"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร”

18. พระเยซูเจ้าทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่าน (มก 4:13-20 ) 
        

413พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร 14ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา 15เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป 16เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที 17แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที 18เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา 19แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล 20ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”
a) อธิบายความหมาย
         นักบุญมาระโกอธิบายความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านที่ได้เล่ามาแล้ว(4:1-9)ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์บางคนคิดว่าการอธิบายนี้ไม่เป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้าโดยตรง แต่เป็นการประยุกต์พระวาจาของพระองค์ในสถานการณ์ของพระศาสนจักรสมัยเรก ๆ น่าสังเกตว่า แม้นักบุญมาระโกอธิบายความหมายของอุปมาตามลำดับเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเล่า การอธิบายได้เปลี่ยนมุมมอง ขณะที่อุปมาเน้นการหว่านและการเก็บเกี่ยว แต่การอธิบายนี้มีมุมมองหนึ่งเดียวคือ สภาพของดินในการรับเมล็ดพืชที่หว่านคือพระวาจา ดินหมายถึงท่าทีของผู้รับฟังพระวาจาพระศาสนจักรสมัยแรก ๆ ตักเตือนคริสตชนที่เพิ่งกลับใจมีความเชื่อและอยู่ในสถานการณ์ของโลกที่อาจจะสูญเสียความเชื่อได้ง่าย ให้มั่นคงในความเชื่อโดยเปิดใจรับพระวาจาเข้าในจิตใจอยู่เสมอ

-พระองค์ตรัสว่า นี่เป็นสูตรการเขียนเพื่อดำเนินเรื่องต่อไปจากคำถามของบรรดาอัครสาวกและศิษย์อื่น ๆ เกี่ยวกับความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่าน (4:10) เพราะพระวาจาที่อ้างข้อความของประกาศกอิสยาห์ (11-12)ไม่ใช่การตอบคำถามของบรรดาอัครสาวก แต่เป็นการอธิบายสั้น ๆ ถึงเหตุผลที่พระเยซูเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนประชาชนโดยใช้อุปมา

-“ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่นๆ ได้อย่างไร" โดยแท้จริงแล้วการที่พระเยซูเจ้าทรงตำหนิบรรดาศิษย์เป็นเอกลักษณ์ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก เราไม่พบการเขียนลักษณะนี้ในพระวรสารเล่มอื่น ๆ การที่บรรดาอัครสาวกไม่เข้าใจกิจการและพระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นความคิดสำคัญข้อหนึ่งที่นักบุญมาระโกกล่าวถึงหลายครั้ง (6:52; 7:18; 8:17-18,21,33; 9:10,32; 10:38)

-ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา เรื่องเดียวที่นักบุญมาระโกต้องการพูดถึงคือพืชซึ่งเขาอ้างถึง 8 ครั้งและหมายถึงพระวาจาแม้เขาไม่บอกชัดเจนว่าใครเป็นผู้หว่าน แต่ผู้อ่านก็รู้จากบริบทว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้หว่านและเราต้องไม่ลืมว่าพระองค์ยังเป็นพระวาจาที่หว่านด้วย อย่างไรก็ตาม ความสนใจในการอธิบายอุปมานี้อยู่ในท่าทีของผู้ฟังมากกว่า

-เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน ประโยคนี้ค่อนข้างแปลกเพราะเมล็ดที่ตกริมทางต้องหมายถึงพระวาจาไม่ใช่บุคคล บางทีการอธิบายต้องดำเนินเรื่องตามลำดับของอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงเล่า จึงเริ่มต้นโดยพูดถึงเมล็ดพืชส่วนคำอธิบายต้องการพูดถึงบุคคลซึ่งเปรียบได้กับดินประเภทต่าง ๆ บุคคลเป้าหมายกลุ่มแรกเปรียบได้กับดินแข็งบนทางที่ถูกเหยียบย่ำ พระวาจาไม่สามารถเข้าลึกลงในใจที่แข็งกระด้าง หรือในบุคคลที่ไม่สนใจพระวาจาเพราะเขาคิดว่าพระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นเหมือนคำพูดทั่วไป นักบุญมาระโกยังใช้คำว่า "ทาง"  ในความหมายสัญลักษณ์ของการพบและเดินตามพระเยซูเจ้า เช่น"บารทิเมอัสบุตรของทิเมอัส คนขอทานตาบอดนั่งอยู่ริมทาง" (10:46)และเมื่อพระเยซูเจ้าทรงกระทำตามที่เขาขอ"เขากลับแลเห็นและเดินทางติดตามพระองค์ไป" (10:52)นี่เป็นหนทางที่นำไปสู่กรุงเยรูซาเล็ม

-เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป การที่อ้างถึงซาตานคงเป็นความหมายเพิ่มเติมของนักบุญมาระโกหรือของพระศาสนจักรสมัยแรก ๆ เพราะในอุปมาพระเยซูเจ้าทรงเล่าว่า นกจะมาจิกกินเมล็ดที่ตกบนทาง โดยทั่วไปชาวยิวคิดว่านกเป็นภาพของสัตว์ปีกที่น่ารัก ไม่มีใครฟังเรื่องเกี่ยวกับนกแล้วทำให้คิดถึงซาตาน แต่ในการอธิบายของนักบุญมาระโก เขาต้องการเตือนใจคริสตชนใหม่ว่า ซาตานจะชักชวนให้เขาลืมพระวาจาทำให้เขาคิดว่าพระวาจานั้นไม่มีไว้สำหรับคริสตชน เพราะเขาไม่เหมาะสมและไม่มีหวังที่จะปฏิบัติตามได้ มนุษย์ทุกคนมีขอบเขตจำกัด มีความอ่อนแอ มีความห่วงกังวลต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลก