รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2014
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
วว 10:8-11…         
8เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์กล่าวแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “จงไปเอาม้วนหนังสือที่คลี่อยู่ในมือของทูตสวรรค์ซึ่งยืนอยู่ในทะเลและบน แผ่นดิน” 9ข้าพเจ้าจึงไปหาทูตสวรรค์และขอม้วนหนังสือเล็ก ๆ นั้น ทูตสวรรค์บอกข้าพเจ้าว่า “จงเอาไปและกินเถิด มันจะทำให้ท้องของท่านขม แต่เมื่ออยู่ในปาก มันจะหวานเหมือนน้ำผึ้ง” 10ข้าพเจ้าจึงนำม้วนหนังสือเล็ก ๆ นั้นจากมือของทูตสวรรค์ แล้วกิน เมื่ออยู่ในปากมันหวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากลืนลงไป ก็รู้สึกขมในท้อง 11มีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “ท่านต้องประกาศพระวาจาอีกเกี่ยวกับประเทศ ชาติ ภาษา และกษัตริย์จำนวนมาก”

 


อรรถาธิบายและไตร่ตรอง

• “จงเอาไปและกินเถิด มันจะทำให้ท้องของท่านขม แต่เมื่ออยู่ในปาก มันจะหวานเหมือนน้ำผึ้ง” “ท่านต้องประกาศพระวาจาอีกเกี่ยวกับประเทศ ชาติ ภาษา และกษัตริย์จำนวนมา”


• พระวาจาวันนี้ดูไม่ยาวเลย และเป็นการเรียกร้อง ให้ “กินม้วนหนังสือ หรือกลืนกินพระวาจาของพระเจ้าเพื่อประกาศ... กินเข้าไปแล้วจะหวานเหมือนน้ำผึ้งในปาก แต่รู้สึกได้ถึงความขมในท้อง”


• พ่อเคยเทศน์มาเยอะมากๆ เหมือนกันในชีวิต สอนพระคัมภีร์มาเกือบยี่สิบปี เทศน์มาก็ยี่สิบปี.. เทศน์เข้าเงียบ ประกาศพระวาจามาไม่น้อยเลย... มีหลักฐานที่อยู่ในมือเยอะพอสมควรครับ

o เคยเทศน์เข้าเงียบประจำปีให้กับพระสงฆ์มาเกือบทั้งประเทศไม่ทราบว่ากี่รอบ รวมทั้งเทศน์เข้าเงียบประจำแต่ละเดือน บรรยายพิเศษ สัมมนา มากมาย

o เคยเทศน์เข้าเงียบให้นักบวช ชนิดแปดวันถึงเก้าวันต่อเนื่องมาเกือบทุกคณะนักบวชหญิงชาย บางคณะเทศน์ห้าหกปีติดต่อกัน รวมวันเวลาเทศน์เป็นร้อยๆวัน

o เคยเทศน์ทุกวันอาทิตย์ตามวัด เทศน์ในหน้าจอทีวีเกือบเก้าปีติดต่อกัน ทุกวันอาทิตย์ในรายการเปิดโลกพระคัมภีร์

o เคยเทศน์เคยได้เขียนบทเทศน์ประจำวันธรรมดามาสี่ปีเศษ รวมจำนวนหน้าแล้วสักห้าพันหน้ากระดาษที่เขียน

o เคยบรรยายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ในห้องเรียน ในการสัมมนา นับจำนวนสิบกว่าปี นับชั่วโมงได้เป็นพันๆชั่วโมง... ฯลฯ


• ประกาศพระวาจาเทศน์สอน เขียนบทเทศน์ บันทึกเทปเทศน์...เท่าไรก็ไม่เคยรู้สึกว่า “พอสำหรับการประกาศพระวาจา” จริงๆนะครับ... งานประกาศพระวาจาเป็นชีวิต และต้องเป็นชีวิตจิตใจของเราคริสตชนจริงๆ เป็นลมหายใจของพระสงฆ์จริงๆ ... เรียกว่า เราต้อง “กลืนกินพระวาจา” ของพระเจ้าจริงๆ ด้วยสิครับ


• และเมื่อต้องประกาศบ่อยๆ พ่อยิ่งเข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าเมื่อภาพของวิวรณ์ให้ยอห์นกินม้วนพระวาจาของ พระเจ้าเข้าไป... ผลตามมาคือ “กินเข้าไปแล้วจะหวานเหมือนน้ำผึ้งในปาก แต่รู้สึกได้ถึงความขมในท้อง”

o ใช่พ่อรู้สึกว่าการเทศน์สอนบ่อยครั้ง พระวาจาของพระเจ้าหวานจับใจ เทศน์ไปก็มีคนชมชื่นอยู่บ้างเหมือนกัน บางคนเขาบอกว่าพ่อเทศน์ดี (จริงหรือเปล่าไม่ทราบ) แต่พ่อมีพลังที่จะเทศน์ ที่จะสอนพระคัมภีร์อย่างน่าอัศจรรย์ใจเสมอ

o บ่อยครั้ง เหนื่อยมาก ไม่ค่อยสบายตัวเลย หนักกับงานที่ทำ ยิ่งสมัยอยู่บ้านผู้หว่านสิบปีเต็มๆทำงานบริหาร งานรับผิดชอบมากมายหลายอย่างเหลือเกิน... แม้เวลานี้เวลาเจอใครๆ เขาก็บอกกันว่า “พ่อเกียรติงานเยอะ” บางทีพวกพ่อซิสเตอร์เขาเรียกว่า “พ่อคิวทอง” ฯลฯ ก็ดูว่าเหนื่อยเสมอกับงานเทศน์ งานจัดการ งานอบรม แต่ แต่ แต่... เมื่อต้องเทศน์สอน เมื่อต้องประกาศพระวาจาเมื่อเวลามาถึงทีไร... เดินขึ้นไปดูโทรม แต่พ่อถึงที่เทศน์ ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน??? มีคนทักบ่อยๆว่าพ่อไปเอาแรงมาจากไหน...ความจริงไม่ต้องตอบก็รู้ว่าแรงมาจาก พระวาจา แรงที่อยากประกาศ พอเทศน์จบก็โรยร่วงหมดแรง... แปลกใจตนเองบ่อยๆเหมือนกัน บางทีเดินขึ้นไปเหมือนซอมบี้ แต่พ่อเริ่มเทศน์เหมือนองค์ลงจริงๆ ไม่ใช่องค์ลงแต่พระวาจาของพระเจ้ารับเอากายในหัวใจในภาษาและในการประกาศ มากกว่ากระมังครับครับ...


• แต่อย่างที่บอกครับ พี่น้องที่รัก เทศน์สอนไป พ่อรู้สึกหวานกับพระวาจา พระวาจาน่ารับประทาน เคยมีคนบอกว่า เวลารับพระวาจา เราต้อง “เคี้ยวเอื้อง” คือ เคี้ยวช้าและเอาออกมาเคี้ยวใหม่จะได้ย่อยได้รสชาติและมีพลัง...พ่อก็ไม่คิด แบบนั้นหรอก ไม่ค่อยคิดเรื่องเคี้ยวเอื้อง (ไม่ใช่วัว 555) เพราะทั้งประกาศกและวิวรณ์บอกว่า “เมื่อพบพระวาจาข้าพเจ้าก็รีบกลืนกินพระวาจานั้น...พระวาจาหวานเหมือนน้ำ ผึ้งในปาก แต่รู้สึกขม (ขื่นๆ) ในท้อง”

• พ่อสรุปว่า 

o ใช่ครับ พระวาจาของพระเจ้าฟังแล้ว หวานหู หวานใจ น่ารับประทาน หวานปานน้ำผึ้งในการประกาศ ในการเทศน์สอน ซึ่งพ่อสอนมากเป็นพันๆชั่วโมง... ยิ่งเทศน์ยิ่งรู้สึกยิ่งมันก็ว่าได้ คนฟังบ่อยๆก็พากันเคลิ้มหวานจับจิตใจ พ่อเคยเห็นคนฟังพ่อยิ้มหวาน... หรือร้องไห้น้ำตาคลอ... เหมือนซึ้งอยากกลับใจ อยากเปลี่ยนแปลง อยากรักพระเจ้า พ่อได้เจอคนที่เขียนคุยกับพ่อในเฟสบุคว่ามีความสุขที่ได้อ่านพระวาจาทุกวัน หรือได้รักได้ใกล้ชิดพระมากขึ้น มีบางรายน่ารักมากๆ ได้บริจาคแบ่งปันหรือทำบุญมากมายเพื่อกิจการดีๆ เพราะได้สัมผัสกับพระวาจา โอช่างหวานเสียจริงๆ...

o แต่สำหรับพ่อเอง และพี่น้องด้วย...เมื่อกลืนกินพระวาจาเข้าสู่ชีวิต บางทีเรารู้สึกขม ขื่น ข่มหัวใจ จริงๆ เพราะพระวาจาเรียกร้องให้เรา “เปลี่ยนแปลง” ทำให้เราเริ่มไม่สบายตัว (uncomfortable) คือ เราต้องเปลี่ยนแปลง ต้องรัก ต้องคืนดี ต้องให้อภัย ต้องออกจากเซฟโซนคือที่ปลอดภัยเดิมๆของตนไปสู่การแบ่งปัน ต้องยอมรับความผิดบกพร่อง ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง...

o ธรรมดาครับ พ่อก็เป็น “จงเชื่อสิ่งที่ลูกอ่าน จงสอนสิ่งที่ลูกเชื่อ และจงปฏิบัติตามสิ่งที่ลูกสอนนั้นเถิด” พระคุณเจ้าสอนสั่งในเวลาบวชสังฆานุกร... 

o ใช่ครับ สอนหวานซึ้งด้วยวาจาและลมปากถ้อยคำหวานหูไพเราะ เป็นสำนวนโวหารงดงาม แต่ยามที่พระวาจาต้องกลืนเข้าไปในชีวิตต้องย่อยและไหลเข้าสู่สายเลือดหรือ สู่ชีวิตจิตใจ บ่อยครั้ง ก็ขมไม่น้อยที่เราต้อง “รัก รัก รัก ให้อภัย ให้อภัย ให้อภัย ต้องคืนดี ต้องขอโทษ ต้องยกความผิด ต้องแบ่งปัน ต้องช่วยเหลือ ต้องไม่ละเลย ต้องปฏิบัติเป็นรูปธรรม...เรียกว่า เริ่มขม ขื่น และต้อง ข่มหัวใจ เพื่อศิโรราบให้กับพระวาจาที่รับเข้าไป...”

o พี่น้องไม่ต้องกลัวครับ เรามีต้นแบบ คือ พระเยซู เป็นองค์พระวาจาเอง ยังทรงยอมถ่อมองค์ลงมา ประกาศความรัก ด้วยการเสียสละและรับการบังเกิด ทรงยอมจนถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน... เราจึงสบายใจได้ ขอเพียงเราด้วยที่จะต้องรักเต็มหัวใจได้ พระพรมีพอเพียงครับ...

• สิ่งที่จะประยุกต์ได้เห็นชัดเวลานี้ ยากแน่ แต่ทำได้ และทำด้วยใจรักจริง และซื่อสัตย์จริงๆ นี่คือความรัก... ตอนนี้มีเรื่อง “ภาษีมรดก” เจตนาเพื่อบรรดาคนร่ำรวย มีมาก จะได้รู้จักแบ่ง.. เพื่อเป็นการประกาศความรักและเพื่อความดีส่วนร่วม 


• พ่อได้ยินข่าวเมื่อเช้า นายกบอกว่าเริ่มต้นแบบที่ละเล็กทีละน้อยเป็นตัวอย่าง... เพื่อให้คนรวยๆ ได้เรียนรู้ความหมายของความใส่ใจต่อคนยากจนจริงๆ ที่ดินที่มีมหาศาล ต้องเสียภาษีมรดกเพราะภาษีนี้จะได้ไปเลี้ยงคนที่ไม่มีที่ดิน ไม่มีจะกิน คนยากไร้ อันที่จริง เป็นการสอนเรื่องความรักต่อคนยากจนและความรับผิดชอบต่อสังคม...

o ฟังดูรู้ก็ว่า “หวานดีครับ แต่ขมในท้องรุนแรงแน่ๆ” เพราะถ้าสังคมเราไม่ได้มีคำสอนของพระเยซูอยู่เบื้องหลังคอยค้ำจุนละก็...

o ความเห็นแก่ตัวจะทำให้คนที่มีมากๆ จะรู้สึกถึงความขม และรู้สึกไม่ยุติธรรมสำหรับตนที่ต้องเสียภาษีมรดก... แต่ถ้ามองในใจความกว้างจริงๆ ถ้าคนเรามีการศึกษา มีศาสนาดีๆ ค้ำจุน การยอมให้เก็บภาษีมรดก คือ ความรับผิดชอบที่จะไม่โลภเก็บที่ดินมากมายไว้เพื่อนตนเอง แต่ต้องแบ่งโอกาส (ภาษี) ให้กับคนยากจนก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง ยุติธรรมและเป็นความรักอย่างยิ่งครับ (แต่ฝ่ายเก็บภาษาก็ต้องระวังเรื่องความซื่อตรงและไม่คอรัปชั่นเช่นกัน)

o เรื่องภาษีมรดกจึงเป็นเรื่องหวานในปากครับ แต่ขมในท้องเสมอ เมื่อคนเราต้องเป็นผู้เสียสละบ้าง... โดยเฉพาะสำหรับสังคมไทยที่ปรัชญาลึกๆ คือ เรื่องของบุญกรรมแต่ปางก่อน คนยากจนก็อาจศิโรราบให้กับกรรมกันไป... แต่อันที่จริง...ต้องไม่ใช่เช่นนั้น ความจริงคือความรัก การแบ่งปัน การเสียสละ เพราะรัก รัก รัก มากกว่า ถือบัญญัติแห่งความรักจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ อภัยได้ เสียงสละได้ รักกันได้

• พี่น้องที่รักครับ เรารับฟังพระวาจาทุกวัน เราอ่าน เรากลืนกินพระวาจาครับ... เรารู้สึกหวานใจ หวานลิ้น หรือคุ้นลิ้นแล้ว ขอให้เรายอมขม ขื่น และข่มใจ เปลี่ยนแปลงตนเองกันมากๆ เสียสละให้มาก แบ่งปันให้มาก รักจริงให้มาก และให้เราได้ฝึกฝนและกระทำจนกลายเป็นนิสัยดีถาวรคือคุณธรรมความดีของเราค ริสตชนเลยนะครับ...


• รักมากๆนะครับ ใจดีมีเมตตาให้มากๆ เพราะเราได้รับพระวาจาเสมอ ขอให้เราย่อยให้ละเอียด เป็นสารอาหารเลี้ยงวิญญาณจิตของคริสตชนเรานะครับ... 


• ขอพระเจ้าอวยพรให้เราได้สัมผัสความหวานไปถึงหัวใจ จนกลายเป็นหวานใจแก่กันและกันเสมอไปครับ