"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“อย่าห้ามเขาเลย”

48.การใช้พระนามของพระเยซูเจ้า(มก 9:38-40)
     9 38ยอห์นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้าเราได้เห็นคนคนหนึ่งขับไล่ปีศาจเดชะพระนามพระองค์เราจึงพยายามห้ามปรามไว้เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา” 39พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลยไม่มีใครทำอัศจรรย์ในนามของเราแล้วต่อมาจะว่าร้ายเราได้40ผู้ใดไม่ต่อต้านเราก็เป็นฝ่ายเรา”


a)    อธิบายความหมาย
ข้อความสั้น ๆ นี้ แทรกเข้ามาระหว่างคำสอนของพระเยซูเจ้าเรื่อง “เด็กเล็กๆ” ซึ่งจะต่อไปอีกตั้งแต่ข้อ 42 ความคิดหลักที่เป็นแรงบันดาลใจของข้อความนี้และข้อความต่อๆ ไป สรุปได้โดยวลีที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ในนามของเรา” (9:27) บรรดาศิษย์ผู้ประสบความล้มเหลวในการขับไล่ปีศาจซึ่งสิงอยู่ในตัวเด็กที่เป็นโรคลมบ้าหมู (เทียบ 8:14-29) บัดนี้ เขาพยายามผูกขาดความเชื่อในพระคริสตเจ้าไว้ในกลุ่มของตน แต่พระอานุภาพและประสิทธิผล “พระนามของพระเยซูเจ้า” สถิตเลยโพ้นขอบเขตของหมู่คณะบรรดาศิษย์และพระศาสนาจักร
- ยอห์นทูลพระองค์ว่า นี่เป็นครั้งเดียวในพระวาสารตามคำเล่าของนักบุญมาระโกที่บันทึกว่า นักบุญยอห์น อัครสาวกปรากฏตัวในฐานะบุคคลสำคัญเพียงลำพังและเช่นเดียวกับในข้อความที่ปรากฏกับบุคคลอื่น เขายังแสดงบุคลิกภาพเป็นคนใจร้อนและหวงแหนสิทธิพิเศษของตน (เทียบ 3:17; 10:35-45)

- “พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนคนหนึ่งขับไล่ปีศาจเดชะพระนามพระองค์ ชาวยิวประกอบพิธีขับไล่ปีศาจบ่อย ๆ แม้ในสมัยของพระเยซูเจ้าด้วย (เทียบ มธ 12:27; ลก 11:19) เรารู้ว่า เขามักจะภาวนาวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า โดยอ้างชื่อของบุคคลผู้มีอำนาจ (เทียบ กจ19:13-16)พระเยซูเจ้าทรงเคยมอบอำนาจขับไล่ปีศาจแก่บรรดาศิษย์เมื่อทรงส่งเขาไปประกาศข่าวดีตามหมู่บ้าน (เทียบ6:7-13) เขาได้พบคนคนหนึ่งซึ่งแม้ไม่ได้รับภารกิจเช่นนี้จากพระองค์แต่ก็ขับไล่ปีศาจเดชะพระนามของพระเยซูเจ้าได้ คือโดยอ้างพระอานุภาพของพระองค์  

- เราจึงพยายามห้ามปรามไว้ เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา” ถ้อยคำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักบุญยอห์นเป็นคนหุนหันพลันแล่น ดังที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งชื่อให้เขาว่า “โบอาแนรเกส” แปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” (เทียบ 3:17) และเป็นสมาชิกในกลุ่มที่ปิดตัวแก่บุคคลรอบข้าง พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกาเล่าว่านักบุญยอหน์และนักบุญยากอบต้องการ “เรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญ” ชาวสะมาเรียที่ไม่ยอมรับเสด็จพระองค์(เทียบ ลก 9:54)

- พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลย” ในเรื่องการทำความดี หน้าที่แรกของผู้มีอำนาจและผู้เป็นเพียงสมาชิกในหมู่คณะคือ สนับสนุนไม่ใช่คอยขัดขวางการกระทำนั้น ๆ ตัวอย่างเช่นเมื่อนักบุญเปาโลต้องเผชิญหน้ากับผู้ประกาศสอนเรื่องพระคริสตเจ้า เพราะอิจฉาและแข่งขันชิงดีกับนักบุญเปาโล เขาก็เขียนไว้ว่า “แต่จะเป็นอะไรไปเล่า ไม่ว่าโดยวิธีใด จะเป็นเพราะความเสแสร้งหรือด้วยใจจริงก็ตาม พระคริสตเจ้าก็ทรงได้รับการประกาศแล้ว เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีและจะยินดีต่อไป”(ฟป1:18)

- ไม่มีใครทำอัศจรรย์ในนามของเรา แล้วต่อมาจะว่าร้ายเราได้ เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า ผู้ขับไล่ปีศาจคนนั้น ทำสิ่งที่ดี เขาไม่ยกตนเองเทียบกับพระคริสตเจ้า แม้เขาอาจใช้พระนามของพระเยซูเจ้าดุจเวทมนตร์ แต่เขาเชื่อในอำนาจพระนามของพระองค์และไม่กระทำเพื่อเป็นคู่แข่งกับบรรดาศิษย์ของพระองค์  การที่เขาขับไล่ปีศาจได้สำเร็จ แสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงกระทำอัศจรรย์โดยใช้เขาเป็นเครื่องมือ

- ผู้ใดไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” ประโยคนี้มีลักษณะเหมือนคำพังเพยและมีความหมายชัดเจน ไม่แสดงเพียงความอดทนต่อผู้อื่น แต่ยังแสดงพระทัยกว้างของพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเปิดรับทุกคนแม้ผู้ที่ไม่เป็นบุคคลในกลุ่มบรรดาศิษย์ เป็นการประกาศอิสรภาพของบรรดาบุตรของพระเจ้า ผู้ที่ไม่วางตัวเป็นศัตรูต่อหมู่คณะที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ ก็นับว่าเป็นสมาชิกของคณะนั้นไม่มากก็น้อย เพราะถ้าเขาทำความดีโดยอ้างพระนามของพระเยซูเจ้า ก็หมายความว่าพระองค์ทรงทำงานในตัวเขา และสักวันหนึ่งจะทรงบันดาลให้เขาเข้าร่วมหมู่คณะของพระองค์อย่างเปิดเผย พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกที่สร้างหมู่คณะของบรรดาศิษย์ และพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้อย่างอิสระ ทรงทำงานแม้นอกขอบเขตที่มองเห็นได้ของหมู่คณะ เพราะพระองค์ทรงสร้างหมู่คณะโดยอาศัยพระจิตเจ้าผู้ทรงทำงานในมนุษย์ทุกคน

         บางคนคิดว่า คำยืนยันนี้ของพระเยซูเจ้าขัดแย้งกับคำยืนยันของพระองค์ดังที่นักบุญมัทธิวและนักบุญลูกาบันทึกไว้คือ “ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา” (มธ12:30;ลก 11:23)โดยแท้จริงแล้ว ประโยคนี้ต่างจากพระวาจาที่ว่า “ผู้ใดไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” เพราะกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างกันและมีสถานการณ์ที่เรียกร้องการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า ในการต่อสู้ระหว่างพระเยซูเจ้ากับซาตาน มนุษย์ต้องเลือกเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น มนุษย์จะได้รับความรอดพ้นเพียงในการอยู่กับพระคริสตเจ้าเท่านั้น