“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2016

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา 

          วันนี้ในมิสซากำหนดให้อ่าน กจ 7:51-8:1a คงน่าเสียดายมากถ้าเราไม่ได้อ่านคำปราศรัยของสเทเฟนทั้งหมด นักบุญลูกาได้ซ่อนเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่งความรอด “ความเชื่อ” ของเราคริสตชนไว้ในคำปราศรัยของสเทเฟนอย่างน่าทึ่งที่สุด ถ้าเราไม่ได้อ่านทั้งหมดก็น่าเสียดายจริงๆ


• พ่ออยากให้เราได้อ่านครับ เพราะนี่เป็นปัสกาแล้ว และเราเชื่ออะไร ใครคนแรกที่ยอมตายเพื่อความเชื่อนี้ คำตอบคือ ปฐมมรณะสักขีสเทเฟนครับ ไม่อ่านไม่ได้ครับ
o เพราะเราเชื่อในพันธสัญญาเดิมที่นำมาสู่พันธสัญญาใหม่ เราเชื่อในการนำทางของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ จนมาถึงพระเยซู ซึ่งเป็นความครบครันแห่งพระสัญญาของพระเจ้า และ
o เราเชื่อในแผนการณ์แห่งประวัติศาสตรความรอด... ตั้งแต่พันธสัญญาเดิมจนถึงพันธสัญญาใหม่.. ความต่อเนื่องของข้อความเชื่อนี้
o พี่น้องครับ พวกเราได้มีความรู้ ความเชื่อ และเห็นพระเจ้าในพระคัมภีร์ตลอดพันธสญญาเดิมไหม... เราชัดเจนไหม นี่เป็นโอกาสดีครับ...

• ถ้าเรามีโอกาสอ่านกิจการอัคสาวก คือ อ่านคำปราศรัยต่างๆที่ลูกกาได้เรียบเรียงไว้ เราจะได้ไปถึงข้อความเชื่อ “Kerygma” “เกริกมา” คือข้อความเชื่อของอัครสาวกเลยครับ ดังนั้น วันนี้ ให้เรามาทบทวนความเชือของเราดีๆครับ จะมีความสุขกับความเชื่อของเรามากๆ อ่านด้วยกันยาวกว่าในบทอ่านในมิสซานะครับ

• ความจริง เราคริสตชน ต้องเชี่ยวชาญและมองเห็นพระเจ้าตลอดพันธสัญญาเดิมจนถึงพระเยซูครับ นี่เป็นโอกาสดีครับ ปีละครั้ง เรามาทบทวนประวัติศาสตร์แห่ความรอดกันครับ

วันนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพียงขอให้เราได้อ่านคำปราศรัยเปี่ยมความเชื่อของสเทเฟน พ่อคิด่าคุ้มค่ามากเหลือเกินแล้ว เรามาอ่านกันนะครับ...

กจ 7:1-8:1a…. วันนี้อ่านข้อความเชื่อประวัติศาสตร์แห่งความรอดให้จุใจเลยนะครับ.....

7 1 มหาสมณะถามสเทเฟนว่า “ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นความจริงหรือ” 2สเทเฟนตอบว่า ท่านมหาสมณะและพี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด

• พระเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ได้แสดงพระองค์แก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ขณะที่เขายังอยู่ในแคว้นเมโสโปเตเมียก่อนที่จะไปอยู่ที่แผ่นดินฮาราน 3พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงละทิ้งแผ่นดินของท่านและญาติพี่น้องของท่านไปยังแผ่นดินที่เราจะแสดงแก่ท่าน
o 4อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดียไปอยู่ที่ฮาราน หลังจากบิดาของอับราฮัมตาย พระเจ้าทรงย้ายเขาให้มาอยู่ในแผ่นดินนี้ที่ท่านทั้งหลายอยู่จนถึงบัดนี้ 5พระเจ้ามิได้ให้อับราฮัมมีสมบัติใด ๆ เป็นมรดกในแผ่นดินนี้แม้แต่แผ่นดินกว้างเท่าฝ่าเท้า แต่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานแผ่นดินนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เขาและแก่เชื้อสายของเขาในภายหลัง แม้ว่าเวลานั้นอับราฮัมยังไม่มีบุตร
o 6พระเจ้าตรัสว่า “เชื้อสายของอับราฮัมจะไปอาศัยในแผ่นดินของคนต่างชาติ จะตกเป็นทาสและถูกกดขี่เป็นเวลาสี่ร้อยปี 7”แต่เราจะตัดสินลงโทษชนชาติที่ทำให้เขาเป็นทาส” พระเจ้าตรัส “หลังจากนี้เขาจะออกจากแผ่นดินนั้นและถวายคารกิจแก่เรา ณ สถานที่นี้”
o 8พระเจ้าประทานพันธสัญญาซึ่งมีพิธีสุหนัตเป็นเครื่องหมายให้อับราฮัม อับราฮัมให้กำเนิดอิสอัคและทำพิธีสุหนัตให้อิสอัคในวันที่แปด อิสอัคให้กำเนิดยาโคบและยาโคบให้กำเนิดบรรพบุรุษทั้งสิบสองคนของเรา

• 9บรรดาบรรพบุรุษของเราอิจฉาโยเซฟจึงขายโยเซฟเป็นทาสให้ถูกนำตัวไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา 10และทรงช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากทุกประการ พระองค์ประทานปรีชาญาณให้ เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งประเทศอียิปต์ กษัตริย์ฟาโรห์ทรงแต่งตั้งโยเซฟให้ปกครองประเทศอียิปต์และเป็นผู้จัดการทรัพย์สินทั้งหมดของพระองค์

• 11เมื่อเกิดกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์และคานาอัน ก็มีความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวง บรรดาบรรพบุรุษของเราไม่มีอาหารเลี้ยงชีวิต 12เมื่อยาโคบได้ยินว่ามีข้าวขายในประเทศอียิปต์ จึงส่งบรรดาบรรพบุรุษของเราไปที่นั่นเป็นครั้งแรก 13ในครั้งที่สองโยเซฟแสดงตนให้พี่น้องรู้ว่าตนเป็นใคร กษัตริย์ฟาโรห์จึงทรงทราบถึงวงศ์ตระกูลของโยเซฟด้วย 14หลังจากนั้นโยเซฟส่งคนไปรับยาโคบผู้บิดาและญาติพี่น้องทุกคนเป็นจำนวนเจ็ดสิบห้าคน 15ยาโคบลงไปยังประเทศอียิปต์ เขาและบรรดาบรรพบุรุษของเราสิ้นชีวิตที่นั่น 16ศพของเขาทั้งหลายถูกย้ายมาอยู่ที่เมืองเชเคมและถูกฝังไว้ในสุสานซึ่งอับราฮัมซื้อไว้ด้วยเงินจากบุตรของฮาโมร์ บิดาของเชเคม

• 17เมื่อจวนถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้พันธสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมเป็นจริง จำนวนประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศอียิปต์ 18ต่อมากษัตริย์องค์ใหม่ทรงขึ้นปกครองประเทศอียิปต์ พระองค์ไม่ทรงรู้จักโยเซฟเลย 19จึงทรงใช้อุบายมาทำร้ายชาติของเรา โดยทรงบังคับให้บรรพบุรุษของเรานำทารกไปทิ้งให้ตาย 20โมเสสเกิดมาในเวลานั้นเอง เขาเป็นเด็กน่ารักมาก ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้านบิดาของเขาเป็นเวลาสามเดือน 21เมื่อเขาถูกนำไปทิ้ง พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ทรงเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม 22ดังนั้น โมเสสจึงได้เรียนรู้วิชาความรู้ทุกอย่างของชาวอียิปต์ และเป็นคนสำคัญเพราะคำพูดและการกระทำของเขา

• 23เมื่อโมเสสอายุสี่สิบปี เขาต้องการไปเยี่ยมพี่น้องชาวอิสราเอลทั้งหลาย 24เมื่อเห็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งถูกทำร้าย เขาจึงเข้าไปป้องกันและฆ่าชาวอียิปต์ที่ข่มเหงเป็นการแก้แค้น 25โมเสสคิดว่าพี่น้องคงเข้าใจว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดพ้น แต่ชาวอิสราเอลไม่เข้าใจเช่นนั้น 26วันรุ่งขึ้น โมเสสพบชาวอิสราเอลสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ เขาพยายามไกล่เกลี่ยทั้งสองคนให้คืนดีกัน กล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นพี่น้องกัน ทำไมท่านจึงทำร้ายกันเล่า 27แต่คนที่ทำร้ายเพื่อนบ้านผลักเขาออกไป ถามว่า “ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นหัวหน้าและผู้พิพากษาของพวกเรา 28ท่านต้องการฆ่าข้าพเจ้าอย่างที่ท่านฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ” 29เมื่อได้ยินเช่นนี้ โมเสสจึงหนีไปอยู่ในแผ่นดินมีเดียน ที่นั่นเขาให้กำเนิดบุตรชายสองคน

• 30เวลาผ่านไปสี่สิบปี ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏให้โมเสสเห็นในเปลวไฟของพุ่มไม้ที่กำลังลุกไหม้ในถิ่นทุรกันดารแห่งภูเขาซีนาย 31โมเสสรู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่ตนเห็น และขณะที่เข้าไปดูใกล้ ๆ นั้น เขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ตรัสว่า 32”เราเป็นพระเจ้าของบรรดาบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัคและของยาโคบ” โมเสสกลัวจนตัวสั่นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง 33แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงถอดรองเท้าออก เพราะที่ที่ท่านยืนอยู่นี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ 34เราเห็นประชากรของเราถูกกดขี่ข่มเหงในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของเขา เราจึงลงมาเพื่อช่วยเขาให้เป็นอิสระ ถึงเวลาแล้ว มาเถิด เรากำลังจะส่งท่านกลับไปยังประเทศอียิปต์”

• 35โมเสสผู้นี้ถูกชาวอิสราเอลปฏิเสธ ด้วยคำพูดที่ว่า “ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นหัวหน้าและผู้พิพากษาของเรา” แต่พระเจ้าทรงส่งเขาไปเป็นหัวหน้าและผู้ไถ่กู้ โดยทางทูตสวรรค์ที่ปรากฏมาในพุ่มไม้ 36เขานำชาวอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ โดยทำปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์ต่าง ๆ ในแผ่นดินนั้น ที่ทะเลแดงและในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี

• 37ผู้นี้คือโมเสสที่กล่าวกับบรรดาบุตรของอิสราเอลว่า “พระเจ้าจะทรงบันดาลให้ประกาศกคนหนึ่งเหมือนข้าพเจ้าเกิดขึ้นเพื่อท่านจากกลุ่มพี่น้องของท่าน” 38ผู้นี้อยู่ในที่ชุมนุม ในถิ่นทุรกันดาร เป็นคนกลางระหว่างทูตสวรรค์ที่ตรัสบนภูเขาซีนาย กับบรรพบุรุษของเรา เขาได้รับพระวาจาทรงชีวิต มามอบให้เรา 39บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังเขา ยิ่งกว่านั้นได้ปฏิเสธไม่ยอมรับเขา ต้องการ จะกลับไปประเทศอียิปต์อีก 40บรรพบุรุษของเราได้กล่าวกับอาโรนว่า “จงสร้างรูปพระซึ่งจะนำหน้าเราให้เราเถิด เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแก่โมเสสผู้นี้ซึ่งนำเราออกมาจากประเทศอียิปต์”

• 41ในโอกาสนั้น เขาทั้งหลายปั้นรูปลูกโคตัวหนึ่ง แล้วถวายเครื่องบูชาแก่รูปเคารพนั้น และชื่นชมผลงานจากมือของตน 42แต่พระเจ้าทรงเบือนพระพักตร์ไปจากเขา ทรงปล่อยเขาให้กราบไหว้ดวงดาวในท้องฟ้า ดังที่มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า
“พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
ท่านทั้งหลายนำเครื่องบูชาและของถวายมาให้เราในถิ่นทุรกันดารตลอดเวลาสี่สิบปีหรือ
43เปล่าเลย ท่านแบกกระโจมของพระโมลอค
และดาวของพระเรฟานซึ่งเป็นรูปเคารพที่เจ้าปั้นขึ้นเพื่อนมัสการ
ดังนั้น เราจะเนรเทศท่านให้ไปไกลกว่าบาบิโลนอีก

• 44บรรพบุรุษของเรามีกระโจมนัดพบในถิ่นทุรกันดารดังที่พระเจ้าตรัสบัญชาให้โมเสสสร้างขึ้นตามแบบที่เขาเห็น 45บรรพบุรุษของเราได้รับกระโจมนั้น

• และสมัยของโยชูวาเขาเหล่านั้นนำกระโจมเข้ามาในแผ่นดินของชนต่างศาสนาที่พระเจ้าทรงขับไล่ออกไปต่อหน้าบรรพบุรุษของเรา

• กระโจมนี้คงอยู่จนถึงสมัยกษัตริย์ดาวิด 46กษัตริย์ดาวิดทรงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และทรงขอสร้างที่พำนักสำหรับพระเจ้าของยาโคบ 47แต่กษัตริย์ที่ทรงสร้างที่พำนักถวายแด่พระเจ้าคือกษัตริย์ซาโลมอน 48แม้กระนั้น องค์พระผู้สูงสุดก็มิได้ทรงพำนักอยู่ในสิ่งก่อสร้างจากมือมนุษย์ ดังที่ประกาศกกล่าวไว้ว่า
49”สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา แผ่นดินเป็นที่วางเท้าของเรา
ท่านทั้งหลายจะสร้างบ้านชนิดใดให้เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส
หรือสถานที่ใดจะเป็นที่พักผ่อนของเรา
50มิใช่มือของเราที่สร้างสิ่งทั้งมวลเหล่านี้หรือ”

• 51”ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้า อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านเคยทำเช่นไร ท่านก็ทำเช่นนั้น 52มีประกาศกคนใดบ้างที่บรรพบุรุษของท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผู้ที่ประกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ด้วย 53ท่านทั้งหลายได้รับธรรมบัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่”54เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำรามเข้าใส่สเทเฟน

• 55สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ เบื้องขวาของพระเจ้า 56จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า” 57ทุกคนจึงร้องเสียงดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน 58ฉุดลากเขาออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอาหินขว้างเขา

• บรรดาพยานนำเสื้อคลุมของตนมาวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “เซาโล” 59ขณะที่คนทั้งหลายกำลังเอาหินขว้างสเทเฟน สเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” 60เขาคุกเข่าลงและร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดอย่าทรงลงโทษพวกเขาเพราะบาปนี้เลย” เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว เขาก็สิ้นใจ 8 1เซาโลเป็นคนหนึ่งที่เห็นชอบกับการที่สเทเฟนถูกฆ่า

-----------------------------

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• เรื่องราวของสเทเฟนที่ท่านได้ปราศรัยต่อหน้าประชาชนและมหาสมณะ

• ท่านนักบุญลูกาบันทึกไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวกอย่างครบถ้วนซึ่งคำปราศรัย ลูกาได้บันทึกคำพูดของสเทเฟส นี่คือเป็นเทคนิคของลูกา คือให้ผู้อ่านได้ทบทวนถึงระวัติศาสตร์แห่งความรอดที่มาสุกงอมมาเรื่อยจนกระทั่งมาครบครันในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า
o ในมิสซาเราได้อ่านเพียงตอนปลายของบทที่ 7 ซึ่งอันที่จริงบทนี้เรียกว่า ยาวมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะอยู่ในคำปราศรัยของสังฆานุกรมรณะสักขีองค์แรกที่ยอมตายเพื่อความเชื่อในพระเยซูเจ้า

• ท่านนักบุญสเทเฟนประกาศ และท่านนักบุญคือตัวอย่างของเรา
o เพื่อยืนยันว่าเรารู้จักพระเยซูเจ้าจริงๆ
o เราต้องรู้จักพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม หรือประวัติศาสตร์แห่งความรอดอย่างดีๆ

• นักบุญลูกาบันทึก คำปราศรัยของสเทเฟนนี้ ต้องการชี้ให้เห็นว่า
o นี่คือสรุปความรู้ประวัติศาสตร์ความรอดจริงๆ คือ
o จำเป็นต้องรู้จักพระเยซูเจ้าอย่างลึกซึ้งที่สุด
o ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของพันธสัญญาเดิมอย่างดีที่สุด...

• คำปราศรัยนี้คือสรุปความเชื่อในประวัติศาสตร์ความรอดจริงๆครับ...
o พ่อจำเป็นต้องให้อ่าน ต้องเทศน์และเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอย่างดี ๆ
o เพราะนี่คือสรุปประวัติศาสตร์แห่งความรอด ความเชื่อ ตลอด สองพันปีก่อนพระเยซูเจ้า และมาสุกงอมครบครันในพระเยซูเจ้าครับ

• พี่น้องที่รัก สิ่งที่ลูกาเขียนในกิจการบทนี้คือสิ่งที่เราเรียกได้ว่า เป็นผลงานชิ้นเอกในเรื่องการสรุปประวัติศาสตร์แห่งความรอด และได้บันทึกโดยอาศัยคำปราศรัยของนักบุญสเทเฟน

• พ่อคิดว่า เราต้องตระหนักในเรื่องของประวัติศาสตร์ความรอด เราต้องตระหนักในเรื่องพระเยซูเจ้า ถ้าเรารักพระองค์ เราต้องรู้จักเรื่องราวของพระองค์อย่างดี เมื่อวานพ่อกล่าวถึงสามเณร การบวชเป็นพระสงฆ์ พ่อสรุปได้ว่า คนที่จะเป็นคริสตชน คนที่จะเป็นบวช โดยเฉพาะเป็นสังฆานุกรเป็นพระสงฆ์ ต้องรู้จักพระเยซู และประกาศถึงพระองค์ได้อย่างมั่นใจนะครับ...

• วันนี้ พระวาจาของพระเจ้า คือ สรุปประวัติศาสตร์ความรอด เรารู้จักจริงๆไหมหนอ... พี่น้องครับ ค่อยๆทำความรู้จักประวัติศาสตร์ความรอดนี้ ผ่านทางคำปราศรัยของท่านนักบุญสเทเฟนนะครับ ค่อยๆอ่าน อ่านหลายๆรอบก็ได้ ให้เราได้จมลึกในความจริงแห่งความรอดนี้ครับ

• ภาพแปลกๆที่สเทเฟนเห็น... “55สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ เบื้องขวาของพระเจ้า 56จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าเปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า””
o ปกติพระบุตร พระเยซู ประทับเบื้อขวาพระบิดานั้น น่าจะ “นั่ง” ไม่ใช่ “ยืน” ... ตรงนี้แปลกนิดหนึ่งครับ
o คำตอบคือในภาพนี้ เป็นเหมือนศาลตัดสิน พระบิดาประทับนั่งดั่งผู้พิพากษา สเทเฟน คือ จำเลยที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าบรรดาสมณะและฟาริสีที่กล่าวหาสเทเฟน ต้องการทุ่มหินท่านให้ถึงตาย.. แต่ ในภาพของพระคัมภีร์นี้ เพราะสเทเฟนเชื่อในพระเยซูเจ้า และพระดูเหมือนท่านได้เห็น พระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ทรงประทับยืนเพื่อยืนยันต่อพระบิดาถึงความบริสุทธิ์แห่งความเชื่อของท่าน
1. ดังนั้น ผู้พิพากษาคือพระเจ้าพระบิดา (ประทับนั่ง)
2. ผู้กล่าวหาคือบรรดาสมณะและชาวยิว (ยืน)
3. ผู้ถูกกล่าวหาคือท่านนักบุญสเทเฟน
4. ผู้เป็นทนายแก้ต่างยืนยันความบริสุทธิ์และสัตย์ซื่อของสเทเฟน คือ พระเยซูเจ้า (ยืน)
o เราจึงเห็นภาพของ “ความเชื่อ” และความซื่อสัตย์ในความเชื่อ แม้ถูกเบียดเบียนถึงตาย แต่พระเยซูเจ้าทรงประทับยืน ยืนยันความบริสุทธิ์แห่งความเชื่อของสเทเฟน

• พี่น้องที่รัก อ่านพระวาจาวันนี้
o เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์แห่งความรอดที่สรุปอย่างดีเยี่ยมโดยท่านนักบุญลูกาบันทึกไว้ในกิจการอัครสาวก ในคำปราศรัยของสเทเฟน และความเชื่อของสเทเฟนเช่นนี้
o จึงควรเป็นความเชื่อของเรา ไม่กลัวการเบียดเบียน กระแสโลกใดๆ เพราะพระเยซูคริสตเจ้าคือผู้ประกันความรอดพ้นของเราต่อพระเจ้าพระบิดา

• ขอพระเจ้าอวยพรให้เราทุกคนเข้มแข็งในความเชื่อนะครับ

 

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก