บทเทศน์โดยพระสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์  วีระ  อาภรณ์รัตน์อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
21 กุมภาพันธ์ 2016

บทอ่าน    ปฐก  15:5-12, 17-18   ;    ฟบ  3:17-4:1   ;    ลก  9:28ข-36
พระวรสารสัมพันธ์กับ    คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC)   516, 554, 556, 659, 697, 1151, 2600, 2583
จุดเน้น     ถ้าต้องการให้พระคริสตเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงเรา  เราต้องเต็มใจ


    เราดำเนินชีวิตในช่วงเวลาที่คนแสวงหาความสมบูรณ์  ยอดเยี่ยม  ในสิ่งต่างๆ ฝ่ายโลก  แต่มักไม่สนใจชีวิตฝ่ายจิต    ยกตัวอย่าง  ต้องการมีร่างกายสมบูรณ์  ฉะนั้น  เราจึงเห็นทุกวัน  คนสนใจเรื่องร่างกายมากเพียงใด

    เรื่องทางสติปัญญาก็เช่นกัน  ต้องการการศึกษาดีๆ  จบปริญญาสูง  ราคาแพงๆ  แต่เรื่องความดีสมบูรณ์ด้านศีลธรรมล่ะ  ถ้ามนุษย์ต้องการเปลี่ยนแปลง  ถ้าการสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ของพระคริสตเจ้าเป็นรูปแบบ  แล้วเราต้องทำอะไร

    เรามักพบอุปสรรคในเรื่องนี้  เราเสนอค่านิยมอะไรให้เด็กๆ  ภาพลักษณ์อะไรที่เราใส่ให้เด็กดู  เราถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนที่ดูเหมือนขาดเข็มทิศด้านศีลธรรม
    พี่น้องลองพิจารณาถึงลักษณะหลักตามเรื่องราวของพระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์  โมเสสช่วยต่อสู้ช่วยประชาชนให้เป็นอิสระจากหลักการยึดความพอใจ  พระเจ้าทรงนำพวกเขาให้พ้นการเป็นทาสในประเทศอียิปต์  และทรงมอบอิสรภาพให้พวกเขา  แต่พวกเขาไม่ต้องการแบกภาระหนักของอิสรภาพ  เพราะต้องเลือกทำตามหลักศีลธรรม  ดังนั้น  พวกเขาจึงกบฏและต้องการกลับไปอยู่ในอียิปต์  ต้องการมีชีวิตแบบทาส  แต่พวกเขาคิดว่าสะดวกสบายกว่าในถิ่นทุรกันดาร  พระเจ้าทรงต้องการมอบอิสรภาพและชีวิตแก่พวกเขา  แต่พวกเขารู้สึกว่ามันธรรมดาเกินไป

    การพลีตนและระเบียบเป็นเรื่องที่เราต้องเอาจริงเอาจังเพื่อความสร้างสรรค์  ความพัฒนาส่วนตัว  และการเปลี่ยนแปลง    ดังที่เราเห็นความจริงนี้ในบรรดาศิลปิน  นักกวี  นักดนตรี  และผู้นำด้านศีลธรรม

    เราเพิ่มสมรรถภาพทางสติปัญญาเพียงต้องอาศัยการเสียสละตนเอง  ให้เวลากับการเรียน  และสอบด้วยความยากลำบาก  ในเรื่องความก้าวหน้าชีวิตจิต  และด้านศีลธรรมก็เช่นกัน  เราอยากให้ชีวิตมีจริยธรรม  เป็นธรรมชาติ

    หากเราทำตามศีลธรรมแล้วเป็นสาเหตุให้ไม่สะดวกมากๆ  เคอะเขิน  หรือแม้เจ็บปวด  เราต้องแก้ไขโดยด่วน  มิฉะนั้นเราจะได้ไม่เสียอะไรแพงๆ เมื่อเวลานั้นมาถึง  และเราต้องออกแรง
    การสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์จะไม่มีความหมาย  หากเราไม่เข้าใจบริบท (กล่าวคือ) พระเยซูเจ้ากำลังรับทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์  เพื่อมอบพลังการเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าให้แก่มนุษย์  ชีวิตทั้งหมดของพระคริสตเจ้าจะไร้ความหมาย  เว้นแต่ชี้ความหมายของความทุกข์    ศาสดาของศาสนาต่างๆ มีเพียงพระเยซูคริสตเจ้าทรงยอมรับความทุกข์  การสูญเสีย  ความเจ็บปวด  และแม้ความตาย  เพื่อที่จะนำเราเข้าสู่การกลับคืนชีพและชีวิตที่สูงกว่าและดีกว่า  ชัยชนะยิ่งใหญ่ต้องผ่านความตายและการกลับคืนชีพ  นี่เป็นแก่นศาสนาคริสต์

    ตามที่เราเข้าเทศกาลมหาพรตสู่ปัสกา  ขอให้เรามีใจกล้า  ตัดสินใจจริงจัง  ละทิ้งความสะดวกสบาย  หันมาเอาใจใส่ชีวิตศิษย์แท้ๆ  อาจจะมีกษัตริย์เฮรอดและปิลาตหลายคนตัดสินท่านและเหยียดหยามท่าน  แต่ถ้าท่านอยู่ในพระคริสตเจ้าแล้ว  ท่านต้องดำเนินชีวิตแบบพระองค์  เพื่อเจริญเติบโต  การเปลี่ยนแปลง  และชัยชนะยิ่งใหญ่  ประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าการปีนขึ้นสูงเช่นนี้เป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุถึงความสง่างาม (มีคุณธรรมขั้นสูง) และเหมือนพระเจ้า
    ทั้งหมดนี้ขึ้นกับว่า  เราต้องการอะไรจริงๆ  และทุ่มเททุกอย่างให้บรรลุผล

พระสังฆราช  วีระ  อาภรณ์รัตน์  แปล
จาก  Homilies  โดย Catholic  Diocese  of  Lansing,
(มกราคม-มีนาคม  2016), หน้า 79-81.