สัปดาห์ที่ 1 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (ปี B)
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2011
การทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยความยินดี
บทอ่าน : อสย. 63:16-17, 19, 64:2-7 ; 1 คร. 1:3-9 ; มก. 13:33-37
พระวรสารสัมพันธ์กับ
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC) ข้อ 672, 2849
ให้เราเริ่มเตรียมตัวรับเสด็จพระคริสตเจ้า เตรียมฉลองวันพระคริสตสมภพ นักบุญมาระโกเตือนเราให้เอาใจใส่เครื่องหมายแห่งกาลเวลา ให้สนใจประวัติศาสตร์
การพบปะในเวลาที่ไม่คาดคิด
นักบุญมาระโกเตือนเราตอนเริ่มพระวรสารว่า “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว” (1:15) ท่านพูดถึง “เวลาแห่งพระพร” (ภาษากรีก Kairos) เวลาที่มิได้เจาะจง เมื่อสิ่งสำคัญบางอย่างจะเกิดขึ้น วันนี้นักบุญมาระโกใช้ศัพท์คำนี้ Kairos เพื่อบอกเราว่า เราต้องตื่นเฝ้าและรู้วิธีสังเกตเอาใจใส่โอกาสที่พระเจ้าเลือกมาพบปะกับเรา “เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า วันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร” (13:33)
แต่ตามพื้นฐานของสิ่งที่เราอาจถูกผจญให้พิจารณาตามสามัญสำนึกว่า เราไม่ได้ฉลองพระคริสตสมภพในวันเดียวกันของปีหรือ วันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า บทอ่านของนักบุญมาระโกช่วยเรามิให้คิดแง่ลำดับเวลาที่ตายตัวหรือน่าเบื่อ อันที่จริง วันที่ 25 ธันวาคม จะมาถึงและผ่านไปโดยที่เรามิได้พบปะกับพระคริสตเจ้า ในชีวิตปัจจุบันและประวัติศาสตร์ของเราก็ได้ เพราะการฟังโฆษณาไร้สาระ หรือเพราะการสนใจแค่ของขวัญมากกว่าหรือน้อยกว่าเดิม วันคริสต์มาสอาจมิใช่สิ่งที่นักบุญเปาโลเรียกว่า “วันที่พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา“ (1 คร. 1:8) วันคริสต์มาสจะมาถึงและผ่านไปโดยที่เรามิได้เปลี่ยนแปลงชีวิต มิได้เป็น “พยานถึงพระคริสตเจ้า” (1 คร. 1:6) ผู้ทรงให้กำลังแก่เรา
การสร้างความหวัง
เราต้องตื่นตัว ดังที่พระวรสารนักบุญมาระโกย้ำแล้วย้ำอีก จงตื่นเฝ้าเถิด อย่าอยู่นิ่งในชีวิต คริสตชน โดยคิดว่า เราได้รับครั้งหนึ่งสำหรับตลอดไป
พิธีกรรมมีการตื่นเฝ้า ตัวอย่าง การตื่นเฝ้าปัสกาที่มีความหมายเทววิทยา เหมือนคนเฝ้าประตูคอยตื่นเฝ้า (วรรคที่ 34) คริสตชนต้องตื่นเฝ้าสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเปิดเผยในเหตุการณ์ต่างๆ ในสภาพสังคมไทยปัจจุบัน พบปัญหาน้ำท่วม คนตกงาน คนยากจน เศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวของแพงขึ้น มีขโมยเพิ่มขึ้น ฯลฯ
หลายครั้ง เราอาจรู้สึกว่าประชาชนขาดความหวัง การเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าต้องมีความหมายให้เรายอมรับสถานการณ์ และต้องออกแรงพยายามช่วยคนจนมากขึ้น “พระเจ้าทรงเรียกท่านให้สนิทสัมพันธ์กับพระบุตรของพระองค์” (1 คร. 1:9) ดังนั้นจึงเป็นงานของเรา มิใช่การฉลองตามเวลา ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านแรก “พระองค์เสด็จมาพบผู้ที่ยินดีปฏิบัติความยุติธรรม และระลึกถึงพระองค์โดยเดินตามหนทางของพระองค์” (อสย. 64:5)
เราต้องปฏิบัติความยุติธรรมด้วยความยินดีและความหวัง (อสย. 64:3) มิใช่ด้วยความขมขื่น และหมดกำลังใจ ทำดังนี้เราจึงจะพบกับพระเจ้า โอกาสฉลองคริสต์มาสจะมีความหมายในชีวิต และในประวัติศาสตร์ของประชาชนชาติไทยของเรา
พระสังฆราช วีระ อาภรณ์รัตน์ แปล
(Sharing the Word through the Liturgical Year โดย กุสตาโว กูตีเอเรส, 2004 หน้า 4-5)