"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย ”

46.พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งที่สองถึงพระทรมาน(2)
(b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1.    การเสด็จของพระเยซูเจ้าไปยังกรุงเยรูซาเล็มเป็นการจาริกแสวงบุญ ไม่เป็นเพียงการจาริกแสวงบุญในเส้นทางตามภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นความหมายของพระชนมชีพทั้งหมด การที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดรับรู้ถึงการเดินทางในครั้งนี้เพราะพระองค์พอพระทัยที่จะทรงอบรมบรรดาศิษย์เป็นพิเศษ

โดยสร้างความสนิทสัมพันธ์กับเขาเหล่านั้น เพื่อทรงสั่งสอนแก่นแท้ของข่าวดีที่เขาจะต้องออกไปประกาศในอนาคต ข่าวดีนี้คือพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าและความหมายของพระชนมชีพสำหรับมนุษยชาติ น่าสังเกตว่า พระองค์ทรงทำการนี้โดยไม่ทรงแสวงหาผลประโยชน์ของพระองค์เองคือ ชื่อเสียง เกียรติยศและความสำเร็จ แต่ทรงแสวงหาผลประโยชน์ของผู้อื่น ในกรณีนี้หมายถึงบรรดาศิษย์และเราทุกคนด้วย เพราะบัดนี้ ทุกคนที่อ่านพระวรสารก็ได้รับเรียกให้มีความสนิทสัมพันธ์กับพระองค์เช่นเดียวกับบรรดาศิษย์ในสมัยของพระเยซูเจ้าด้วย

2.    บุตรแห่งมนุษย์จะทรงต้องถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลายนี่คือความหมายพระชนมชีพของพระองค์ โดยแท้จริงแล้ว คนทั่วไปมักรู้สึกว่า การถูกมอบในเงื้อมมือของมนุษย์เป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวเพราะเป็นการสูญเสียศักดิ์ศรีของตนเอง แต่สำหรับพระเยซูเจ้ากลับหมายถึงการประสบความสำเร็จ บางครั้งเราคิดถึงการประสบความสำเร็จในความหมายตรงกันข้ามคือ ต้องมีผู้อื่น สถานการณ์และอย่างน้อยตนเองอยู่ในกำมือ เรากลัวผู้อื่นหรือบางสิ่งบางอย่างจะพรากจากตนไปแต่พระเยซูเจ้าทรงมีความเชื่อมั่นในความจริงนี้ ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงวาระสุดท้ายพระองค์ทรงพระชนมชีพเช่นนี้ ทรงพร้อมเสมอที่จะมอบพระองค์เองแก่ผู้อื่น เพื่อจะทรงรักเขาอย่างมากที่สุดจนไม่เป็นเจ้านายเหนือตนเองอีกต่อไป

        นี่เป็นภาพลักษณ์งดงามที่สุดของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด ทรงเป็นพระบุคคลที่ทรงมอบพระองค์ไว้ในเงื้อมมือของเรา เช่น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “รับปังนี้ไปกินให้ทั่วกัน นี่เป็นกายของเราที่จะมอบเพื่อท่าน” ความรักคือการยอมมอบตนเองให้อยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น โดยไม่มีผู้อื่นอยู่ในเงื้อมมือของตน คือไม่มีอำนาจเหนือผู้ใดพระเยซูเจ้าทรงมอบพระองค์เองในเงื้อมมือของคนทั้งหลายซึ่งจะประหารชีวิตพระองค์ ด้วยวิธีนี้ มนุษย์จะรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพราะพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทำเช่นนี้ได้ และจะทรงชนะความชั่วร้ายด้วยความดี ขณะที่มนุษย์พยายามประหารชีวิตพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามอบชีวิตเพื่อท่าน” นี่คือการมีชีวิตและรู้จักให้ชีวิตแก่ผู้อื่น การให้ชีวิตไม่หมายถึงการตาย ตรงกันข้ามหมายถึงการเป็นเจ้าของชีวิตความรัก และการสร้างชีวิตใหม่เพราะมนุษย์จะเป็นผู้ใหญ่ได้ ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่ามีบุคคลใดบุคคลหนึ่งรักเขา และเขายอมมอบตนเองในเงื้อมมือของผู้นั้น มิฉะนั้นแล้ว เขาจะไม่เป็นผู้ใหญ่

3.    “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย เขาจะประหารชีวิตพระองค์ แต่เมื่อถูกประหารแล้ว ในวันที่สามพระองค์จะกลับคืนชีพ” หมายความว่าพระเยซูเจ้าจะทรงชนะความตาย ด้วยอากัปกริยาเช่นนี้ซึ่งแสดงออกถึงความรักสูงสุด สิ่งที่มีชัยชนะเหนือความตายไม่ใช่ชีวิตแต่เป็นความรัก ด้วยอากัปกริยาสูงสุดของการมอบตนเองแก่ผู้อื่น มนุษย์จะกลับคืนชีพ นี่คือความหมายของการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าดังนั้น เราจึงเข้าใจว่า เมื่อใดที่เราปฏิเสธตนเอง ต่อสู้กับความเห็นแก่ตัวเพื่อจะรู้จักรักผู้อื่น เมื่อนั้นเราจะชนะความชั่วร้ายมิฉะนั้นแล้ว เราอยู่ในหมู่ของผู้ทำร้ายบุคคลอื่น

4.    บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัส และไม่กล้าทูลถามพระองค์ นี่คือปฏิกิริยาของบรรดาศิษย์ผู้แสดงว่า ตนเป็นเหมือนคนใบ้หูหนวก เขาไม่เข้าใจพระวาจาและจงใจละเลยที่จะทูลถาม เพราะสันนิษฐานว่าแผนการของพระเจ้าคงจะต่างจากความคิดของตน อย่างไรก็ตาม ถ้าเขากล้าทูลถามพระองค์ก็คงจะค้นพบความจริงคือพระวาจานั้นซึ่งประกาศความรักที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเรา โดยทรงมอบพระองค์ไว้ในเงื้อมมือของมนุษย์ แต่เขาไม่ยอมฟังพระวาจานี้เพราะความเห็นแก่ตัวทำให้เขาเป็นคนใบ้หูหนวกต่อความรัก ไม่ใช่ความรักที่เราต้องการจะได้รับ แต่เป็นความรักที่เราต้องมอบแก่ผู้อื่น เพราะเราปรารถนาที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์  โดยแท้จริงแล้ว เราเข้าใจความหมายของพระวาจาแต่เรากลัวที่จะต้องปฏิบัติตาม