"พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้ใดสำหรับข้าพเจ้า" อธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก โดย บาทหลวงฟรังซิส ไก้ส์
“นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ”

7. พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกอบพระภารกิจ (5)

b) การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
          1. ผู้ประสงค์เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าและมุ่งมั่นติดตามพระองค์อย่างจริงจัง ต้องจับตามองการกระทำของพระองค์และไตร่ตรองพระวาจาดังที่บันทึกไว้ในพระวรสาร ต้องเรียนรู้จากพระองค์ที่จะดำเนินชีวิตเป็นหมู่คณะกับบรรดาศิษย์ทุกคนในความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวแน่นแฟ้นกับพระเยซูเจ้า เพื่อเป็นพยานถึงพระองค์ในหมู่เพื่อนมนุษย์ที่เราพบปะในชีวิตประจำวัน
          2. การสั่งสอนของพระเยซูเจ้าไม่เป็นการอ้างความคิดเห็นหรือประเด็นที่ควรอภิปราย แต่เป็นการสั่งสอนที่ทรงอำนาจ มีความเชี่ยวชาญและความถูกต้องอย่างสมบูรณ์ เพราะเป็นคำสั่งสอนที่มาจากอำนาจของพระเจ้า คำสอนนี้จึงท้าทายเรา ต้องการจับใจเรา เขย่าเพื่อให้ตื่นตัวและกลับใจใหม่เพื่อดำเนินชีวิตตามหนทางที่ถูกต้อง

          3. การกระทำของพระเยซูเจ้าเป็นการต่อสู้กับพลังชั่วช้าที่ต่อต้านพระเจ้า การประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าทำให้ปีศาจและผู้อยู่ใต้อำนาจของมันประท้วงและต่อต้านพระองค์อย่างรุนแรง สันติภาพที่พระองค์ทรงนำมาไม่เป็นเพียงความสงบ ไม่เอาเรื่องเอาราว แต่เรียกร้องการรู้จักแยกแยะระหว่างจิตดีกับจิตชั่วและการเอาชนะจิตชั่วโดยไม่ประนีประนอม เราควรถามตนเองว่า เมื่อเราอยู่กับบุคคลรอบข้าง การกระทำของเราทำให้ผู้อื่นเพียงชื่นชอบเราหรือไม่ เขาอาจไม่ยินดียินร้ายกับเรา แต่การกระทำดีของเราอาจไม่ทำให้ผู้ประพฤติชั่วต่อต้านเรา เราตั้งใจแน่วแน่ที่จะต่อสู้ความชั่วร้ายที่แพร่หลายในสังคม และยอมออกแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย และพร้อมที่จะรับการต่อต้าน เพื่อต่อสู้กับความเลวร้ายหรือไม่

          4. พฤติกรรมและกิจการของเราแสดงหรือไม่ว่า อำนาจของพระเยซูเจ้ามีบทบาทในการนำจิตใจของเรา เราเลือกปฏิบัติคำสอนของพระเยซูเจ้าเพียงบางข้อที่ชอบ หรือเรามีความผูกพันแน่นแฟ้นกับพระองค์โดยพยายามปฏิบัติคำสอนทุกข้อเพื่อติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด เราควรมีความไว้วางใจในพระเยซูเจ้า เพราะแน่ใจว่าพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือพลังทั้งหมดที่ต่อสู้กับพระองค์ ถ้าเราร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราจะมีชัยชนะเหนือความชั่วร้ายและเหนือพลังที่ต่อต้านเรา

          5. พระเยซูเจ้าทรงห้ามปีศาจมิให้ประกาศว่า พระองค์เป็นพระคริสตเจ้าที่ธรรมบัญญัติเคยสัญญาไว้ว่าจะเสด็จมา ปีศาจเห็นว่าเครื่องหมายอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำก็เป็นไปตามข้อเขียนของบรรดาประกาศก แต่พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้ประชาชนเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์จากพระวาจาที่พระองค์ตรัสและกิจการที่ทรงกระทำ ไม่ใช่จากคำพูดของปีศาจ พระองค์ไม่ทรงต้องการคำพยานของปีศาจ แต่ทรงต้องการคำพยานของบรรดาศิษย์เท่านั้น

          6. พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์มีอำนาจเหนือโรคภัยไข้เจ็บ บุคคลแรกที่พระองค์ทรงรักษาให้หายคือสตรีผู้หนึ่งในบรรยากาศครอบครัวที่บ้าน พระองค์ไม่ทรงต้องการให้มีผู้ชมหลายคนเพื่อจะแสดงอำนาจ แต่ทรงพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ พฤติกรรมนี้ของพระเยซูเจ้าเป็นกำลังใจแก่เราที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในชีวิต ถ้าเราเชื่อว่า พระเยซูเจ้าผู้เดียวทรงเป็นนายแพทย์แท้จริง และแพทย์ทั้งหลายได้รับความสามารถจากพระองค์ให้รักษาโรคได้ เราควรเรียนรู้ที่จะพึ่งพระองค์เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต

           7. เมื่อมารดาของภรรยาซีโมนได้รับการรักษาจากพระเยซูเจ้าแล้ว นางเป็นคนแรกที่รับใช้หมู่คณะของพระองค์ เมื่อความทุกข์ครอบงำใจเรา เรามีแนวโน้มปิดขังตัวเอง ไม่ติดต่อกับผู้อื่นที่ต้องการความรักจากเรา เราก็เช่นเดียวกับนาง ต้องการพระเยซูเจ้าทรงสัมผัสเราให้หายเป็นปกติ จะรับใช้ผู้อื่น เราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างที่ให้ผู้อื่นได้ คือการรับใช้ด้วยความรัก ดังเช่นพระเยซูเจ้าทรงช่วยเหลือทุกคนในทุกหนทุกแห่ง

           8. ประชาชนจำนวนมากมาเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าไม่ใช่เพราะรักพระองค์ แต่เพราะต้องการบางสิ่งบางอย่าง เขาไม่ต้องการเปลี่ยนความคิดของตนให้สอดคล้องกับทรรศนะของพระองค์ แต่มาเพื่อใช้พระองค์ให้เป็นผลประโยชน์ของตน เราอาจระลึกถึงและอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์เพียงในยามทุกข์ยากเท่านั้น ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นเหมือนหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ที่ให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ เรามาพึ่งพระเยซูเจ้าเพราะพระองค์ผู้เดียวประทานสิ่งที่เราต้องการเพื่อชีวิตก็จริง แต่ถ้าของประทานที่ได้รับนั้นไม่ทำให้เรามีความรักและความกตัญญูต่อพระองค์ ก็หมายความว่า เราใช้ของประทานนั้นผิดพระประสงค์ของพระเจ้า