บทเทศน์โดยพระสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์  วีระ  อาภรณ์รัตน์

สัปดาห์ที่  30  เทศกาลธรรมดา
27  ตุลาคม   2013
บทอ่าน    บสร  35: 12-14, 16-18  ;  2 ทธ  4: 6-8, 16-18 ;  ลก  18: 9-14
พระวรสารสัมพันธ์กับ    คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก  (CCC)  2559, 2613
จุดเน้น    เมื่อเรารู้จริงๆ ว่าเราต้องการพระเจ้า  เราจะสามารถไว้วางใจพระองค์ และคำภาวนาของเราจะบังเกิดผล


    เมื่อนักประวัติศาสตร์เขียนประวัติศาสตร์ของคนยุคนี้  ลักษณะเด่นประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาน่าจะเป็นความกระหายที่จะรู้จักตนเอง  บ่อยครั้งมากที่เราหลายคนถูกหลอกด้วยเมล์ชนิดต่างๆ ที่ให้ข้อมูลมากมาย  ร่วมประชุมปฏิบัติการอบรม  คอร์สโน้นคอร์สนี้  หรือประชุมเพื่อช่วยเราให้รู้จักตนเองมากขึ้น  หลักพื้นฐานคือ  หากเรารู้จักตัวเองดีขึ้น  เราก็สามารถรับผิดชอบมากขึ้น  สามารถควบคุมชีวิต  และจุดมุ่งหมาย (ชะตากรรม) ได้ดีขึ้น  อาศัยการตระหนักทั้งด้านเพศหญิง  ด้านเพศชาย  ความทรงจำที่ลืมไปแล้ว  สิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏมีคนรับรองว่า  เราจะพัฒนาตนเองได้

    นี่มิใช่เป็นวิธีการประณามความช่วยเหลือที่คนอื่นสามารถช่วยได้  โดยอาศัยการให้คำปรึกษา หรือ จิตวิทยา  เพราะพระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า  “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ” (ยน 8:32)  และการแสวงหาความจริง  บางทีเราทุกคนต้องปฏิบัติ ดังนี้  อย่าแกล้งทำ    ยืนต่อพระพักตร์พระเจ้าราวกับว่าเราเป็นจริงๆ  และยอมให้พระองค์เยียวยารักษาชีวิตเรา  แต่อ้างแบบปิลาต  “ความจริงคืออะไร”

    ทั้งชาวฟาริสีและคนเก็บภาษีก็ยืนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  แต่ละคนก็แสดงความจริงของตนเอง  ในระดับหนึ่ง  ชาวฟาริสีวิเคราะห์ตนเองได้ถูกต้อง  เขาปฏิบัติตามกฎหมาย  ธรรมบัญญัติ  อดอาหารและจ่ายสิบเปอร์เซนต์ตามที่กำหนดตามมาตรฐานชาวยิว  ฟาริสีเป็นคนดี  เป็นชาวยิวที่ศรัทธา  กระนั้นก็ดี  ไม่มีอะไรแสดงว่ามีความสัมพันธ์แท้กับพระเจ้า  ไม่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์  คำภาวนาเป็นการพูดฝ่ายเดียวมากกว่าการภาวนา  เขาเปรียบคนเก็บภาษีต่ำกว่า  จนดูเหมือนว่าเขาไม่เข้าใจกฎพื้นฐานที่สุดของลัทธิยูดาห์  ที่ว่า  ต้องสักการะองค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นสุดจิตใจ    เพียงสิ่งเดียวที่เขาสักการะคือ ตนเอง  ตรงข้ามคนเก็บภาษีเป็นคนบาปในสายตาของประชาชน  และการตีค่าตนเองของเขา  (เพราะว่า) เขาเป็นผู้ร่วมมือกับคนต่างชาติใช้กำลังมาควบคุม  ถูกเปรียบว่าเป็นขโมยมากดขี่ขูดรีดภาษีจากชาวบ้านธรรมดาๆ (ไปให้คนต่างชาติ)  กรูโช  มาร์ก  เคยกล่าวว่า  “ผมจะไม่ยอมร่วมสมาคมที่ถือว่าผมเป็นเหมือนสมาชิก”  คนเก็บภาษีคนนี้คงร่วมความรู้สึกนั้น  เขาจดจำความจริงพื้นฐานที่เราทุกคนต้องจดจำด้วย คือ  เราไม่สามารถมีหนทางของเราไปสู่สวรรค์  เราขึ้นอยู่กับพระหรรษทานของพระเจ้า  พระองค์มิได้ติดหนี้เรา  กระนั้นก็ดี  พระองค์ประทานทุกสิ่งให้เรา คือ  ชีวิต  ความรัก  ความเมตตา

    ถ้าเพียงโครงการช่วยตนเองอาจสามารถช่วยเราให้เข้าถึงความจริงนั้น  ไม่ว่าเราจะประสบผลสำเร็จในชีวิตเพียงใด  ความร่ำรวย  หรือ  บารมี  เมื่อวันหนึ่งที่ต้องพบชีวิตนิรันดร  เราจะรู้ว่า  เราต้องขึ้นกับพระเจ้าจริงๆ  นักบุญเปาโล  ธรรมทูตสมัยแรก  ได้รู้เรื่องนี้ตลอดชีวิต  และเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น  ท่านรู้ว่าทุกสิ่ง  ความสำเร็จทุกอย่าง  มาจากพระเจ้า  จึงกล่าวว่า  “มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่เคียงข้าง  และประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”  (2 ทธ 4:17)

    นี่เป็นสัจธรรม (ความจริง) คริสตชนที่มีคุณค่า  คิดว่าเราสามารถรอด  หรือ  เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์  เราต้องละทิ้งตนเอง  เราต้องเผชิญความจริงว่า  มนุษย์อ่อนแอ  จำเป็นต้องไว้วางใจพระเจ้า  มีเวลาว่างสำหรับให้พระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราได้  เราจะพบสิ่งดีเมื่อเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาครอบครองชีวิตของเรา
    
พระสังฆราชวีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล
จาก  Homilies  โดย Catholic  Diocese  of  Lansing,
(ตุลาคม – ธันวาคม 2013), หน้า 423-425.