(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต

12 1ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน 2เมื่อชาวฟาริสีสังเกตเห็นดังนั้น จึงทูลพระองค์ว่า “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำลังทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโต”a 3พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดเมื่อหิวโหย 4พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะกินไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น 5ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิดb 6เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารเสียอีก 7ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด 8เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”c

พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ

9พระเยซูเจ้าเสด็จจากที่นั่นเข้าไปในศาลาธรรม 10ทรงพบชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคนถามพระองค์ว่า “ธรรมบัญญัติอนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่” ทั้งนี้เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ 11แต่พระองค์ทรงตอบเขาว่า “ท่านใดมีแกะอยู่ตัวเดียว และแกะนั้นตกบ่อในวันสับบาโต เขาจะไม่ไปจับมันและฉุดขึ้นมาดอกหรือ 12มนุษย์คนหนึ่งย่อมมีค่ากว่าแกะมากนัก ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงอนุญาตให้ทำความดีในวันสับบาโตได้” 13แล้วพระองค์ตรัสกับชายผู้นั้นว่า “จงเหยียดมือซิ” เขาจึงเหยียดมือ และมือนั้นก็กลับเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง 14ชาวฟาริสีจึงไปชุมนุมปรึกษากันว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร

พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์”

15พระเยซูเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงเสด็จไปจากที่นั่น ผู้คนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หายจากโรค 16แต่ทรงกำชับเขามิให้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ 17ทั้งนี้dเพื่อให้พระวาจาที่ตรัสทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า

18นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกสรรไว้

นี่คือผู้ที่เรารัก ซึ่งเราโปรดปราน

เราจะให้จิตของเราแก่เขา

และเขาจะประกาศความยุติธรรมeแก่นานาชาติ

19เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และจะไม่ส่งเสียงเอ็ดอึง

จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามลานสาธารณะ

20เขาจะไม่หักต้นอ้อที่ช้ำแล้ว

เขาจะไม่ดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่

21จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ

นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา

พระเยซูเจ้าและเบเอลเซบูล

22ครั้งหนึ่ง มีผู้นำคนตาบอดเป็นใบ้และถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย คนนั้นก็พูดได้และมองเห็น 23ประชาชนทุกคนต่างประหลาดใจพูดว่า “คนนี้ เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดใช่ไหม” 24เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนี้ ก็พูดว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูลf เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” 25พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกกันเองย่อมพินาศ เมืองใดหรือครอบครัวใดแตกแยกกันเองย่อมจะตั้งอยู่ไม่ได้

26ถ้าซาตานขับไล่ซาตาน มันก็แตกแยกกันเอง แล้วอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ได้อย่างไร 27ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านgขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของใคร ดังนั้น พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินท่าน 28แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว”

29“ผู้ใดจะเข้าไปในบ้านของผู้เข้มแข็งและปล้นทรัพย์สินของเขาได้ ถ้าไม่มัดผู้เข้มแข็งไว้ก่อน เมื่อทำเช่นนี้แล้วเท่านั้น เขาจึงจะปล้นบ้านนั้นได้”

30“ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ผู้ใดไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำสิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป 31ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาปทุกชนิดรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าด้วย แต่คำดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย 32ใครที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ใครที่กล่าวร้ายต่อพระจิตของพระเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า”h

คำพูดชี้ให้เห็นความคิดในใจ

33“ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ดี ผลก็ย่อมดีด้วย ถ้าท่านปลูกต้นไม้พันธุ์ไม่ดี ผลย่อมไม่ดีด้วย ท่านจะรู้จักต้นไม้จากผลของมัน 34เจ้าสัญชาติงูร้ายเอ๋ย เจ้าจะพูดดีได้อย่างไรในเมื่อเจ้าเป็นคนเลว ปากย่อมพูดสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ 35คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งเลวออกจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน 36เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรายงานถึงคำพูดไร้สาระทุกคำiที่เขาเคยพูด 37เพราะท่านจะพ้นโทษหรือถูกลงโทษก็จากคำพูดของท่าน”

เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์

38เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งjจากท่าน” 39พระองค์ทรงตอบว่า “คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์kต้องการเห็นเครื่องหมายรึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้นl 40โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้นm 41ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก 42ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้น และทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก”

ปีศาจกลับมาอีก

43“เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พักn เมื่อไม่พบ 44มันจึงพูดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านของข้าที่ข้าจากมา’ เมื่อกลับมาถึงมันพบว่าบ้านนั้นว่าง ปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย 45มันจึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่ามัน เข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม คนชั่วร้ายของยุคนี้จะเป็นเช่นนี้”

พระประยูรญาติแท้ของพระเยซูเจ้า

46ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสกับประชาชน พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์oมายืนอยู่ข้างนอก ต้องการพูดกับพระองค์p (47)48พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้นว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพี่น้องของเรา” 49แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 50เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”q

 

12 a ความผิดของบรรดาศิษย์ มิใช่อยู่ที่การเด็ดรวงข้าวของผู้อื่นในขณะที่เดินผ่านทุ่งนา (ฉธบ 23:26 อนุญาตให้ทำได้) แต่อยู่ที่การทำเช่นนี้ในวันสับบาโต นักกฎหมายเห็นว่าการทำเช่นนี้เป็น “งาน” ที่ต้องห้ามโดยธรรมบัญญัติ (อพย 34:21)

b ในวันสับบาโต สมณะไม่หยุดงาน ตรงข้ามกลับทำงานมากกว่าปกติในศาสนพิธีต่างๆ

c พระเยซูเจ้าทรงยืนยันเช่นนี้ และเมื่อทรงรักษาโรคในวันสับบาโต (12:9-14//; ลก 13:10-17; 14:1-6; ยน 5:1-18; 7:19-24; 9) เพื่อแสดงว่า บทบัญญัติของพระเจ้าไม่มีผลบังคับเด็ดขาดเสมอไป แต่จะต้องผ่อนผันตามที่ความจำเป็นหรือความรักเรียกร้อง พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจในการตีความหมายธรรมบัญญัติของโมเสส (ดู 5:17 เชิงอรรถ h; 15:1-7//; 19:1-9//) พระองค์ทรงมีสิทธิดังกล่าวนี้ เนื่องจากว่าทรงเป็นผู้ประกาศพระอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ (8:20 เชิงอรรถ h) และได้ทรงจัดตั้งแล้วด้วย (9:6) บรรดาธรรมาจารย์ก็ยอมให้มีการยกเว้นจากธรรมบัญญัติเรื่องวันสับบาโตได้ แต่เฉพาะในกรณีจำกัดเท่านั้น

d “ทั้งนี้” หมายถึงการที่ทรงหลีกเลี่ยงมิให้ประชาชนประกาศถึงการอัศจรรย์ที่ทรงรักษาโรค

e “ความยุติธรรม” ให้ความหมายของคำฮีบรู mishpat (ในฉบับ LXX ว่า krisis) คำนี้บ่อยๆ มีความหมายว่า “การพิพากษา” คือข้อกำหนดของพระเจ้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ตามที่ทราบได้โดยที่พระเจ้าทรงเปิดเผย

f “เบเอลเซบูล” เป็นพระของชาวคานาอัน ชื่อนี้มีความหมายว่า “บาอัลเจ้านาย” (บางคนอธิบายความหมายว่า “บาอัลแห่งกองปฏิกูล”) ชาวยิวที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวจึงเข้าใจว่า เบเอลเซบูล คือ “เจ้าแห่งปีศาจ” รูปคำที่เพี้ยนไปว่า “Beelzebub” (Syr. และ Vulg.) เป็นการเล่นคำให้มีความหมายในเชิงเยาะเย้ย (พบได้ใน 2 พกษ 1:2ฯ) หมายความว่า “เจ้าแห่งแมลงวัน”

g “พวกพ้องของท่าน” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ลูกๆ ของท่าน” เป็นสำนวนภาษาฮีบรู

h การไม่ยอมรับพระเมสสิยาห์อาจจะให้อภัยได้เนื่องจากพระองค์ทรงสำแดงองค์ในรูป “บุตรแห่งมนุษย์” คือมนุษย์ธรรมดา (8:20 เชิงอรรถ h) แต่การที่เห็นกิจการของพระจิตเจ้า แล้วกลับบอกว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย (เช่นในข้อ 24) นับเป็นการมีเจตนาร้ายโดยตรง การทำเช่นนี้เป็นการปฏิเสธไม่ยอมตอบสนองพระเจ้าอย่างชัดเจน เป็นการปิดใจตนเอง ดังนั้น จึงเป็นการวางตนอยู่นอกข่ายการรับอภัย

i “คำพูดไร้สาระ” หมายถึง การใส่ความ

j “เครื่องหมายอัศจรรย์” หมายถึงอัศจรรย์ซึ่งจะพิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจ และแสดงว่าอำนาจนั้นเป็นอย่างไร (เทียบ อสย 7:11ฯ; ยน 2:11 เชิงอรรถ f) เครื่องหมายแต่ประการเดียวที่พระเจ้าจะประทานให้ก็คือ การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ซึ่งในที่นี้กล่าวไว้เป็นนัยๆ เท่านั้น

k “ไม่ซื่อสัตย์” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “เป็นชู้ นอกใจ” เป็นรูปแบบการเปรียบเทียบที่ใช้กันมากในพันธสัญญาเดิม (ดู ฮชย 1:2 เชิงอรรถ c)

l ใน มธ 16:4 ไม่อธิบายว่า “เครื่องหมายของโยนาห์” หมายถึงอะไร แต่ในข้อนี้อธิบายชัดเจนว่า หมายถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงถูกฝังไว้เป็นเวลา 3 วัน ก่อนที่จะทรงกลับคืนพระชนมชีพ ส่วน ลก 11:29ฯ เข้าใจว่าเครื่องหมายของโยนาห์หมายถึงการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า การเทศน์สอนของโยนาห์ทำให้ชาวนีนะเวห์กลับใจฉันใด การเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าน่าจะทำให้ชาวยิวร่วมสมัยกับพระเยซูเจ้ากลับใจฉันนั้นด้วย

m “สามวันสามคืน” เป็นสำนวนจาก ยน 2:1 กล่าวถึงระยะเวลาระหว่างการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าโดยประมาณ

n “ที่แห้งแล้ง” คนโบราณคิดว่าสถานที่เปลี่ยวแห้งแล้งเป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจ (ดู 8:28; ลนต 16:8 เชิงอรรถ b; 17:7 เชิงอรรถ d; อสย 13:21; 34:14 เชิงอรรถ c; บรค 4:35; วว 18:2) ถึงกระนั้น ปีศาจชอบอาศัยในตัวมนุษย์มากกว่า (8:29 เชิงอรรถ k)

o “พระประยูรญาติ” ตามตัวอักษรว่า “พี่น้อง” ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบุตรของพระนางมารีย์ แต่คงเป็นญาติใกล้ชิด อาจเป็นลูกพี่ลูกน้องก็ได้ (ดู ปฐก 13:8; 14:16; 29:15; ลนต 10:4; 1 พศด 23:22ฯ)

p สำนวนโบราณบางฉบับเพิ่มข้อ 47 “มีผู้พูดกับพระองค์ว่า มารดาและพี่น้องของท่านกำลังเสาะหาท่าน คอยอยู่ข้างนอก” ซึ่งอาจคัดมาจาก มก 3:32; ลก 8:20

q ความสัมพันธ์ทางจิตใจมีความสำคัญมากกว่าความสัมพันธ์ทางสายโลหิต (ดู 8:21ฯ; 10:37; 19:29)