(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนอัมพาต

9 1พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์a 2ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำใจดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว”b 3ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า” 4พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำไม 5อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ 6แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับบ้านเถิด” 7เขาก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน 8เมื่อประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์c

พระเยซูเจ้าทรงเรียกมัทธิว

9ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปจากที่นั่น ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิวd กำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป

พระเยซูเจ้าเสวยพระกระยาหารร่วมกับคนบาป

10ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนeมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ 11เมื่อเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงกินอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” 12พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ 13จงไปเรียนรู้ความหมายของพระวาจาที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชาfเพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”

การถกเถียงเรื่องการจำศีลอดอาหาร

14วันหนึ่งบรรดาศิษย์ของยอห์นgเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย” 15พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้าบ่าวhยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไปIวันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร 16ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัว ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม 17ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่ว และถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่ และทั้งสองอย่างjจะไม่เสียหาย

พระเยซูเจ้าทรงรักษาหญิงตกเลือดเรื้อรัง ทรงปลุกบุตรหญิงของหัวหน้าให้คืนชีวิต

18ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งkเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขาจะได้มีชีวิต” 19พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์

20ขณะนั้น หญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลองพระองค์ 21นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” 22พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ทำใจดีๆ ไว้ ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น 23เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงบ้านของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวายlจึงตรัสว่า 24“ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น” พวกนั้นต่างหัวเราะเยาะพระองค์ 25เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรงจับมือเด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น 26ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนตาบอดสองคน

27ขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จออกจากที่นั่น คนตาบอดสองคนตามพระองค์ไป ร้องตะโกนว่า “โอรสของกษัตริย์ดาวิดmโปรดเมตตาเราเถิด” 28เมื่อเสด็จมาถึงบ้าน คนตาบอดเข้ามาเฝ้าพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามว่า “ท่านเชื่อว่าเราทำเช่นนั้นได้หรือ” เขาทั้งสองคนตอบว่า “เชื่อ พระเจ้าข้า” 29พระองค์จึงทรงสัมผัสตาของเขา ตรัสว่า “จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อเถิด” 30แล้วตาของเขาทั้งสองคนก็เริ่มมองเห็น พระเยซูเจ้าทรงกำชับเขาอย่างเข้มงวดว่า “ระวัง อย่าบอกให้ใครรู้เรื่องนี้” 31แต่เมื่อทั้งสองคนออกไปก็ประกาศเรื่องของพระองค์ทั่วแคว้นนั้น

พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนถูกปีศาจสิง

32เมื่อคนที่เคยตาบอดทั้งสองคนจากไปแล้ว มีผู้พาคนใบ้ถูกปีศาจสิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระเยซูเจ้า 33ครั้นปีศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล” 34แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง”n

ความทุกข์ของประชาชน

35พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด

36เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยงo 37แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย 38จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

 

9 a หมายถึง เมืองคาเปอรนาอุม (ดู 4:13)

b พระเยซูเจ้าทรงมีเจตนาที่จะรักษาโรคฝ่ายจิตเป็นอันดับแรก และทรงรักษาโรคทางกายพร้อมกับรักษาโรคฝ่ายจิตด้วย อย่างไรก็ตาม พระวาจาของพระองค์ในข้อนี้ก็มีคำสัญญาที่จะรักษาโรคทางกายด้วย เพราะความเจ็บไข้นั้นนับได้ว่าเป็นผลของบาปที่ผู้ป่วยเองหรือบิดามารดาได้ทำ (ดู 8:29 เชิงอรรถ k; ยน 5:14; 9:2)

c “มนุษย์” ในที่นี้อยู่ในรูปพหูพจน์ ชี้ให้เห็นว่ามัทธิวกำลังคิดถึงศาสนบริกรที่จะใช้อำนาจนี้ พระเยซูเจ้าจะทรงมอบอำนาจอภัยบาปให้แก่กลุ่มคริสตชน ใน 18:18

d ใน มก และ ลก เล่าว่าผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกนี้ชื่อ เลวี

e “คนบาป” หมายถึงผู้ที่มีความประพฤติหรือมีอาชีพน่ารังเกียจ (ดู 5:46 เชิงอรรถ u) ทำให้ถือว่า “มีมลทิน” และถูกกีดกันจากสังคม ผู้คนทั่วไปคิดว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องอาหารได้อย่างถี่ถ้วน จึงเป็นปัญหาอย่างมากว่าเราจะร่วมกินอาหารกับเขาได้หรือไม่ (มก 7:3-4, 14-23ฯ; กจ 10:15 เชิงอรรถ e; 10:20 เชิงอรรถ t; กท 2:12; ดู รม 14; 1 คร 8:9 ด้วย)

f พระเจ้าพอพระทัยความเมตตากรุณาจากใจจริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติภายในมากกว่าจะเรียกร้องการปฏิบัติตามกฎหมายภายนอกอย่างถี่ถ้วน คำสอนนี้เป็นคำสอนหลักของบรรดาประกาศก (อมส 5:21 เชิงอรรถ n)

g “ยอห์น” หมายถึงยอห์นผู้ทำพิธีล้าง ศิษย์ของยอห์นปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวฟาริสี คือจะจำศีลอดอาหารแม้ในวันที่ธรรมบัญญัติมิได้กำหนดไว้ โดยหวังว่าความศรัทธาเช่นนี้จะทำให้วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเร็วขึ้น

h เจ้าบ่าว คือ พระเยซูเจ้า มิตรสหายของพระองค์จึงไม่อาจจำศีลอดอาหารได้ เพราะยุคของพระเมสสิยาห์เริ่มต้นแล้ว

I “แยกไป” เป็นการทำนายถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าอย่างชัดเจน

j เสื้อเก่าและถุงหนังเก่า หมายถึง ข้อปฏิบัติบางข้อของศาสนายิวที่จะต้องยกเลิกไป เสื้อใหม่และเหล้าองุ่นใหม่หมายถึงจิตตารมณ์ใหม่แห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า การปฏิบัติคารวกิจเพิ่มเติมของบรรดาศิษย์ของยอห์นและของชาวฟาริสีพยายามจะให้ชีวิตใหม่แก่ระบบเก่า แต่อันที่จริงกลับทำให้ระบบเก่าถึงจุดจบเร็วขึ้น พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเพียงแต่เพิ่มเติมหรือซ่อมแซมระบบเก่า พระองค์ทรงต้องการสร้างสิ่งใหม่จริงๆ แม้จิตตารมณ์ของการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติก็ต้องถูกยกให้สูงขึ้นด้วย

k คงจะเป็น “หัวหน้าศาลาธรรม” ซึ่งมาระโกและลูกาให้ชื่อว่า ไยรัส

l ในตะวันออกกลาง ผู้ร่ำไห้ไว้ทุกข์มักจะตีอกชกหัวส่งเสียงดังจนดูชุลมุนวุ่นวาย

m “โอรสของกษัตริย์ดาวิด” เป็นชื่อเรียกพระเมสสิยาห์ (2 ซมอ 7:1 เชิงอรรถ a; เทียบ ลก 1:32; กจ 2:30; รม 1:3) เป็นชื่อที่ชาวยิวคุ้นหูดี (มก 12:35; ยน 7:42) มัทธิวใช้ชื่อนี้กับพระเยซูเจ้าบ่อยกว่าผู้อื่น (มธ 1:1; 12:23; 15:22; 20:30//; 21:9, 15) แต่พระเยซูเจ้าทรงลังเลในการใช้ชื่อนี้ เพราะเป็นชื่อที่กล่าวถึงพระเมสสิยาห์ในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่านั้น (22:41-46; ดู มก 1:34 เชิงอรรถ m ด้วย) พระองค์พอพระทัยใช้สำนวนที่คลุมเครือว่า “บุตรแห่งมนุษย์” มากกว่า (8:20 เชิงอรรถ h)

n สำเนาโบราณบางฉบับ (Western Text) ละข้อความข้อนี้

o “ฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง” เป็นภาพเปรียบเทียบที่พบได้บ่อยๆ ในพระคัมภีร์ (กดว 27:17; 1 พกษ 22:17; ยดธ 11:19; อสค 34:5)