“ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง" (ยน. 8:31)

รำพึงพระวาจาประจำวัน โดยคุณพ่อสมเกียรติ  ตรีนิกร
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2015
สัปดาห์ที่สิบแปด เทศกาลธรรมดา

(ฉลองพระคริสตเจ้าประจักษพระวรกาย)
มก 9:2-9…

2ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา 3ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกทำให้ขาวเช่นนั้นได้ 4แล้วประกาศกเอลียาห์กับโมเสสแสดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า 5เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” 6เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรเพราะศิษย์ทั้งสามคนต่างตกใจกลัว 7ครั้นแล้วเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ มีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” 8ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามคนเหลียวมองรอบๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตนนอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น



อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
 
• ทำไมการแสดงพระวรกายอย่างรุ่งโรจน์บนภูเขาทาบอร์ ต้องเป็น “วันฉลอง” พ่อเพิ่งผ่านการเทศน์เข้าเงียบให้กับสามเณรใหญ่ ปีสี่และปีห้า และเราได้ไตร่ตรองพระคัมภีร์ช่วงจากกาลลิลีสู่เยรูซาเล็ม... มก 8:27-10:52 รวมเกือบสมบท และบทที่ 9:2-8 ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของพระคัมภีร์ช่วงนี้ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาทาบอร์

o การศึกษาพระคัมภีร์ของพ่อเสมอมาในเรื่องนี้ พ่อมีความประทับใจมากเสมอเรื่องนี้เพราะต้องถือว่าเป็นเรื่องสุดยอดเสมอ เมื่อพระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง... และพระองค์ทรงสำแดงพระวรกายต่อหน้าพวกเขา... เรื่องนี้มีศูนย์กลางสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้โดยเด็ดขาดถึงความโดดเด่นของพระ เยซูเจ้าบนภูเขาทาบอร์ ท่ามกลางการประจักษ์มาของเอลียาห์และโมเสส 

o วันนี้พ่อคงต้องย้ำเหมือนๆ ทุกปีที่เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม เวียนมาถึง พ่อต้องเน้นอีกถึงความสำคัญ.... เรามาศึกษาไตร่ตรองความสำคัญกันครับ มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ และพ่อคงต้องย้ำให้กับพี่น้องได้อ่านทุกๆปีนะครับ ขอเสนอเป็นประเด็นๆดังนี้

• คำถามสำคัญ คือ ทำไมต้องเป็นเฉพาะเปโตร ยากอบ และยอห์น ทำไมมีเพียงสามคนที่ถูกเรียกเป็นพิเศษเพื่อการนี้... สังเกตว่า ทั้งสามคนนี้อยู่ในเหตุการณ์สำคัญของพระเยซูเจ้าเสมอ (มก 5:37; 14:33) เทียบ มก 3:16 สามคนนี้อยู่ในลำดับแรกของรายชื่ออัครสาวกของพระเยซูเจ้า สามคนนี้คือกลุ่มหัวใจของกลุ่มศิษย์เท่านั้น หรือมีอะไรมากกว่านั้น ที่พระคัมภีร์เน้นถึงความสำคัญของสามคนนี้เสมอๆ

o จำนวนสามเป็นจำนวนที่เกี่ยวกับพยานสำคัญ ซึ่งต้องมีสองคนขึ้นไป จึงจะถือได้ว่าเป็นพยานเพียงพอครบถ้วนกับการเป็นการยืนยันเรื่องใดเรื่อง หนึ่ง

o (เทียบ อพย 24:9 “แล้วโมเสส อาโรน นาดับ อาบีฮู และผู้อาวุโสชาวอิสราเอลเจ็บสิบคนขึ้นไปบนภูเขา”) 

o ดังนั้น เปโตร ยากอบ และยอห์น ทั้งสามคนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงความรุ่งโรจน์ของพระเยซู เจ้า และใจความสำคัญของเหตุการณ์นี้คือเสียงจากเมฆที่ให้ต้องฟังพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็น “บุตรสุดที่รักของพระเจ้า”

• ทำไมต้องขึ้นไปบนภูเขาสูตามลำพัง... คำว่า “บนภูเขาสูง ตามลำพัง” ภูเขาสูง เราไม่เคยทราบจริงๆว่าเป็นภูเขาลูกไหนจริงๆ แต่ธรรมประเพณีก็ชี้ให้เห็นว่ามีภูเขาสูที่ยืนอยู่ตามลำพัง คือ ยืนอยู่โดดๆลูกหนึ่ง ที่ธรรมประเพณีถือกันมานานว่าเป็นภูเขาในกาลิลีที่ชื่อว่า “ทาบอร์” ที่เป็นสถานที่นั้นที่ปัจจุบันมีวัดที่เราไปแสวงบุญกันทุกวันนี้

• แน่นอนว่าเราไม่เคยรู้แน่ๆหรอกว่าภูเขาลูกไหนจริงๆที่พระองค์เสด็จขึ้นไป ประจักษ์พระวรกาย แต่การศึกษาทางภูมิศาสตร์และตัวบทพระคัมภีร์ “ภูเขาสูงตามลำพัง” ก็ไม่น่าจะไกลจากความจริงที่เราเห็นในปัจจุบันนัก และที่แน่ๆ ณ ภูเขาที่ชื่อว่าทาบอร์ในปัจจุบัน คือ สถานที่ตามธรรมประเพณีคือสถานที่รทงสำแดงพระวรกายอย่างรุ่งโรจน์นั้นเอง 

o ความหมายของการขึ้นไปบนภูเขาสูงนี้มีความหมายทางเทววิทยาอย่างไร 

o ตรงนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นำคัญ เพราะความหมายของการขึ้นไปบนภูเขานั้นมีความหมายทางพระคัมภีร์ว่า ภูเขาคือสถานที่ๆ ประทับของพระเจ้า เป็นที่มนุษย์ขึ้นไปพบกับพระเจ้า

o ดังนั้น การขึ้นไปบนภูเขาครั้งนี้ คือ การขึ้นไปเพื่อพบกับพระเจ้า พบกับความรุ่งโรจน์ และพระสุรเสียงของพระเจ้า (เหมือนกันโมเสส ขึ้นไปบนภูเขาซีนัย อพยพ 24 การขึ้นไปเพื่อฟังพระเจ้า และรับพระบัญญัติของพระเจ้านั่นเอง)

• “พระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา” 

o ถ้าจะแปลให้ตรงกับต้นฉบับคงต้องแปลว่า “พระวรกายของพระองค์ถูกเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา...” 

o ลักษณะของคำกริยาที่กล่าวถึงการเปลี่ยนไปนี้เป็นรูปกริยาแบบ Passive ซึ่งเน้นว่าการประจักษ์พระวรกายนี้เป็นการกระทำของพระเจ้าพระบิดา “Divine Passive” เป็นความสามารถของพระเจ้าผู้ทรงกระทำให้พระเยซูเจ้ารุ่งโรจน์ เจิดจ้า เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้...

o ประเด็นที่เน้นเพื่อให้เห็นว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า คือ “ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกทำให้ขาวเช่นนั้นได้” 

o และนี่คือผลของการกระทำของพระเจ้าซึ่งเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ 

o พระวรสารนักบุญมัทธิวและลูกาเน้นที่พระพักตร์ของพระองค์ขาว 

o แต่มาระโกเน้น ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า

• สองคนที่ปรากฏมาตัวมาสนทนากับพระเยซูเจ้าคือ “เอลียาห์กับโมเสส” นี่เป็นประเด็นสำคัญ เป็นภาพสำคัญมากๆที่เราสามารถจะอธิบายเรื่องราวของการประจักษ์พระวรกายบน ภูเขาทาบอร์ครั้งนี้


• เอลียาห์และโมเสส ทั้งสองเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดๆของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลประชากรของพระเจ้า


• กล่าวได้เลยว่าทั้งเอลลียาห์และโมเสส เป็นสองสถาบันหลักหรือเสาหลักสองต้นที่ประคับประคองชีวิตของชาวอิสราเอลให้ ปฏิบัติตนซื่อสัตย์ต่อยาห์เวห์ โมเสสคือผู้มอบกฎหมาย และเอลียาห์คือผู้ตำหนิติเตียนความนอกใจของประชากร (เทียบ มลค 3:22-23 Hebrew Bible)

• แต่ข้อสังเกตคือ ทั้งสองปรากฎตัวมาสนทนากับพระเยซูเจ้าบนภูเขาทาบอร์ ภาพนี้สำคัญที่สุด เน้นให้เห็นเจตนาของพระวรสารตอนนี้มากที่สุดเลย... เพราะ

o โมเสส เป็นผู้นำด้านกฏหมาย โมเสสคือผู้รับพระบัญชาและกฎหมายของพระเจ้า และมอบให้กับประชาชน ทุกคนต้องฟังโมเสส การฟังโมเสส เท่ากับฟังพระเจ้า การไม่ฟังโมเสส คือ ไม่ฟังพระเจ้า และโมเสสเป็นบุคคลที่ถือว่าสุดยอดแล้วของพันธสัญญาเดิม (ดู อพย)

o เอลียาห์ เป็นยอดประกาศกที่ซื่อสัตย์ต่อยาห์เวห์ ประกาศกที่ทำลายความเท็จเทียมของพระบาอัลในยุคที่ความเท็จเทียมเข้ามาใน แผ่นดิน โดยพระนางเยเซเบล เมื่อบรรดาประกาศกทั้งหลายหลงไปกับกระแสของความเท็จเทียมของพระบาอัล เอลียาห์คือผู้ที่เป็นเครื่องหมายของความซื่อสัตย์จนถึงที่สุด ที่หันหัวใจของทุกคนให้กลับใจมาหาพระเจ้า (ดู 1พกษ)

o สรุปว่า ทั้งสองคือสุดยอดจริงๆ แล้วที่ประชาชนต้องเชื่อฟัง ตลอดพันธสัญญาเดิมหรือแม้แต่พันธสัญญาใหม่

• แต่ ณ ภูเขาทาบอร์นี้ 

o เมื่อมีเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้

o มีเสียงหนึ่งออกมาจากก้อนเมฆ 

o หมายถึงเสียงที่มาจากเมฆนั้นคือเสียงของพระเจ้า.. เป็นการชี้ให้เห็นการประทับอยู่อย่างซ่อนเร้นของพระเจ้า

• เสียงจากภูเขาทาบอร์นี้แหละที่บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะ “ต้องฟัง” และนี่คือเหตุผลที่วันนี้ต้องเป็นวันฉลอง.... เสียงนั้นคือเสียงของพระบิดา... คือ “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” นี่คือคำประกาศที่สำคัญที่สุด ใช่แล้วในอดีตที่ผ่านมาของพันธสัญญาเดิมนั้น

o โมเสสเป็นผู้นำด้านกฏหมาย ก็จริงแต่โมเสสก็เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า

o เอลียาห์เป็นยอดประกาศกที่ซื่อสัตย์ต่อยาห์เวห์ แต่เอลียาห์ก็เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า

o ทั้งสองคนนี้ คือผู้ที่ประชาชนในพันธสัญญาเดิมเคยติดตามเชื่อฟังเสมอมา

• แต่ที่นี่ ณ ภูเขาทาบอร์ ณ เวลาที่สำคัญที่เสียงของพระบิดาประกาศถึงพระเยซูเจ้า หนักแน่น ชัดเจน และไม่มีใครสำคัญเท่าอีกแล้ว 
o นั่นคือพระเยซูเจ้าผู้นี้ ผู้กำลังประจักษ์พระวรกาย และมีโมเสสและเอลียาห์ปรากฎมากสนทนากับพระองค์นี้ ทำให้เห็นชัดว่า จากนี้ไป “พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็น “บุตรสุดที่รัก” ของพระบิดา” 

o คำสั่งที่ตามมา เป็นคำสั่งเด็ดขาด และถือว่าเป็นบัญญัติสำคัญที่สุดก็ว่าได้คือ นับจากนี้ไป “จงเชื่อฟังท่านเถิด”...

• พี่น้องที่รักนี่คือจุดสำคัญที่สุด เพราะเหตุว่า ในอดีตชาวอิสราเอลเคยท่องบท Shema คือ “อิสราเอลเอ๋ย จงฟัง” เป็นบทสำคัญที่สุด แต่ว่าบัดนี้ Shema “จงฟัง” ได้เปลี่ยนไปแล้ว จากกฎของยาห์เวห์ที่ประทานทางโมเสสและตอกย้ำทางเอลียาห์ที่อิสราเอลต้อง เชื่อฟังที่สุดนั้น 

o บัดนี้บรรดาศิษย์ต้องฟัง ฟังแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งหมายถึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า


• แน่นอนที่สุดโมเสสและเอลียาห์ยิ่งใหญ่มาก แต่ทว่าทั้งสองเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า แต่ที่นี่บนภูเขาทาบอร์ พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า จึงสำคัญที่สุด และต้องฟังพระองค์มากที่สุด


• พระคัมภีร์วันนี้สรุปว่า “ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามคนเหลียวมองรอบ ๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตนนอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น” เป็นการยืนยันว่า ต่อไปนี้ไม่ใช่โมเสส และไม่ใช่เอลียาห์ ที่บรรดาศิษย์ของพระคริสตเจ้าต้องเชื่อฟัง... แต่ “พระเยซูคริสตเจ้าเท่านั้น” ที่บรรดาศิษย์ต้องเชื่อฟัง และติดตามพระองค์

• พี่น้องที่รักครับ นี้คือเหตุผลที่เราต้องฉลองครับ ฉลองเหตุการณ์การสำแดงพระวรกายอย่างรุ่งโรจน์ เพราะนี่คือเวลานั้นที่เป็นการประกาศพระเยซูเจ้าคือผู้ที่บรรดาศิษย์ และเราทุกคนต้องเชื่อฟังพระองค์ ฟังบัญญัติของพระองค์แต่เพียงผู้

• พี่น้องที่รัก ฉลองพระเยซูเจ้าประจักษ์พระวรกายวันนี้ มีคำสั่ง “จงเชื่อฟัง” พ่อเชิญชวนเราต้อง “เชื่อฟัง ฟังพระเยซู” ผู้นี้ผู้เดียวตลอดไป... 

o พี่น้องได้เชื่อฟังพระเยซูเจ้าจริงๆไหม โดยเฉพาะเชื่อฟังพระเยซูเจ้าในพระบัญญัติแห่งความรักของพระองค์

o เราเชื่อฟังพระองค์จริงๆไหม เมื่อพระองค์บอกกับเราเสมอให้ “เราจงมีใจเมตตากรุณา” 

o เราเชื่อฟังพระองคจริงๆไหม เมื่อพระองค์สอนย้ำให้เรา “ให้อภัย ให้เราคืนดี ให้เราไม่แก้แค้น ไม่เกลียดชัง”

o เราเชื่อฟังพระองค์จริงๆไหม และปฏิบัติตามพระองค์จริงๆไหม ที่จะหยิบยืนความช่วยเหลือเพื่อนผู้อ่อนแอโดยเฉพาะบรรดาผู้ยากไร้

o ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ....

เช้าวันใหม่ใส่ใจพระวาจา

Lectio Divina-Daily 2022

เช้าวันเสาร์เราคิดถึงพระวาจา

Video อบรมพระคัมภีร์

ความรู้พื้นฐานพระคัมภีร์และหนังสือปฐมกาล

หนังสืออพยพและเลวีนิติ

หนังสือกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ

หนังสือโยชูวา ผู้วินิจฉัยและนางรูธ

หนังสือซามูแอล ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2

หนังสือพงศาวดาร เอสราและเนหะมีย์

หนังสือโทบิต ยูดิธ เอสเธอร์และมัคคาบี 1 และ 2

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประกาศกและประกาศกอาโมส

หนังสือประกาศกโฮเชยาและมีคาห์

หนังสือประกาศกอิสยาห์

หนังสือประกาศกโยนาห์และประกาศกเศฟันยาห์

หนังสือประกาศกนาฮูมและฮาบากุก

หนังสือประกาศกเยเรมีห์-เพลงคร่ำครวญ-บารุค

หนังสือประกาศกเอเสเคียลและดาเนียล

บทเทศน์บนภูเขา มธ. 5-7

พระวรสารนักบุญมัทธิว 10,13,18

พระวรสารนักบุญมาระโก

หนังสือกิจการอัครสาวก