(ไฟล์ "เสียงวรสาร" โดย วัดแม่พระกุหลาบทิพย์ กรุงเทพฯ)

บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวในวันสับบาโต

6 1วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์เด็ดรวงข้าวมาขยี้กิน 2ชาวฟาริสีบางคนจึงถามว่า “ทำไมท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า” 3พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำอะไรเมื่อหิวโหย 4พระองค์เสด็จเข้าในพระนิเวศของพระเจ้า ทรงหยิบขนมปังที่ตั้งถวายมาเสวยและประทานแก่ผู้ติดตาม ขนมปังนี้ใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น” 5แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “บุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต”a

พระเยซูเจ้าทรงรักษาชายมือลีบ

          6วันสับบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมและทรงสั่งสอนที่นั่น มีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ 7บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีคอยจ้องดูว่าพระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ 8แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสกับชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ” เขาก็ลุกขึ้นยืน 9พระเยซูเจ้าตรัสกับคนทั้งหลายว่า “เราถามท่านว่า ในวันสับบาโตควรทำความดีหรือทำความชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” 10แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเขาทุกคนและตรัสกับชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือออกซิ” เขาก็ทำตามและมือของเขาก็หายเป็นปกติ 11บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูเจ้า

 

พระเยซูเจ้าทรงเลือกอัครสาวกสิบสองคน

          12ครั้งนั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13ครั้นรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก”b 14คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว 15มัทธิว โทมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” 16ยูดาสบุตรของยากอบc และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ

ประชาชนติดตามพระเยซูเจ้า

          17พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล 18มาฟังพระองค์ และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับการรักษาด้วย 19ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์รักษาทุกคนให้หาย

ธรรมเทศนาบทแรกdความสุขแท้จริงeและคำสาปแช่ง

          20พระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ตรัสว่า

          ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุข

เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน

          21ท่านที่หิวในเวลานี้ย่อมเป็นสุข

เพราะท่านจะอิ่ม

          ท่านที่ร้องไห้ในเวลานี้ย่อมเป็นสุข

เพราะท่านจะหัวเราะ

          22ท่านทั้งหลายเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายเกลียดชังท่าน ผลักไสท่าน ดูหมิ่นท่าน รังเกียจนามของท่านประหนึ่งนามชั่วร้ายเพราะท่านเป็นศิษย์ของบุตรแห่งมนุษย์ 23จงชื่นชมในวันนั้นเถิด จงกระโดดโลดเต้นยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านนั้นยิ่งใหญ่นักในสวรรค์ บรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกมาแล้ว

          24วิบัติจงเกิดกับท่านที่ร่ำรวย    

เพราะท่านได้รับความเบิกบานใจแล้ว

          25วิบัติจงเกิดกับท่านที่อิ่มเวลานี้

เพราะท่านจะหิว

          วิบัติจงเกิดกับท่านที่หัวเราะเวลานี้

เพราะท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้

          26วิบัติจงเกิดกับท่านเมื่อทุกคนกล่าวยกย่องท่าน เพราะบรรดาบรรพบุรุษของเขาเหล่านั้นเคยทำเช่นนี้กับบรรดาประกาศกเทียมมาแล้ว”

ความรักศัตรู

          27“แต่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน 28จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน 29ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย 30จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป 31ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด 32ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย 33ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย

34ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน 35แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนf แล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย

ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

36จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด 37อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน 38จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้นg เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”

ความดีบริบูรณ์

39พระเยซูเจ้ายังตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังอีกว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งคู่จะตกลงไปในคูมิใช่หรือh 40ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน 41ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย 42ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘พี่น้อง ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่ท่านไม่เห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเอง ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด ท่านจะเห็นชัด แล้วจึงค่อยไปเขี่ยiเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง

43ต้นไม้ที่เกิดผลไม่ดีย่อมไม่ใช่ต้นไม้พันธุ์ดี หรือต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมไม่ให้ผลดีเช่นกัน 44เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น เราย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม หรือเก็บผลองุ่นจากกอหนาม 45คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน ส่วนคนเลวย่อมนำสิ่งที่เลวออกมาจากขุมทรัพย์ที่เลวของตน เพราะปากย่อมกล่าวสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา

ศิษย์ที่แท้จริง

46ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า’ แต่ไม่ปฏิบัติตามที่เราบอก

47ทุกคนที่มาหาเราj ย่อมฟังคำของเราและนำไปปฏิบัติ เราจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า เขาเปรียบเสมือนผู้ใด 48เขาเปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้าน เขาขุดหลุม ขุดลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะบ้านหลังนั้น แต่ทำให้บ้านนั้นสั่นคลอนไม่ได้ เพราะบ้านหลังนั้นสร้างไว้อย่างดี 49แต่ผู้ที่ฟังและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนพื้นดินโดยไม่มีรากฐาน เมื่อน้ำในแม่น้ำไหลมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลายลงทันที และเสียหายมาก”

 

6 a สำเนาโบราณฉบับหนึ่งเพิ่มข้อความที่น่าสนใจ แต่พระเยซูเจ้าคงจะมิได้ตรัสแน่ๆ ว่า “ในวันเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงเห็นชายคนหนึ่งทำงานในวันสับบาโต จึงตรัสกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ถ้าท่านรู้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ ท่านก็เป็นสุข แต่ถ้าท่านไม่รู้ ท่านก็ถูกสาปแช่งและเป็นผู้ละเมิดธรรมบัญญัติ’”

b “อัครสาวก” คำในภาษากรีก (Apostolos) แปลว่า “ผู้ถูกส่งไป” คำนี้เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วในแวดวงทั้งของชาวยิวและชาวกรีก คริสตชนนำคำนี้มาใช้หมายถึงธรรมทูต “ที่ถูกส่ง” (ดู กจ 22:21 เชิงอรรถ I) เพื่อเป็นพยานถึงชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า (กจ 1:8 เชิงอรรถ k) ชื่อนี้ความหมายแรกใช้กับกลุ่มศิษย์พิเศษสิบสองคน (มก 3:14 เชิงอรรถ c) (ใน กจ คำนี้ใช้หมายถึงกลุ่มศิษย์สิบสองคนนี้เท่านั้น) แต่ยังมาใช้กับศิษย์อื่นๆ อีกด้วย (ดู รม 1:1 เชิงอรรถ b) การเป็น “อัครสาวก” นับเป็นพระพรพิเศษอันดับแรก (เทียบ 1 คร 12:28; อฟ 4:11) เป็นไปได้ว่า คริสตชนในสมัยแรก ไม่ใช่พระเยซูเจ้าได้เรียกบรรดาธรรมทูตว่า “อัครสาวก” (ผู้ถูกส่ง) แต่พระองค์ก็ได้ส่งบรรดาศิษย์ออกไปประกอบภารกิจแล้วแน่ๆ เช่น ทรงส่งไปตามหมู่บ้านต่างๆ ในแคว้นกาลิลีก่อน (9:6) แล้วต่อมาเมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ได้ทรงส่งพวกเขาไปทั่วโลก (24:47; กจ 1:8; ดู ยน 3:11 เชิงอรรถ f; 4:34 เชิงอรรถ k)

c ตามตัวอักษรว่า “ยูดาสของยากอบ” ซึ่งอาจจะหมายความว่า “น้องชายของยากอบ” ได้อีกด้วย (ดู มธ 10:2 เชิงอรรถ b)

d ธรรมเทศนาที่ลูกากล่าวถึงนี้ สั้นกว่าบทเทศน์บนภูเขาใน มธ เพราะ ลก มิได้เพิ่มเติมพระวาจาอื่นๆ ของพระเยซูเจ้าในเรื่องคล้ายคลึงกันเหมือนกับ มธ นอกจากนั้น ลก ยังได้ละเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่ไม่น่าสนใจสำหรับผู้อ่านที่ไม่ใช่ชาวยิว เช่นเรื่องธรรมบัญญัติ (ดู มธ 5:1 เชิงอรรถ a)

e มัทธิวกล่าวถึงความสุขแท้จริง 8 ประการ แต่ลูกากล่าวถึงความสุขแท้จริง 4 ประการ พร้อมกับวิบัติอีก 4 ประการ สำหรับ มธ ความสุขแท้จริงเหล่านี้เป็นแบบแผนสำหรับชีวิตใหม่ ซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติไปรับรางวัลในสวรรค์ แต่สำหรับ ลก ความสุขแท้จริงและวิบัติ สะท้อนสภาพชีวิตปัจจุบันซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสภาพตรงกันข้ามในชีวิตหน้า เช่นใน 16:25 ใน มธ พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงบุคคลที่สาม แต่ใน ลก พระองค์ตรัสโดยตรงกับผู้ฟัง

f ข้อความนี้ยังอาจแปลได้อีกว่า “โดยไม่ทำให้ผู้ใดผิดหวัง” หรือ “โดยไม่ทำให้ผู้ใดสิ้นหวังเลย”

g ตามตัวอักษร “เขาใส่ชายเสื้อของท่าน” ชาวยิวยกชายเสื้อยาวขึ้นเป็นเหมือนถุงใส่ข้าวหรือสิ่งของที่จะต้องขนไป

h ข้อความนี้ใน ลก พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ ส่วนใน มธ 15:14 พระองค์ตรัสกับชาวฟาริสี ข้อ 43-45 ก็เช่นเดียวกัน

i หรือ “แล้วจะได้เห็นชัดว่าจะเขี่ยเศษฟางอย่างไร”

j “ทุกคนที่มาหาเรา” เป็นสำนวนของยอห์น (ดู ยน 6:35 เชิงอรรถ k)