"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด”

70. เวลาแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์ (2)

b) ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
            1. ต้นมะเดื่อเทศที่แตกกิ่งอ่อนและผลิใบในฤดูใบไม้ผลิไม่ปฏิเสธแต่ประกาศว่า ฤดูร้อนใกล้มาถึงฉันใด เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบันของเราก็ไม่ปฏิเสธแต่ประกาศว่า บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาเมื่อสิ้นพิภพฉันนั้น สิ่งที่บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้ามีประสบการณ์ในชีวิตปัจจุบันต้องไม่ปิดบังหรือลบล้างอนาคต ดังนั้น จึงเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เมื่อพิจารณาว่า จนถึงทุกวันนี้ การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์ยังไม่สำเร็จเป็นจริง

หมายความว่าเหตุการณ์นี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นเลย ในทำนองเดียวกัน เป็นความคิดที่ผิดอีกด้วยเมื่อคิดว่าเหตุการณ์ในชีวิตมนุษย์ดังที่เรามีประสบการณ์จนถึงวันนี้ เป็นเหตุการณ์เดียวที่แท้จริงและเป็นไปได้ ซึ่งขจัดการเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์ ผู้ที่ยอมรับว่า เพียงเหตุการณ์และสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันเท่านั้นเป็นความจริง ก็จะกังวลอยู่กับสิ่งเหล่านี้และจะผิดหวังเกี่ยวกับอนาคต แต่ผู้ที่ยอมรับว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาเพื่อทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ เขาก็จะรอคอยด้วยความหวังและรู้สึกเป็นอิสระ ไม่ถูกกักขังอยู่ในโลกปัจจุบัน พระสัญญาที่ว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์เป็นคำสัญญาที่ชัดเจนและผิดพลาดไม่ได้ แม้เรายังไม่รู้เวลาเพื่อรอคอยเหตุการณ์นี้ทุกเวลา ดังนั้น ทุกวันอาจเป็นวันนั้น และทุกชั่วโมงก็อาจเป็นชั่วโมงนั้นที่เรากำลังเดินทางไปพบบุตรแห่งมนุษย์

           2. แม้เหตุการณ์การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์แน่นอนและเฉพาะเจาะจงก็จริง แต่วันและเวลาแห่งความตายของเรา การสิ้นพิภพและการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าอย่างรุ่งโรจน์ไม่แน่นอนและไม่เฉพาะเจาะ พระเจ้าทรงกำหนดเช่นนี้ด้วยพระปรีชาญาณเพื่อความดีของเรา เพราะถ้าเรารู้วันและเวลา เราคงจะตกอยู่ในความหวาดกลัวยิ่งใหญ่ และกังวลอยู่กับการรอคอยแทนที่จะดำเนินชีวิตทุกขณะโดยปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราไม่รู้วันเวลา เราก็จะดำเนินชีวิตโดยตระหนักว่า เวลาจำกัดของเราเป็นโอกาสให้กลับใจจากความกลัวที่จะต้องตาย ไปสู่การมอบตนเยี่ยงบุตรในพระหัตถ์ของพระบิดา พระเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราด้วยความเพียรทนและพระเมตตา ในที่สุด วันเวลานั้นคือทุกวันและทุกชั่วโมงที่พระเจ้าประทานแก่เราเพื่อดำเนินชีวิตสำหรับพระองค์ และตัดสินใจเช่นนั้นอย่างแน่วแน่

          3. “คนในชั่วอายุนี้” ที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ อันดับแรกหมายถึงผู้ร่วมสมัยของพระองค์ และบรรดาศิษย์ของพระองค์ คงจะหมายถึงบุคคลที่มีชีวิตในศตวรรษแรกของคริสตศักราช อย่างไรก็ตาม พระวาจาอื่น ๆ ของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับ "คนในชั่วอายุนี้" ไม่ต้องการเน้นกาลเวลา เพราะพระบิดาเจ้าเท่านั้นทรงทราบวันเวลา แต่ต้องการบรรยายคุณลักษณะของบุคคล เช่น ผู้ทดสอบพระองค์ (เทียบ มก 8:11-12) คนไม่ซื่อสัตย์และชั่วช้า (เทียบ มก 8:38) คนไม่มีความเชื่อ ดังนั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับคนร่วมสมัยแต่ทรงมองดูเขาเป็นผู้แทนของมนุษยชาติ ทรงเน้นความจริงที่ว่าการสิ้นพิภพจะมาถึงอย่างแน่นอน และจะมีผลกระทบต่อมนุษย์แต่ละคน ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ แม้พระองค์ทรงเน้นความจริงนี้กับคนร่วมสมัยผู้ฟังพระวาจาโดยตรง แต่ความจริงที่พระองค์ทรงประกาศนั้นก็ยังมีคุณค่าสำหรับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยด้วย

          4. สักวันหนึ่ง โลกที่พระองค์ทรงสร้าง โลกปัจจุบันและสภาพชีวิตต่าง ๆ จะสูญสลายไป แต่พระวาจาของพระเยซูเจ้าจะไม่วันสูญสิ้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่มนุษย์คิดเป็นความจริงเพียงอย่างเดียวคือโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง แต่ตรงกันข้าม พระวาจาของพระเยซูเจ้าซึ่งเราจะทดสอบไม่ได้ และเรียกร้องความเชื่อจากเราโดยไม่มีเงื่อนไข เป็นความจริงที่ไว้ใจได้อย่างแน่นนอน พระวาจาของพระเจ้าเท่านั้นมีคุณลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช่คำพูดของมนุษย์ ในฐานะพระบุตรสุดที่รักของพระบิดา พระเยซูเจ้าทรงทราบพระดำรัสของพระเจ้า ทรงถ่ายทอดพระวาจาของพระองค์ และมนุษย์ต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อพระเยซูเจ้าไม่ทรงปรากฏกับบรรดาศิษย์อีกต่อไปแล้ว แต่พระวาจาของพระองค์ยังดำรงอยู่ เป็นพื้นฐานที่แน่นอนและเป็นจุดชี้ทางที่ปลอดภัย ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อพระองค์และพระวาจา เราก็เป็นศิษย์ที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า

          5. ถ้าทูตสวรรค์ไม่รู้วันเวลาเหตุการณ์สุดท้ายของโลก และแม้พระบุตรของพระเจ้าไม่ทรงทราบเช่นกัน ก็หมายความว่า มนุษย์ไม่สามารถรู้หรือค้นพบวันเวลานั้นโดยการคาดคะเนของตน เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่มนุษย์ไม่มีทางที่จะรู้วันเวลาของเหตุการณ์ ดังนั้น พฤติกรรมของมนุษย์ต้องสอดคล้องกับความจริงดังกล่าว