“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2017
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
ยน 4:43-54…
43หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี 44พระองค์เคยทรงประกาศไว้ว่า ประกาศกมักไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน 45แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำต่าง ๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย


46พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม 47เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต 48พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” 49ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” 50พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขา จึงเดินทางจากไป 51ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ คนรับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว 52เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรของเขามีอาการดีขึ้น คนรับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” 53บิดาจึงรู้ว่า นั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ
54พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้ หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• ประชาชนที่กาลิลีได้ตอนรับพระองค์อย่างดี เพราะ “ได้เห็น” การกระทำต่างๆของพระองค์ ที่เป็นการอัศจรรย์เมื่อพวกเขาได้ตามเสด็จพระองค์ไปที่เยรูซาเล็ม การเห็นทำให้พวกเขาได้เชื่อ และ “เห็นกับเชื่อต้องไปด้วยกันหรือ” ไม่จริงครับ “ถ้าเห็นแล้ว ไม่ต้องเชื่อ ถ้าเชื่อจริง ไมจำเป็นต้องเห็น”

• พระวรสารนักบุญยอห์นเน้นเป้าหมายสำคัญมากๆ คือ “การเชื่อในพระวาจาของพระเยซู” (to believe in Jesus’ Word or in Him since He is the Word of God) ความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องเห็นครับ เพราะอันที่จริงถ้าเห็นแล้วก็ไม่ต้องเชื่อแล้วเพราะได้เห็น... และพระวรสารนักบุญยอห์นก็เน้นความเชื่อ ไม่ใช่การได้เห็น
o พี่น้องจำเรื่องนักบุญโทมัสในพระวรสารนักบุญยอห์นได้ไหม เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนชีพ ทรงเสด็จมาหาบรรดาศิษย์ แต่โทมัสไม่อยู่ เมื่อบรรดาศิษย์เล่าให้ฟังถึงพระองค์
o โทมัสจอมหัวดื้อประกาศว่าอะไรจำได้ไหมครับ... เป็นคำประกาศที่คลาสสิกมาก คริสตชนทุกคนคุ้นเคยจริงๆ ท่านยืนยันว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” (ยน 20:25) ยืนยันเสียงแข็งเลยครับ แต่ครั้งที่สองที่พระองค์ประจักษ์มาหาพวกเขาโทมัสอยู่ด้วย อะไรเกิดขึ้นครับ...
o พระเยซูเจ้าในครั้งนี้ตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด”
o พระองค์ไม่ใช่เพียงปรากฏมาให้เขาเห็นแต่ทรงเรียกให้มาสัมผัสพระองค์ เรียกว่า มาดูกันจะๆไปเลย จนโทมัสร้องประโยคที่คลาสสิกอีกประโยคว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” เรียกว่า ร้องเสียงหลงเลยครับ ยอมจำนน เพราะได้เห็น และสารภาพประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (My Lord and my God)
o แต่เราทราบดีว่า พระเยซูเจ้าทรงประกาศถ้อยคำที่คลาสสิกที่สุดที่หมายถึง “ความเชื่อแท้จริง” ความเชื่อแท้ไม่จำเป็นต้องเห็น พระองค์ตรัสกับโทมัสว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นก็เป็นสุข”

• สรุปว่า ตลอดพระวรสารนักบุญยอห์น...
o “ความเชื่อในพระเยซูเจ้า เป็นบุญจริงๆ และความเชื่อนั้น แม้ไม่ได้เห็นแต่เชื่อ นั่นคือความเชื่อแท้จริง”
o แต่เราพบว่า ตลอดพระวรสารนักบุญยอห์น ถ้าเราออกสำรวจ และอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะพบว่า “ชาวยิว และบรรดาฟาริสีธรรมาจารย์” พวกเขากลับไม่เคยยอมเชื่อในพระองค์เอาเสียเลย พระองค์เสด็จมาเพื่อพวกเขาเป็นพวกแรก แต่พวกเขากลับไม่เคยยอมรับพระองค์เสียเลย กลับสะดุดและปฏิเสธพระองค์ตลอดเวลา ผลตอบรับของพวกเขา “ไม่เคยยอมเชื่อในพระองค์” มีคนจำนวนมากเชื่อในพระองค์ครับ แต่ไม่ใช่ชาวยิวหรือพวกหัวหน้าของชาวยิวเลย...
o ตรงกันข้าม หญิงชาวสะมาเรียไม่ใช่ชาวยิวกลับได้เชื่อในพระองค์ และชาวสะมาเรียทั้งเมืองที่ สิคาร์ (ยน 4) พวกเขาเชื่อในพระองค์ ทั้งๆที่พวกเขาเป็นชาวสะมาเรียซึ่งปกติไม่เป็นที่ยอมรับแก่กันสำหรับชาวยิวเลย แต่พวกเขาเชื่อ
o คนตาบอดแต่กำเนิด (ยน 9) เขาเชื่อในพระเยซูและยอมรับพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นได้ด้วยตาที่เคยบอดแต่กำเนิดแท้ แต่ได้เห็นและได้เชื่อในพระองค์

• พี่น้องที่รัก... พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ “ข้าราชการคนนั้น” เป็นตัวอย่างและเป็นต้นแบบของความเชื่อจริงๆครับ เราต้องหันกลับมามองดูความจริงแห่งความเชื่อครับ... ข้าราชการคนนี้เป็นชาวยิวหรือไม่เราไม่แน่ใจ แต่ข้าราชการนี้ต้นฉบับภาษาเป็นอย่างไร
o ภาษากรีกใช้คำว่า βασιλικὸς อ่านว่า “บาสิลิคอส” คำนี้เราพบอีกสองสามแห่งในพระคัมภีร์ เช่นในกิจการอัครสาวก กจ 12:20 และ ยก 2:8 สองแห่งนี้ใช้ในบริบทของเพื่อนบ้านที่เป็นคนต่างชาติ
o คำแปลที่ใช้ในพระวรสาร คือ ข้าราชการ ถ้าเป็นข้าราชการที่กาลิลี เขาน่าจะเป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ชาวยิว ดังนั้น เราพอจะพิสูจน์ได้ว่า ข้าราชการหรือที่คำแปลหลายสำนวนใช้คำว่า คนชั้นสูง... Noble man หรือ Royal official จึงน่าจะหมายถึงคนต่างชาติแน่นอนครับ

• สิ่งที่เราควรเรียนรู้ความเชื่อของเขาครับ... ต้องเรียนรู้จริง และเป็นเจตนาของยอห์น ชี้กระจ่างจริงว่า เขาเชื่อพระวาจาของพระเยซู เชื่อจริงๆ แม้ไม่ได้เห็นว่าพระวาจานั้นเป็นจริงไหม คนของเขาที่ป่วยนั้นหายแล้วจริงๆไหม เรามาดูพระวาจาวันนี้กันดีๆอีกที...
o “เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้นชีวิต”
o นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก และพระคัมภีร์ทำให้เห็นแล้วว่า เขาเชื่อในพระองค์จริงๆ ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูกของตน เขาเป็นคนชั้นสูงในสังคม แต่เขาได้ยินถึงพระองค์ เขาออกเดินทางไปหาพระองค์ ไปทูลขอพระองค์ไปรักษาลูกของเขาให้รอด ลูกของเขาซึ่งกำลังจะสิ้นชีวิต ในสถานการณ์เช่นนี้
o การที่เขาได้ยินถึงพระองค์ เขาออกเดินทางมาหาพระองค์ แสดงให้เห็นว่า แม้เป็นคนชั้นสูง ข้าราชการ คนต่างชาติ แต่เขาเชื่อ เขาหวังในพระองค์จริงๆ “ความเชื่อในพระองค์” ทำให้เขา “ออกเดินทางไปสู่ความเชื่อและความหวังนั้น”
o “พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่เชื่อเลย” พระเยซูเจ้าท้าทายความเชื่อของเขา เน้นว่า ความเชื่อของเขาคงจะต้อง “ได้เห็นอัศจรรย์และปาติหาริย์”
o ใช่ครับ คนเราเชื่อและอยากเห็นปาฏิหาริย์ทั้งนั้น เราขอพระเจ้า เราขอปาฏิหาริย์ เราออกเดินทางไปหาอัศจรรย์ ไปที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่ขลังๆ เราออกไป เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมหาสมุทรข้ามทวีป ไปยังที่ต่างๆที่เขาว่ามีอัศจรรย์...
o ข้าราชการคนนี้กำลังถูกท้าทายจากพระเยซูเจ้าจริงๆ ว่า ถ้าเขาได้เห็นอัศจรรย์เขาจะเชื่อ เหมือนคนอื่นๆที่เชื่อเพราะได้เห็น หรือเชื่อและก็พยายามออกหาเพื่อได้เห็น... พระองค์ตรัสเช่นนี้กับข้าราชาการคนนั้น แต่เขาก็ดูเหมือนจะเร่งขอให้พระองค์ไป... เพราะ เพราะว่า ลูกเขากำลังจะสิ้นใจ ขอพระองค์เสด็จไปก่อน ก่อนที่เขาจะตาย... (ตรงนี้ยิ่งทำให้พ่อเห็นว่า เขาเชื่อในตัวพระองค์จริงๆ เชื่อว่าถ้าพระองค์เสด็จไป ลูกของเขาจะรอดแน่นอน)
o “พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขา จึงเดินทางจากไป ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ คนรับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว”
o คำตอบแห่งความสุดยอดอยู่ที่นี่ครับ ความเชื่อ คือความเชื่อใน “พระวาจาของพระองค์” แม้ไม่ได้ตัวพระองค์เสด็จไป แต่พระองค์ตรัส... ให้เขากลับไป บุตรของเขาพ้นอันตราย... พระคัมภีร์บันทึกว่า “เขาเชื่อในพระวาจา....จึงเดินทางจากไป” นี่แหละครับ สุดยอดของคำสอนของพระวรสารวันนี้... “เชื่อในพระคำหรือพระวาจาของพระองค์” ที่คือสุดยอดของความเชื่อที่พระวรสารนำเสนอ... “พระองค์ตรัส” เชื่อได้เลย... เขาออกเดินทางกลับไปเลย
o ขณะเขาเดินกลับไป... เชื่อในพระวาจาและกลับไป ไม่ได้ดึงพระองค์ไป เพียงตรัสกับเขา เขาเชื่อ... ยังไม่ถึงบ้าน คนใช้มาบอกว่าบุตรของเขารอดชีวิต พันอันตราย... พระวรสารเล่าว่า เขาซักถามเวลา... และเวลาที่ไข้ทุเราคือเวลาบ่ายโมง... ณ เวลานั้น คือเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัส (พระวาจา) “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขาทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อในพระองค์

• พี่น้องที่รักครับ...พระวาจาขอพระจ้าวันนี้ ดูเผินๆเหมือนกับไม่มีอะไร เป็นเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง
o แต่ แต่ แต่ พระวาจาวันนี้ เผยถึง สุดยอดของความเชื่อที่เราต้องไตร่ตรองและเชื่อครับ...
o ข้าราชการคนนี้เป็นตัวอย่างที่ยอห์นเสนอให้เราได้พิจารณาความเชื่อที่แท้จริงๆ คือ เชื่อในพระวาจาของพระองค์ เชื่อ เพราะพระองค์ตรัสพระวาจา เชื่อบริสุทธิ์ที่สุด ไม่ได้เห็น ได้มีอะไรมากไปกว่า “พระวาจา” เขาเชื่อและกลับไปด้วยความเชื่อจริงๆ

• พ่อสรุปละครับ
o พี่น้องครับ เราชื่อกันทุกคน เราเป็นคริสตชนมีความเชื่อครับ.. แต่เราเชื่อในพระวาจาของพระองค์ไหมครับ... หลายคนคงบอกว่าเชื่อ
o คำถามต่อไปคือ เราอ่านพระคัมภีร์ไหม เราไตร่ตรองพระวาจาบ้างไหม พระวาจาของพระเจ้าจะทำให้เราเชื่อในพระองค์ครับ เชื่อพ่อเถอะ บางคนเป็นคริสตชนทั้งชีวิตบอกว่าเชื่อแต่ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ ฟังเทศน์ก็หลับหรือคนเทศน์ทำให้หลับก็ไม่ทราบ พ่อที่เทศน์เองก็ต้องเชื่อในสิ่งที่เทศน์ รักจริงๆ เชื่อเด็ดขาดในพระวาจาไหม ถ้าไม่ ก็จะพากันหลับ พากันเบื่อไปหมด หรืออาจต้องไปหาโวหารหรือเรื่องเยอะแยะมาเทศน์ แต่ไม่ใช่พระคัมภีร์ ไม่ใช่พระวาจา แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไร...
o บางคนเชื่อ ศรัทธา และวิ่งหาอัศจรรย์การประจักษ์มากมาย... ไม่เชื่อหรือครับ เชื่อในพระวาจาและอัศจรรย์จะเกิดขึ้นเสมอ บางทีวิ่งหาอัศจรรย์มากมายของขลังเต็มบ้าน แต่ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์เลย.. เสียดายนะครับ
o พี่น้องครับ.. เรามาฟื้นฟูชีวิตคริสตชนกันครับ... เชื่อในพระวาจา อ่านพระวาจา และดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระเจ้าเสมอนะครับ.... ขอพระเจ้าอวยพรให้เราเชื่ออย่างบริสุทธิ์ในหัวใจไร้รอยใดๆของความสงสัย แต่เชื่อในพระวาจาของพระองค์นะครับ...

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก