รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ 2015
หลังวันพุธรับเถ้า
ลก 9:22-25…
22พระองค์ตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดา ผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”
23หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา 24ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ 25มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง

• ถึงเวลาของเทศกาลมหาพรต ถึงเวลาที่เราจะ “ฟัง” เสียงของพระเจ้ามากกว่าที่เคย.. พี่น้องที่รักเชื่อพ่อเถอะ เชื่อได้เลยว่า “พระวาจาของพระเจ้าจะขัดเกลาจิตใจของเรา” 


• เทศกาลมหาพรตคือเวลาของการขดเกลาจิตใจ แล้วอะไรจะสามารถขัดเกลาจิตใจของเราได้อย่างดี พ่อเชื่อว่า “การฟัง” การที่เราได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน ได้รับฟัง จากเสียงที่เราได้ยินในโสตประสาทนั้นมักจะบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเราเสมอ...


• พ่อเล่าเรื่องราวต่อจากเมื่อวานที่พ่อเขียนบทเทศน์วันพุธรับเถ้าที่สนามบิน เบนกูเรียน... ส่วนบทนี้พ่อเขียนบนเครื่องบิน เมื่อพ่อตื่นเช้าแล้ว ขณะที่เครื่องบินอยู่เหนืออ่าวเบงกอลผ่านจากอินเดียมานักชั่งโมงเศษ กำลังจะถึงพม่าและก็ประเทศไทย อีกไม่นาน พ่อเล่าเรื่องที่เกิดบนเรือบินต่อเพราะเรือบินลำนี้เป็นของอิสราเอล ชื่อว่า “เอล-อัล” เขาโฆษณาก่อนเครื่องออกเสมอ “เอลอัล ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สายการบิน แต่คืออิสราเอล” นี่คือความภูมิใจของชนชาติอิสราเอล ที่มีรากมาจากศาสนายิวและชนชาติยิว... ลูกหลานของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ... พ่อเล่าต่อ พ่อเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าคิดและไตร่ตรองบนเรือบินนี้ ขอเก็บมาเล่าให้ฟัง

o ตั้งแต่เช้ามืด พ่อก็เห็นชาวอิสราเอล (ศาสนายิว) ที่เคร่งครัดบางคนลุกขึ้นในพื้นที่อันจำกัดของเรือบิน เขาเริ่มแต่งตัวเพื่อภาวนาตามธรรมเนียม แม้ยังมืดๆแต่พ่อก็มองดูพวกเขา เขานำสายหนังผูกกลักพระธรรมมาคาดที่หน้าผาก และสายหนังนั้นก็ลัดลงไปที่รอบคอไปผูกไว้ที่ท้ายทอย... และก็หยิบผ้าขึ้นมา (ผ้าขาวๆครีม มีหลายสีน้ำเงินดำเป็นรูปทางศาสนา... และก็คลุมศีรษะของตน จากนั้น ก็ยืนขึ้น นั่งก็ไม่ได้ นี่ก็บนเรือบินที่บินสูงสิบกิโลเมตรแล้วนะครับ และก็เริ่มภาวนา โยกๆตัวโค้งไปมาตามวิธีการภาวนา เห็นเป็นเงาๆตะคุ่มๆ (ดูเหมือนเวลาดูหนังผีไทยๆเรา ถ้าเป็นเด็กๆไทยอยู่ใกล้ๆคงร้องจ๊ากไปนานแล้ว) นี่คือประเด็นที่หนึ่งถึงความยุ่งยากของเรือบินและการเดินทางของชาวอิสราเอล หรือคนที่เคร่งครัดทางศาสนา แต่เขาก็ดูทำด้วยความสุขใจ (น่าจะจริง) พ่อก็คิดเหมือนกัน ถ้าพ่อเองถึงเวลาถวายมิสซาบังเอิญอยู่บนเรือบิน และพ่อต้องแต่งชุดพระสงฆ์แบบถวายมิสซาเต็มยศ คือ เสื้อหล่อ อัลบาขาว ผ้าคล้องคอ (สตอลา) และสวกกาซูลา และต้องใช้โต๊ะหน้าที่นั่งเล็กๆทำเป็นพระแท่น ปูผ้าขาว ตั้งกางเขน ต้องมีจอกกาลิกส์ หนังสือ แผ่นปัง น้ำล้างมือ ผ้าเช็ดมือ ฯลฯ รวมทั้งจุดเทียน (อันนี้ติดคุกแน่เพราะเขาห้ามแม้กระทั่งสูบบุหรี่บนเครื่องเขียนว่าจำคุก 12 เดือน 555 โชคดีที่ไม่ต้องทำมิสซาบนเครื่องบิน) สรุปว่า “ศาสนายุ่งยากขนาดนั้นเชียวหรือ??? พระเจ้าเรียกร้องเราขนาดนั้นเชียวหรือ???”

o พอถึงเวลาอาหารเช้า ก็ยุ่งมากๆเช่นกันครับ ถ้าเป็นเรือบินยิว ก็ต้องเป็นอาหารที่เรียกว่า “โครเช่อ” คือ มีรับบีการันตีคุณภาพว่าเป็นไปตามหลัการของศาสนา.. ถ้าเป็นเรือบินอาหรับก็ต้องมีฮาลาล สรุปว่าไม่ต่างกัน “ลำบากพอกัน” โชคดีที่ศาสนาคริสตชนทานได้ทุกอย่าง เพียงแต่ต้อง “อดอาหารหรือจำศีลอดเนื้อ หมายถึงมัธยัสตนเอง บังคับตนเองบ้าง ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อแบ่งปันได้มากขึ้น และสอนตนเองให้รู้จักรักพระเจ้า... ให้อดเพียงวันพุธรับเถ้าและวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น หลายแห่งก็ยังเสนอให้ทำทุกๆวันศุกร์ ก็โอเคนะครับ ถ้าต้องมีอาหารแบบคริสต์เฉพาะเจาะจง เรือบินทั่วโลกคงวุ่นๆอีกเยอะ พ่อเห็นหลายคนบนเครื่องบินที่พ่อนั่งอยู่ก็เลือก ระวัง ไม่รับประทานโน่นนี่ ดูวุ่นวาย เพราะเรื่องของเรื่องคือความเชื่อทางศาสนาและธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัด (บางทีเกินไปไหมหนอ พระเจ้าเรียกร้องขนาดนั้นเลยหรือ??? พระเจ้าพอพระทัยการถือธรรมเนียมของมนุษย์แบบนี้ที่บอกว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้า ต้องการกระนั้นหรือ??? ตกลงแบบไหนที่พระเจ้าต้องการ เคร่งขนาดไหนที่พระเจ้าจะพอพระทัย??? นี่ถ้ายิวเห็นพ่อนั่งเขียนบทเทศน์นี้เพื่อไตร่ตรองพระวาจา และรู้ว่าพ่อแอบคิดถึงวิถีของพวกเขา เขาคงถามพ่อเหมือนกันว่า แบบนี้หรือที่พระเจ้าพอพระทัย 555 เอาเป็นว่า พ่อกำลังไตร่ตรองจากสถานการณ์รอบข้างก็แล้วกันนะครับ)


• พี่น้องที่รัก พ่อเขียนมาถึงตรงนี้ พี่น้องอ่านมา คงทราบเป็นนัยๆ แล้วว่าพ่อต้องการอะไร

o เจตนาของพ่อคือกำลังพาเราเข้าสู่มหาพรต เดินทางมหาพรต เวลาพิเศษแห่งความจริงของศรัทธาและศาสนา เวลาเพื่อเราจะใกล้ชิดพระเจ้าเป็นพิเศษครับ.. และพวกเราจะทำอย่างไรกันดี...

1. พวกเราคริสตชนจะทำอะไรในมหาพรตตามความหมายที่ดีที่สุดของเรา และตามคำสอนของพระเยซูเจ้าดีครับ... 

2. เราจะนุ่งผ้ากระสอบไหม 

3. เราจะอดอาหารสักสี่สิบวันไหม 

4. เราจะนุ่งขาวห่มขาวและแต่งตัวพิเศษไหม 

5. เราจะประกาศว่าเราฟังพระวาจาของพระเจ้า รำพึงถึงพระคัมภีร์ตลอดเวลาไหม โดยเอาพระคัมภีร์ (เล่มใหม่ที่เรียกว่า ฉบับสมบูรณ์เล่มละกิโลกว่าๆหรือสองกิโลนั้นนะครับ) มาคิดติดไว้บนศีรษะเวลาเดินไปไหนมาไหนไหม??? 

6. เราจะทำพิธีแห่ทำบุญให้ทานเก้าวัดสิบวัดหรือยี่สิบไว้ไหม???


o ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการที่พระเยซูเจ้าให้แบบฉบับแก่เรา “ทรงรักเราถึงกับรับทรมานเพื่อเรา” รัก รัก รัก ไม่มีอะไรมีค่ากว่านี้อีกแล้วครับ... นี่คือ “วัฒนธรรมและประเพณี” ที่ล้ำค่าที่สุดของเรา ให้เราเชื่อในพระองค์และเดินตามพระองค์ในวัฒนธรรมแห่งความรักนี้เถิดนะ ครับ... “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา” ไม้กางเขนคือเครื่องหมายแห่งความรักนะครับ... คือวัฒนธรรมแห่งความรักของเราเสมอไป

o ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ