าถูกตัดสินว่าทำผิดจริง แต่ศักเคียสได้ทำมากกว่าที่มีกำหนดไว้ เขารู้สึกรับผิดชอบจะต้องชดใช้ความอยุติธรรมทุกอย่างที่เขาได้ทำ

b แม้ว่าศักเคียสประกอบอาชีพที่สังคมชาวยิวรังเกียจ แต่ในฐานะที่เป็นชาวยิวยังมีสิทธิที่จะได้รับ “ความรอดพ้น” (เทียบ 3:12-14) เพราะไม่มีฐานะทางสังคมใดๆ กีดกันเขาจากสิทธินี้ได้ สิทธิพิเศษทั้งหมดของชาวยิวมาจาก “การเป็นบุตรของอับราฮัม” (เทียบ 3:8; รม 4:11ฯ; กท 3:7ฯ)

c อุปมาเรื่องนี้คล้ายอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ใน มธ 25:14-30 แต่ก็มีความแตกต่างกันมาก นักวิชาการคิดว่าอุปมาทั้งสองเรื่องมีพื้นฐานมาจากเรื่องเดียวกัน ซึ่งผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสองคนได้นำมาปรับแต่งอย่างเสรี นอกจากนั้น ดูเหมือนว่า ลก ได้รวมอุปมาสองเรื่องไว้ด้วยกันที่นี่ นั่นคือเรื่องเงินทำทุน (ข้อ 12-13, 15-26) และเรื่องผู้มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์ (ข้อ 12, 14, 17, 19, 27)

d การเดินทางไปรับตำแหน่งกษัตริย์นี้อาจเป็นการพาดพิงถึงการเดินทางของอารเคลาอัสไปกรุงโรมในปี 4 ก่อน ค.ศ. เพื่อขอให้รัฐบาลโรมรับรองพินัยกรรมของกษัตริย์เฮโรดมหาราช ซึ่งกำหนดให้เขาเป็นกษัตริย์ต่อไป ชาวยิวได้ส่งทูตคณะหนึ่งตามไปเพื่อขัดขวางการนี้ (เทียบ ข้อ 14)

e หมายถึงสันติของยุคพระเมสสิยาห์ (ดู อสย 11:6 เชิงอรรถ e; ฮชย 2:20 เชิงอรรถ s)

f คำทำนายทั้งหมดนี้ประกอบด้วยถ้อยคำที่ยืมมาจากพันธสัญญาเดิม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสังเกตได้ในต้นฉบับภาษากรีก สำหรับข้อ 43 ดู อสย 29:3; 37:33; ยรม 52:4-5; อสค 4:1-3; 21:27) สำหรับข้อ 44 ดู สดด 137:9; ฮชย 10:14; 14:1; นฮม 3:10 ข้อความเหล่านี้ชวนให้คิดถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็มในปี 587 ก่อน ค.ศ. มากกว่าการทำลายกรุงเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 70 เพราะฉะนั้น ข้อความเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เราสรุปได้ว่า เมื่อ ลก เขียนพระวรสารนั้น กรุงเยรูซาเล็มได้ถูกทำลายแล้วในปี ค.ศ. 70 (ดู 17:22 เชิงอรรถ f; 21:20 เชิงอรรถ c)

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก