"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน
เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต”

20. อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเอง(มก 4:26-29)
      426พระองค์ยังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน 27เขาจะหลับหรือตื่นกลางคืนหรือกลางวันเมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโตเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ 28ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเองครั้งแรกก็เป็นลำต้นแล้วก็ออกรวงต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง 29เมื่อข้าวสุกเกิดผลแล้วเขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันทีเพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว”


a) อธิบายความหมาย
             อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเองเป็นเรื่องที่เราพบในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโกเท่านั้น  ต่อเนื่องจากอุปมาเรื่องผู้หว่าน(4:13-20)เพราะกล่าวถึงเมล็ดพืชที่หว่านลงในดิน งอกงามขึ้น และเกี่ยวเก็บ อย่างไรก็ตาม อุปมาเรื่องที่สองนี้ทำให้อุปมาเรื่องผู้หว่านสมบูรณ์ขึ้น และดึงดูดความสนใจของผู้อ่านในรายละเอียดพิเศษที่ได้มองข้ามในอุปมาเรื่องผู้หว่านคือ เน้นขบวนการเจริญเติบโตของเมล็ดตั้งแต่เริ่มหว่านจนถึงการเก็บเกี่ยว 

             อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเองบรรยายภาพเกษตรกรรม แต่นักบุญมาระโกเล่าเรื่องนี้โดยใช้เหตุการณ์ที่เกินสายตาของมนุษย์ที่จะผู้สังเกตคือต้องการเน้นเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า

- พระองค์ยังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือน..." นักบุญมาระโกเคยบันทึกว่าเนื้อหาสำคัญของข่าวดีที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศคือ  "พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว" (1:15)พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและกษัตริย์ทรงปกครองโลก แต่ผู้ฟังข่าวดีอาจค้านว่า เราจะรู้ความจริงนี้จนเกิดผลในชีวิตได้อย่างไร เพราะในโลกปัจจุบันมีเจ้านายปกครองหลายคน ในเวลาเดียวกันมนุษย์ก็ต้องเผชิญความยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน ความยากจน เขาจึงพูดตัดพ้อว่า พระเจ้าสถิตที่ไหน ทำไมจึงไม่ทรงเข้าแทรกแซงในชีวิตมนุษย์ทำไมจึงทรงอนุญาตให้มีความทุกข์ทรมาน ความอยุติธรรม ความลำบากยากเข็ญ พระเยซูเจ้าทรงแก้ไขความคิดผิดนี้ โดยเล่าอุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเอง

- เสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน การหว่านเกิดขึ้นแล้ว เมล็ดที่ได้หว่านเป็นทั้งเมล็ดพันธุ์ดีและดินดี หมายความว่าพระเยซูเจ้าทรงหว่านเมล็ดแห่งพระวาจาของพระเจ้า และพระองค์เองทรงเป็นเมล็ดพันธุ์ของพระวาจาที่พระเจ้าทรงหว่านในลงดินคือในชีวิตของมนุษย์

- เขาจะหลับหรือตื่นกลางคืนหรือกลางวัน  น่าสังเกตว่า ชาวยิวสมัยโบราณเริ่มนับกาลเวลาจากกลางคืนไปถึงกลางวันเป็นหนึ่งวัน คือคำนวณตั้งแต่เวลาเย็นของวันหนึ่งไปถึงเวลาเย็นของอีกวันหนึ่งโดยแท้จริงแล้วเช่นเดียวกับผู้หว่านในอุปมา เมื่อชาวยิวหว่านเมล็ดพืชในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมแล้ว เขาก็ไปทำงานอื่นหรือพักผ่อนได้จนถึงเวลาเก็บเกี่ยวคือปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม

- เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโตเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้  ข้อความนี้ต้องการเน้นว่า คนโบราณรู้ว่าเมล็ดงอกงามขึ้นด้วยพลังในตนเองและจากการกระทำของธาตุธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นความชื้น ความร้อน ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ไม่ได้ลงทำอะไรเลย แต่ไม่เข้าใจว่าขบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างไร

- ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง  น่าสังเกตความแตกต่างระหว่างบทบาทของดินกับบทบาทของมนุษย์ คือระหว่างผู้กระทำกับผู้ไม่ได้กระทำอะไรเลยอย่างไรก็ตาม  ชาวนาไม่อยู่นิ่งเฉยหรือไม่สนใจ แต่จำเป็นต้องปล่อยให้ขบวนการที่เริ่มต้นเจริญเติบโตงอกงามขึ้นโดยพลังในตนเองแบบอัตโนมัติจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว

- ครั้งแรกก็เป็นลำต้นแล้วก็ออกรวงต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง  ผู้เขียนเล่าขั้นตอนขบวนการเจริญเติบโตเหมือนกับการชมภาพยนตร์ช้า ๆ สิ่งที่ต้องการเน้นในเรื่องนี้คือชาวนาต้องรอคอย เป็นการรอคอยและเตรียมตัวเพื่อจะได้เก็บเกี่ยว

- เมื่อข้าวสุกเกิดผลแล้วเขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันทีเพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว” ข้อความนี้เป็นการอ้างถึงข้อความจากหนังสือประกาศกโยเอลที่กล่าวถึงการพิพากษานานาชาติในวาระสุดท้ายของประวัติศาสตร์โลก จึงชวนเราให้เข้าใจว่าผู้หว่านในอุปมาหมายถึงพระเจ้าตามความคิดของประกาศกโยเอลที่ว่า"จงใช้เคียวเกี่ยวเถิดเพราะข้าวที่จะต้องเกี่ยวสุกแล้ว" (ยนล 4:13)แต่ตามความคิดของนักบุญมาระโกผู้หว่านอาจหมายถึงพระเยซูเจ้าผู้จะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย เพื่อจะทรงรวบรวมผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร ดังที่เราอ่านในมก 13:26-27