“บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผล”
16. อุปมาเรื่องผู้หว่าน (มก 4:1-9)
4 1พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง 2พระองค์ทรงสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา ในการสอนนั้น พระองค์ตรัสว่า 3“จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด 5บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก 7บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล 8บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” 9แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”
a) อธิบายความหมาย
นักบุญมาระโกได้เสนอภาพของพระเยซูเจ้าในฐานะพระอาจารย์ตั้งแต่แรกเริ่มว่า พระองค์ไม่ทรงเป็นเหมือนอาจารย์อื่น ๆ (เทียบ 1:22) อย่างไรก็ตาม เขาบันทึกกิจการของพระเยซูเจ้ามากกว่าพระวาจาของพระองค์ ผู้อ่านได้ติดตามพระองค์บนถนนในแคว้นกาลิลี ตามชายทะเลสาบ ในศาลาธรรม ในเมืองหรือในบ้าน เรียนรู้ที่จะมองประชาชนดังที่พระองค์ทรงเห็น การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าหมายความว่าเรียนรู้การดำเนินชีวิตแบบใหม่ โดยปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า กิจการของพระองค์ล้วนแสดงความเมตตากรุณาต่อผู้ป่วยและผู้ถูกปีศาจสิง ช่วยเขาให้พ้นจากโรคภัยและปีศาจ พระองค์ยังทรงให้อภัยแก่คนบาป แต่ผู้อ่านยังไม่พบคำปราศรัยของพระองค์เลย เวลานี้นักบุญมาระโกบันทึกคำปราศรัยของพระองค์เป็นครั้งแรก คือข้อความ 4:1-34 ซึ่งอาจแบ่งได้ดังต่อไปนี้ ก) บทนำสั้น ๆ (4:1-2) ข) อุปมาเรื่องผู้หว่าน (4:3-9) ค) การสนทนาระหว่างพระเยซูเจ้ากับบรรดาศิษย์ (4:10-25) ง) อุปมาอีกสองเรื่อง (4:26-32) จ) บทสรุปสั้น ๆ (4:33-34)
- พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอน นักบุญมาระโกบอกเราว่า การสั่งสอนเป็นกิจการสำคัญของพระเยซูเจ้า เป็นวิธีปกติเพื่อปฏิบัติภารกิจเปิดเผยพระบิดาเจ้า โดยทั่วไปแล้ว พระองค์ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม (เทียบ 1:21-22; 6:2) แต่เมื่อมีประชาชนจำนวนมากก็ทรงสั่งสอนที่กลางแจ้ง ทรงยินดีใช้ธรรมชาติกว้างขวางเป็นฉาก (เทียบ 2:13) เราได้อ่านแล้วว่า พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างชัดเจนและสมเหตุสมผล แต่การยอมรับพระอาณาจักรขึ้นอยู่กับปฏิกริยาของผู้ฟัง คือประชาชนจำนวนมาก บรรดาศิษย์ ชาวฟาริสี หรือพระประยูรญาติของพระเยซูเจ้า เช่น เมื่อพระองค์ทรงทำอัศจรรย์รักษาคนอัมพาตให้หาย และทรงอภัยบาปเขาในที่สาธารณะต่อหน้าประชาชนมากมาย บรรดาธรรมจารย์พูดอ้างถึงพระเยซูเจ้าว่า "เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้า" (2:7) เมื่อพระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป บรรดาธรรมจารย์ถามศิษย์ของพระองค์ว่า "ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป" (2:16) เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบในศาลาธรรมชาวฟาริสีและผู้นิยมกษัตริย์เฮโรดปรึกษากันว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร (เทียบ 3:1-6) เมื่อพระองค์ทรงสำแดงอำนาจขับไล่ปีศาจ บรรดาธรรมจารย์ที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า "เขามีปีศาจเบเอลเซบูลสิงอยู่" (3:22) พระประยูรญาติของพระองค์คิดว่าทรงเสียพระสติ (3:21) จึงดูเหมือนว่า การประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าประสบความล้มเหลว แต่พระเยซูเจ้าไม่ทรงเห็นด้วย เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ในพระชนมชีพของพระองค์ก็เป็นพระอาณาจักรของพระเจ้านั่นเอง พระองค์ทรงเป็นเหมือนเมล็ดพืชที่ตกบนริมทางเดิน บนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อยและในพงหนาม ทรงได้รับทรมานและสิ้นพระชนม์ แต่จะทรงเกิดผลมากมายด้วยการกลับคืนพระชนมชีพ พระองค์จึงทรงอธิบายความหมายนี้ของพระอาณาจักรโดยทรงเริ่มสั่งสอนแบบใหม่ เพื่อทรงเชิญชวนผู้ฟังให้ยอมรับพระอาณาจักรของพระเจ้า
- ที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนและประกาศข่าวดีที่ริมทะเลสาบกาลิลีก่อนหน้านี้แล้ว (เทียบ 1:16; 2:13; 3:7) บัดนี้พระองค์เสด็จออกมาจากบ้านที่พระประยูรญาติรออยู่ข้างนอก
- ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์ นักบุญมาระโกมีจุดประสงค์ชี้แจงว่าประชาชนที่มีความกระตือรือร้นต้องการฟังพระเยซูเจ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
- จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง สำนวนในต้นฉบับภาษากรีกค่อนข้างแปลก แปลตามตัวอักษรว่า "เสด็จลงเรือ ประทับบนทะเล" นักบุญมาระโกใช้สำนวนนี้เพื่อเน้นว่า พระเยซูเจ้าผู้เดียวประทับบนเรือในทะเลสาบ ขณะที่ประชาชนบนฝั่งนั่งเรียงรายเป็นครึ่งวงกลมเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เป็นภาพที่สง่างามของพระเยซูเจ้าและเป็นภาพที่งดงามของทิวทัศน์โดยรอบ