รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2016
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต 

• “พระเจ้าข้า ลูกไม่มีอะไรสำหรับพระองค์นอกจาก หัวใจที่ตรมตรอมและใจที่ถ่อมตนเป็นที่พอพระทัย”
o พ่อลอกความบทภาวนานี้มาจากบทเพลงของชายหนุ่มสามคน ที่กำลังถูกเผาอยู่ในกองไฟ เมื่อพวกเขากำลังถูกเนบูคัสเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้สั่งให้เพิ่มไฟแรงเจ็ดเท่าเพื่อเผาพวกเขาที่ไม่ยอมกราบไว้รูปเคารพของบาบิโลน...
o พ่ออยากให้เราอ่านเรื่องราวพระคัมภีร์ตอนนี้หน่อยนะครับ... จะได้เห็นที่มาที่ไปของเรื่องราวของประกาศกดาเนียล...


• ทำความเข้าใจก่อน...
o เรื่องของดาเนียล การถูกเผาในกองไฟ... เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยามที่แย่ที่สุดของชนชาติ ความงดงามแห่งความเป็นประชากรของพระเจ้า.. เขาเคยมีพระวิหาร เขาเคยมีสมณะ เขาเคยมีการถวายบูชามากมายที่ถวายแด่พระเจ้า ความงดงามของพระวิหารที่เยรูซาเล็ม และความเป็นศาสนาที่ต้องถือว่าพิเศษสุด
o แต่เพราะความไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และหลงไปกับเครื่องบูชา พิธีการ พิธีกรรมต่างๆนานา แต่ความจริงทางศาสนานั้นอ่อนแอ และไม่ได้กระทบชีวิตจริงที่ต้องศักดิ์สิทธิ์และเป็นประชากรของพระเจ้า จนกระทั่ง ปี 587 ก่อนคริสตกาลเหตุร้ายก็เกิดขึ้นจนได้....เรื่องราวโดยสรุปเป็นดังนี้
o สำหรับอิสราเอล อาณาจักรใต้ คือ อาณาจักรยูดาห์ มีเมืองหลวงอยู่ที่เยรูซาเล็ม ในปี 587 ก่อนคริสตกาล อาณาจักรบาบิโลนโดยการนำของเนบูคัสเนสซาร์ได้ทำลายกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาได้เผาทำลายพระวิหารและทำลายทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง
o ชาวยิวทั้งหลายที่เป็นคนชั้นสูง คนที่มีคุณภาพทั้งหลายถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ผลตามมาคือ พังหมดเลย พระวิหาร ความงดงาม ความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินของพระเจ้า หมดจริงๆ ต้องไปเป็นเชลยศึกอยู่บาบิโลน เป็นเชลยของเนบูคัสเนสซาร์

• เรื่องราวของหนังสือประกาศกดาเนียลตอนนี้น่าอ่านมากๆครับ สามารถอ่านได้อย่างดีมากๆทีเดียว พ่ออยากให้อ่านจะเห็นว่า เรื่องราวทำให้เราได้เห็นผลของการเป็นเชลยศึก และกษัตริย์เนบูคัสเนสซาร์ก็ได้กระทำกับประชากรของพระเจ้า และการเบียดเบียนทางศาสนาและเรียกร้องให้ต้องนมัสการพระเท็จเทียมก็เป็นการบีบคั้นจิตใจเหลือเกิน

• พระวาจาตอนนี้ต้องอ่านเลยนะครับ.. เรามาอ่านดาเนียลบทที่ 3:8-23 ด้วยกันนะครับ น่าอ่านมากๆครับ ก่อนจะไปอ่านพระวาจาประจำวันนี้ เพื่อใช้ส่วนนี้เป็นส่วนนำความเข้าใจจริงๆ
o “8เวลานั้น ชาวเคลเดียบางคนเข้ามาฟ้องกล่าวหาชาวยิว 9ทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงพระเจริญตลอดไปเถิด 10ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกาว่าผู้ใดได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง และเครื่องดนตรีทุกชนิด ต้องกราบนมัสการรูปปั้นทองคำ 11ผู้ใดไม่กราบนมัสการจะต้องถูกโยนลงไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง
o 12บัดนี้ ข้าแต่พระราชา ชาวยิวบางคนที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้ปกครองแคว้นบาบิโลน คือชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขาไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ ไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งไว้”
o 13กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก มีรับสั่งให้นำตัวชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกเข้ามา คนเหล่านี้ก็เข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ 14กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความจริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่เราตั้งไว้
o 15บัดนี้ เมื่อท่านได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ เสียงปี่ เสียงพิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุงและเครื่องดนตรีทุกชนิด จงเตรียมพร้อมที่จะกราบนมัสการรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น ถ้าท่านไม่ยอมทำเช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลงทันที แล้วพระเจ้าใดเล่าจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้”
o 16ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ 17ข้าแต่พระราชา ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากเตาที่มีไฟลุกโพลง และให้พ้นพระอานุภาพของพระองค์ได้
o 18แม้พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ทรงช่วย ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์ทรงทราบเถิดว่าข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของพระองค์ และจะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น”
o 19กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนเป็นดุดันต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนจัดกว่าเดิมอีกเจ็ดเท่า 20และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง 21เขาทั้งสามคนก็ถูกมัดไว้ทั้งที่ยังสวมเสื้อคลุม กางเกง หมวกและเครื่องแต่งกายอื่นๆ และถูกโยนเข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง 22ทหารปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์อย่างเคร่งครัด ไฟในเตาจึงร้อนจัด เปลวไฟก็เผาคนเหล่านั้นที่โยนชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกลงในเตาไฟ 23ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ทั้งสามคนนี้ตกลงไปในเตาที่มีไฟลุกโพลงทั้งๆที่ถูกมัด”
---------------------------------------

พระวาจาที่เราได้อ่านในวันนี้คือคำอธิษฐานภาวนา หรือบทเพลงของอาซาริยาห์
ดนล 3:25, 34-43….

25อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้
34ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไป
เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
ขออย่าทรงทำลายพันธสัญญาของพระองค์เลย
35ขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไปจากข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหาย ของพระองค์
เพราะเห็นแก่อิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์
และเพราะเห็นแก่อิสราเอลผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
36พระองค์ทรงสัญญาแก่เขาเหล่านี้ว่า
จะให้เขามีลูกหลานมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้า
ดุจเม็ดทรายบนชายทะเล
37ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นชนชาติเล็กน้อยที่สุด
บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้าทั้งหลาย
38บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มีผู้นำ ไม่มีประกาศก ไม่มีเจ้านาย
ไม่มีเครื่องเผาบูชา ไม่มีเครื่องบูชา ไม่มีของถวาย ไม่มีการถวายกำยาน
ไม่มีสถานที่ที่จะถวายผลิตผลแรกแด่พระองค์เพื่อจะได้รับพระกรุณา
39แต่ขอให้จิตที่ตรมตรอมและใจที่ถ่อมตนเป็นที่พอพระทัยพระองค์
ดังแกะเพศผู้และโคเพศผู้ที่ถวายเป็นเครื่องเผาบูชา
ดังลูกแกะอ้วนพีนับพันๆตัวถวายพระองค์
40ขอทรงพระกรุณารับข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเครื่องบูชาเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้
แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะติดตามพระองค์ต่อไป
เพราะผู้ที่วางใจในพระองค์ย่อมไม่ได้รับความอับอาย
41บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายติดตามพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ
ยำเกรงพระองค์และแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
42ขออย่าทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องได้รับความอับอาย
แต่โปรดทำกับข้าพเจ้าทั้งหลายตามพระกรุณา
และตามพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์เถิด
43โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นด้วยกิจการอัศจรรย์ของพระองค์
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพระเกียรติแก่พระนามของพระองค์เถิด
------------------------

• พี่น้องที่รักจากพระวาจาตอนนี้เราได้อ่านในวันนี้คือบทเพลงของอาซาริยาห์
o เราจะเห็นคำร้องขอพระเจ้า และ
o คำสารภาพอันยิ่งใหญ่
o แม้ไม่มีอะไรเหลือแล้วแต่สิ่งที่อาซาริยาห์มีคือหัวใจที่ตรอมตรมเป็นทุกข์ที่ชนชาติได้ทำผิดต่อพระองค์ และขอพระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระกรุณาต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

• พ่ออยากให้เพลงสรรเสริญพระเจ้าของอาซาริยาห์เป็นบทเพลงที่เราจะขับร้องสรรเสริญพระเจ้าเช่นกัน

• ในยามที่เราอยู่ในเทศกาลมหาพรต ในยามที่เราต้องยอมรับความจริงว่า ชีวิตของเราไม่มีอะไรมีคุณค่าต่อพระเจ้ามากไปกว่าหัวใจของเรา ชีวิตจิตวิญญาณของเรา
o ความหมายทางด้านศาสนาที่แท้จริงของเรา คือ หัวใจและชีวิตของเราที่เผชิญอยู่กับความจริงและความดีของพระเจ้า เป็นการพบปะกับพระเจ้าโดยแท้จริงตลอดไป

• พี่น้องที่รัก ให้เรามาอธิษฐานภาวนาพร้อมกับความซื่อสัตย์ของชายสามคนที่อยู่ในเตาไฟ แต่ได้รับการกอบกู้จากพระเจ้าด้วยกันนะครับ
o ขอพระเจ้าอวยพรครับ ชีวิตเราไม่ต้องมีอะไรมากเพื่อบอกว่าเราเป็นคริสตชน เป็นคนมีศาสนา
o แต่ที่สำคัญคือหัวใจของเรา จิตใจของเรา สรรเสริญ ขอบคุณ ขอโทษ และวอนขอพรจากพระเจ้า นั่นคือชีวิตภาวนาของเราครับ

• อ่านคำภาวนาของอาซาริยาห์ตอนนี้ดีๆนะครับ สุดยอด เราจะรู้ว่า
o แม้เราไม่มีอะไรที่สำคัญหรือยิ่งใหญ่ แต่พระเจ้ายิ่งใหญ่เสมอสำหรับเรา
o ชีวิตคริสตชนไม่ต้องหรูครับแต่ต้องงดงามในความเชื่อ
o ชีวิตคริสตชนคือการวาง ใจในพระเจ้าครับ จนอยากจะกลับใจ อยากจะติดตามพระเจ้าตลอดไป..งดงามมากครับ