(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

14 1“ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลยa

จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย

2ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย

ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้วb

เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน

3และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว

เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วยc

เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด

ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย

4ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทางแล้ว”

5โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จักหนทางได้อย่างไร” 6พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า

“เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิตd

ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา

7ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราe ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย

บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว”

8ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า 9“ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ

ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย

ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’

10ท่านไม่เชื่อหรือfว่า

เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำรงอยู่ในเรา

วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา

แต่พระบิดาผู้สถิตในเรา

ทรงกระทำกิจการของพระองค์

11ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า

เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำรงอยู่ในเรา

หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด

12เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า

ผู้ที่เชื่อในเรา

ก็จะทำกิจการที่เรากำลังทำอยู่ด้วย

และจะทำกิจการที่ใหญ่กว่านั้นอีก

เพราะเรากำลังจะไปเฝ้าพระบิดาg

13สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น

เพื่อพระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร

14ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเรา

เราจะทำให้

15ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราh

16และเราจะวอนขอพระบิดา

แล้วพระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่านi

เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป

17คือพระจิตแห่งความจริง

ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้

เพราะมองพระองค์ไม่เห็น และไม่รู้จักพระองค์

แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์

เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่กับท่าน และอยู่ในท่านj

18เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำพร้า

เราจะกลับมาหาท่าน

19ในไม่ช้า โลกจะไม่เห็นเรา

แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิต

และท่านก็จะมีชีวิตด้วยk

20ในวันนั้นl

ท่านจะรู้ว่า เราอยู่ในพระบิดาของเรา

ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่านm

21ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม

ผู้นั้นรักเรา

และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา

และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา”n

22ยูดาสo มิใช่ยูดาสอิสคาริโอททูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำไมพระองค์ทรงต้องการแสดงพระองค์แก่พวกเรา แต่ไม่แสดงพระองค์แก่โลก” 23พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า

“ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเราp

พระบิดาของเราจะทรงรักเขา

พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา

จะทรงพำนักอยู่กับเขา

24ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ปฏิบัติตามวาจาของเรา

วาจาที่ท่านได้ยินนี้qไม่ใช่วาจาของเรา

แต่เป็นของพระบิดา ผู้ทรงส่งเรามา

25เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟัง

ขณะที่เรายังอยู่กับท่าน

26แต่พระผู้ช่วยเหลือคือพระจิตเจ้า

ที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้น

จะทรงสอนท่านทุกสิ่ง

และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่านr

27เรามอบสันติสุขsไว้ให้ท่านทั้งหลาย

เราให้สันติสุขของเราแก่ท่าน

เราให้สันติสุขแก่ท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้

ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย

28ท่านได้ยินที่เราบอกกับท่านแล้วว่า

เรากำลังจะไป และเราจะกลับมาหาท่านทั้งหลาย

ถ้าท่านรักเรา ท่านคงยินดีที่เรากำลังไปเฝ้าพระบิดา

เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเราt

29และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น

เพื่อว่าเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะเชื่อ

30เราจะพูดกับท่านต่อไปอีกไม่นานu

เพราะซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้กำลังมา

มันไม่มีอำนาจใดเหนือเรา

31แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา

และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชาให้เราทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น…

ลุกขึ้น เราจงไปกันเถิด”

 

เรียนพระคัมภีร์กับคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร
พระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 14


 

14 a บรรดาอัครสาวกรู้สึกหวั่นไหวเพราะพระเยซูเจ้าได้ตรัสล่วงหน้าว่ายูดาสจะทรยศต่อพระองค์ พระองค์จะจากไป และเปโตรจะปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงต้องการทำให้ความเชื่อของบรรดาอัครสาวกมั่นคง ข้อความในบทที่ 14 นี้ สะท้อนจุดประสงค์นี้อย่างชัดเจน

b ประโยคนี้ยังแปลได้อีกว่า มิฉะนั้น เราคงได้บอกท่าน (ว่าเรากำลังไปไหน)”

c พระสัญญานี้รักษาความหวังของพระศาสนจักรให้แจ่มใสอยู่เสมอ (เทียบ 1 คร 4:5; 11:26; 16:22; 1 ธส 4:16ฯ; 1 ยน 2:28; วว 22:17, 20)

d พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง เพราะพระองค์ทรงเปิดเผยพระบิดาให้เราทราบ (12:45; 14:9) พระองค์ทรงชี้ทางไปหาพระบิดาให้แก่เรา (กจ 9:2 เชิงอรรถ b) พระองค์แต่ผู้เดียวทรงเปิดทางหาพระบิดาให้เรา (ยน 1:18; 14:4-7) พระองค์ทรงมาจากพระบิดา และกลับไปหาพระบิดา (7:29, 33; 13:3; 16:28) และทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา (10:30; 12:45; 14:9; 17:22) พระองค์ทรงเป็นองค์ความจริง (8:32 เชิงอรรถ j) และชีวิต (3:15 เชิงอรรถ j)

e สำเนาโบราณบางฉบับว่า ถ้าท่านทั้งหลายได้รู้จักเราแล้ว ท่านคงได้รู้จัก…”

f เมื่อฟีลิปขอให้พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระบิดาให้เห็นอย่างอัศจรรย์ เขาขาดความเชื่อ ด้วยความเชื่อเท่านั้นเราอาจเห็นพระบิดาในพระบุตร และเห็นพระบุตรในพระบิดา

g พระเยซูเจ้าทรงนำการเปิดเผย และความรอดพ้นมาให้มนุษย์ อัศจรรย์ของพระองค์เป็น เครื่องหมาย ของสองสิ่งนี้ (2:11 เชิงอรรถ f) กิจการ ของบรรดาศิษย์จะเป็นการต่อภารกิจนี้ของพระองค์ พระเยซูเจ้าผู้ประทับเบื้องขวาของพระบิดาในพระสิริรุ่งโรจน์ จะทรงส่งพระจิตเจ้าผู้จะบันดาลให้บรรดาศิษย์กระทำกิจการยิ่งใหญ่นี้ต่อไป (7:39; 16:7)

h สำเนาโบราณบางฉบับว่า ท่านจงปฏิบัติ…” พระเยซูเจ้าทรงยืนยันถึงสิทธิของพระองค์ที่จะได้รับความรัก และการนอบน้อมเชื่อฟังเช่นเดียวกับพระเจ้าเอง

i คำภาษากรีก parakletos แปลยากเพราะมีความหมายหลายอย่างเช่น ทนาย” “ผู้แก้ต่าง” “ผู้อ้อนวอนแทน” “ผู้ให้คำปรึกษา” “ผู้อุปการะ” “ผู้ค้ำจุน * ยน เปรียบเทียบงานของพระจิตเจ้ากับงานของพระเยซูเจ้าที่เกี่ยวข้องกับบรรดาศิษย์ ทำให้เห็นว่าพระจิตเจ้าเป็นพระบุคคลเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า ไม่เป็นเพียงแต่ พลังของพระเจ้า เท่านั้น (ดู ข้อ 26 เชิงอรรถ r; 1 ยน 2:1)

j สำเนาโบราณบางฉบับว่า และอยู่ในท่าน

k โลกจะไม่เห็นพระเยซูเจ้าอีกแล้ว (เทียบ 7:34; 8:21) แต่บรรดาศิษย์จะเห็นพระองค์อีก เมื่อจะทรงกลับคืนพระชนมชีพ และจะเห็นพระองค์ไม่เพียงแต่ด้วยสายตาเท่านั้น แต่ด้วยความเชื่ออีกด้วย (20:29)

l ในวันนั้น เป็นวลีที่บรรดาประกาศกใช้บอกว่าพระเจ้าทรงเข้ามาในประวัติศาสตร์เพื่อช่วยมนุษย์อย่างอัศจรรย์ (ดู อสย 2:17; 4:1ฯ) วันนั้น อาจจะหมายถึง ระยะเวลา หนึ่งก็ได้ ในที่นี้หมายถึง ระยะเวลา หลังการกลับคืนพระชนมชีพ

m ความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูเจ้ากับบรรดาศิษย์เปรียบเทียบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระบิดา (6:57; 10:14-15; 15:9)

n พระเยซูเจ้าจะทรงแสดงองค์แก่บรรดาศิษย์เมื่อจะเสด็จมาพำนักอยู่ในเขาพร้อมกับพระบิดา

o ยูดาสผู้นี้อาจเป็นคนเดียวกับยูดาส น้องชายของยากอบ ใน ลก 6:16 และ กจ 1:13 หรือกับธัดเดอัสใน มธ 10:3 และ มก 3:18

p โลกไม่รักพระเยซูเจ้า จึงไม่ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ (8:37, 43, 47)

q สำเนาโบราณบางฉบับว่า วาจาของเรา

r เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จจากไปแล้ว บรรดาผู้มีความเชื่อจะมีพระจิตเจ้าแทนพระองค์ (ข้อ 16, 17; 16:7 ดู 1:33 เชิงอรรถ x) พระจิตเจ้าทรงเป็น ผู้อ้อนวอนพระบิดา แทนเรา (เทียบ 1 ยน 2:1) พระจิตเจ้าจะทรงดลใจผู้มีความเชื่อในการพิจารณาคดี (15:26, 27; เทียบ มธ 10:19-20//; ลก 12:11-12; กจ 5:32) พระจิตเจ้าเป็นพระจิตแห่งความจริง ซึ่งนำมนุษยชาติไปสู่ความจริงสมบูรณ์ (16:13) ทรงสอนมนุษย์ให้เข้าใจธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้า ให้เข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้พระคัมภีร์เป็นความจริง (5:39 เชิงอรรถ r) พระจิตเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์เข้าใจความหมายของพระวาจาของพระเยซูเจ้า (2:19 เชิงอรรถ g) ความหมายของกิจการของเครื่องหมายอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ (ข้อ 16; 16:13; 1 ยน 2:20ฯ, 27) จนถึงเวลานั้นบรรดาศิษย์ไม่ได้เข้าใจความหมายต่างๆ เหล่านี้เลย (ยน 2:22; 12:16; 13:7; 20:9) ด้วยวิธีนี้ พระจิตเจ้าจะต้องเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้า (15:26; 1ยน 5:6, 7) และทำให้โลกที่ไม่มีความเชื่อต้องอับอาย (ยน 16:8-11)

s สันติสุข หรือ Shalom เป็นคำทักทาย และคำอำลาของชาวยิว (ดู ลก 10:5//) สันติสุข หรือ Shalom หมายถึง สุขภาพร่างกาย แต่ในภายหลังมีความหมายเพิ่มขึ้น หมายถึงความสุขสมบูรณ์และการรอดพ้นที่พระเมสสิยาห์จะนำมาให้ (2 ธส 3:16)

t แม้พระบุตรเสมอเท่าพระบิดา (8:24 เชิงอรรถ g; 10:30 เชิงอรรถ p) พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ถูกปิดบังไว้ชั่วขณะ (1:14) เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปหาพระบิดา พระสิริรุ่งโรจน์นี้จะปรากฏแจ้งอีกครั้งหนึ่ง (17:5 เชิงอรรถ f เทียบ ฟป 2:6-9; ฮบ 1:3)

u ยังแปลได้อีกว่า เราจะไม่พูดมากกับท่านอีกต่อไป