ไตร่ตรองพระวาจา  โดย..คุณพ่อชวลิต  กิจเจริญวันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา
บทอ่าน 2คร 5:14-21 / มธ 5 33-37
         คำสอนของพระศาสนจักร “เรื่องพระนามของพระเจ้าเป็นพระนามศักดิ์สิทธิ์”ข้อที่ 2142 ได้กล่าวว่า “พระบัญญัติประการสองพูดถึงความเคารพ ต่อพระนามของพระเป็นเจ้า เหมือนกับพระบัญญัติประการที่หนึ่ง ที่พูดถึงฤทธิ์กุศลความเชื่อ เป็นต้น การที่เราจะใช้วาจาของเรา ในเรื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์

และข้อที่ 2145 ได้กล่าวว่า “สัตบุรุษควรที่จะเป็นประจักษ์พยานต่อพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า ด้วยการประกาศความเชื่อ โดยไม่ต้องมีความกลัวแต่อย่างใด การเทศน์สอนและการสอนคำสอน ควรที่จะประกอบด้วยกว่าการสรรเสริญและเคารพ ต่อพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า”
 
        มีแนวทางปฏิบัตินานมาแล้ว สำหรับคนที่กำลังจะรับตำแหน่งหน้าที่ หรือการงาน จะต้องให้คำสาบาน ที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อรับใช้ประเทศชาติหรือประชาชน คำสาบานจะต้องจบลงว่า  ”ข้าแต่พระเป็นเจ้า ขอทรงโปรดช่วยเหลือข้าพเจ้า” ซึ่งมีความหมายว่า คนที่กำลังจะรับหน้าที่หรือการงานไต้ร้องหาความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้า เพื่อให้พวกเขาได้เจริญชีวิตตามคำเรียกร้อง ที่จะรับใช้จนสุดวามสามารถ การสาบานจึงไม่ใช่เป็นเพียงพิธีการภายนอก แต่มันเป็นพิธีการศักดิ์สิทธิ์ ที่จะเรียกหาพระเป็นเจ้า เพื่อขอให้พระองค์มาประทับอยู่ กับผู้ที่สาบาน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ความต้องการของผู้สาบาน จะไม่ใช่รับใช้คนอื่น แต่รับใช้ตัวเอง ไม่ใช่ เป็นผู้ให้ แต่จะเป็นผู้รับ ซึ่งพิธีการที่สง่างามดังกล่าว จะเป็นเพียงการออกพระนามของพระเป็นเจ้าอย่างไม่สมเหตุ ในพระวรสารวันนี้พระเยซูเจ้าได้ตรัสอย่างชัดเจนว่า “จงบอกว่าใช่ เมื่อท่านต้องการที่จะบอกว่าใช้ และจงบอกว่าไม่ใ ช่เมื่อต้องการบอกว่าไม่ใช่” (ข้อที่ 37)
 
        ขอสรุป ด้วยคำสาบานของนักบวชคนหนึ่งว่าดังนี้ “ ข้าพเจ้ายินดีที่จะมอบใจ แด่เพื่อนพี่น้อง ทั้งนี้โดยอาศัยพระจิตเจ้า ด้วยการเสนอวิงวอนของดวงพระหฤทัยนิรมลของพระแม่มารีอา และต่อนักบุญฟรังซิส ซึ่งเปรียบเหมือนบิดาของเรา ต่อนักบุญทั้งหลาย และด้วยความช่วยเหลือของบรรดาพี่น้อง ข้าพเจ้าจะสามารถที่จะทำให้คำปฏิญาณของข้าพเจ้านั้นเป็นจริง เพื่อจะรับใช้พระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร”