บทเทศน์โดยพระสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์  วีระ  อาภรณ์รัตน์

วันอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
26 มีนาคม 2017
บทอ่าน    1 ซมอ  16:1ข-13ก  ;    อฟ  5:8-14  ;    ยน  9:1-41
พระวรสารสัมพันธ์กับ    คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC)   575, 588, 595, 596, 1151, 1504, 2173, 2827
จุดเน้น    การดำเนินชีวิตในความสว่างของพระคริสต์  พูดง่าย  แต่ทำยาก


           นักบุญเปาโลเชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตเหมือนบุตรแห่งความสว่าง  เป็นการกล่าวง่ายๆ กว่าการลงมือปฏิบัติ  เราเพิ่งฟังบทอ่านแรกจากหนังสือซามูแอลฉบับที่หนึ่ง  และสิ่งที่เราเพิ่งได้ยินจากพระวรสารนักบุญยอห์น บทที่ 9  ก็เป็นพยาน

    ข้อแรก  ซามูเอลออกเดินทางไปเจิมดาวิดที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์อิสราเอลแทนซาอูล  ซามูเอลพิจารณาลูกของเจสซีตามรูปร่างภายนอกเท่านั้น  มิได้พิจารณาที่จิตใจ  ดังที่พระเจ้าคาดหวังให้ซามูเอลพิจารณา

    เริ่มจากเอลีอับ  ซึ่งซามูเอลเชื่อว่าพระเจ้าเลือก  บรรดาลูกของเจสซี (ทั้ง 7 คน) มาทีละคนต่อหน้าซามูเอล  พระเจ้ามิได้เลือกพวกเขา  ในที่สุด  พระเจ้าทรงเลือกดาวิด ลูกคนสุดท้อง  เจสซีได้เจิมเขาให้เป็นผู้นำ

    เวลาดาวิดได้รับเจิม “พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา”    อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์จะถึงวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์  บรรดาผู้สมัครเตรียมรับศีลล้างบาปและศีลกำลัง  จะรู้สึกเช่นเดียวกันว่า  พระจิตเจ้าสถิตกับพวกเขา  ช่วยให้เราคิดว่าเราต้องฟื้นฟูพระจิตเจ้าผู้สถิตกับเราด้วย

    ในพระวรสารวันนี้  พระเยซูเจ้าได้รักษาชายตาบอดแต่กำเนิด  จนเขาเชื่อในพระองค์    การกลับใจนี้ตรงข้ามกับของชาวฟาริสี  ผู้มีอำนาจและฐานะ  พวกเขาเชื่อพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธ
    ในที่สุด  พระเยซูเจ้าได้ตำหนิความบอดของชาวฟาริสี  ซึ่งพวกเขาตาดี  แต่เห็นอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าได้กระทำก็ยังไม่ยอมรับ  พระเยซูเจ้าบอกว่า  ความบอด (ทางจิตใจ) แบบนี้รักษายากกว่าตาบอดฝ่ายร่างกาย  ไม่ยอมเห็นความต้องการของผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา  เป็นพิเศษบรรดาคนที่ถูกทอดทิ้ง  และไม่มีอำนาจในสังคม  มองไม่เห็นคนโดดเดี่ยว  หรือเยาวชนที่ลำบาก  หรือครอบครัวที่เครียด  ความบอดที่ไม่เห็นความต้องการความช่วยเหลือตามที่พระเจ้าเห็น  ไม่ใช่แบบมนุษย์มอง

    สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเชิญชวนบรรดาคริสตชนบ่อยๆ และแม้ผู้ที่มิได้เป็นคริสตชนด้วย  ให้รักและช่วยเอาใจใส่กันและกัน  ให้รักและเอาใจใส่ดูแลบ้านในโลกนี้  พระเจ้ามิได้เรียกให้เราชอบทุกคน  ซึ่งเป็นไปไม่ได้ภาษามนุษย์  แต่พระเจ้าเรียกเราให้รักทุกคน  ซึ่งเป็นไปได้  เพราะว่าพระเจ้าสอนว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา

    ในโลกปัจจุบัน  เราคิดว่า หากเราไม่ชอบรับใครเป็นลูกตามกฎหมายบ้านเมือง  ไม่ชอบความเชื่อในศาสนา  หรือไม่ชอบมาตรฐานศีลธรรม  นั่นหมายความว่า  เราไม่ต้องรักเขา  ตรงข้าม  แบบอย่างความรักของเราที่พยายามช่วยเหลือผู้อื่นเพราะเห็นแก่พระคริสตเจ้า  นี่แหละเป็นคริสตชนที่ดีและซื่อสัตย์ของพระเจ้า  คือหน้าที่ของบุตรแห่งความสว่าง  นำคนอื่นมาหาพระเยซูคริสตเจ้า
พระสังฆราช  วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล
จาก  Daily Homilies โดย Catholic  Diocese  of  Lansing,
(มกราคม-มีนาคม  2017), หน้า 132-133.