บทเทศวันอาทิตย์ โดย ฯพณฯ ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์
อาทิตย์ที่  29  เทศกาลธรรมดา
วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม  2011
บทอ่าน
: อสย. 45:1, 4 - 6 ;    1 ธส. 1:1 – 5ข ;    มธ. 22:15 – 21
พระวรสารสัมพันธ์กับ คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (CCC)  ข้อ  2242
                ประมวลคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร  (CSDC)  ข้อ  379
จุดเน้น ไม่มีส่วนใดในชีวิตของเรา  ที่ทำให้กฎของพระเจ้าต้องสั่นคลอน


ต่อสู้อำนาจเงิน
           คำสอนของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า  “ของของซีซาร์  จงคืนให้ซีซาร์  และของของพระเจ้า  ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”  เป็นตอนหนึ่งที่ทำให้เรายุ่งใจมากที่สุด  เราคุ้นเคยกับประโยคนี้  หลายคนมักปฏิบัติตรงกันข้าม  เป็นพิเศษในการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องสังคมและศีลธรรม  ในสังคมที่ทวีความแตกต่าง  และหลายหลากวัฒนธรรม  มักจะอ้างคำสอนนี้บ่อยๆ  และมักจะปฏิบัติผิด  เมื่อเราถกเถียงกันบางเรื่อง  เช่น  การแยกระหว่างพระศาสนจักรกับการเมือง  การตัดสินประหารชีวิต  การส่งทหารช่วยเหลือประชาชนลิเบีย  ดังนั้น  คำสอนนี้มีความหมายอะไรจริงๆ  พระเยซูเจ้ามีความคิดอะไร  เมื่อพระองค์แยกระหว่างของของจักรพรรดิซีซาร์และของของพระเจ้า

          เพื่อเข้าใจประโยคนี้  เราต้องเห็นบริบททั้งหมดในพระวรสารตอนนี้  ชาวฟาริสีและคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรด  ตามปกติมิได้เป็นพันธมิตรกัน  พวกเขารวมกันโดยมีความปรารถนาร่วมกันเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า  พวกเขาถามโดยหวังผลทั้งสองด้าน  หากพระองค์ตอบต้องเสียภาษี  ประชาชนก็ไม่พอใจ  เพราะจ่ายให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติต่างศาสนา  หากพระองค์ตอบว่าไม่ต้องเสียภาษี  ก็จะทำให้ทหารโรมันโกรธ  เพราะแนะนำให้ประชาชนผู้ติดตามพระองค์ไม่เสียภาษี  จะผิดกฎหมายโรมัน  ต้องรับโทษหนัก  ไม่ว่าตอบด้านใดชาวฟาริสีและคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรด  หวังจะทำให้พระเยซูเจ้าต้องเงียบ  จะได้ไม่ต้องสอนเรื่องอาณาจักรสวรรค์

          ดังที่พระวรสารบอกเรา  พระเยซูเจ้าตระหนักดีถึงเจตนาร้ายของพวกเขา  ดังนั้น  แทนที่จะตกในกับดัก  พระเยซูเจ้าทรงถามปัญหาไปอีกระดับหนึ่งที่เหนือกว่า  ซึ่งเป็นความคิดที่ดีสำหรับชีวิตคริสตชน  พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราชัดเจนว่าอะไรสำคัญกว่ากัน  และเราต้องยืนยันเสมอถึงพระวรสารในชีวิต  ในฐานะคริสตชน  เราต้องทิ้งความเข้าใจผิด  ความคิดฝ่ายโลก  ที่มารบกวนชีวิตบ่อยครั้ง  และยึดคุณค่าพระอาณาจักรเป็นสำคัญ

          ให้เราชัดเจน  เข้าใจว่า  พระเจ้าสนใจชีวิตของเราเสมอ  กฎของพระเจ้าดีต่อมนุษย์  ไม่มีส่วนใดในโลกที่พระธรรมล้ำลึกแห่งการสิ้นพระชนม์   และการกลับคืนพระชนม์ของพระคริสตเจ้ามิได้สัมผัส  (ให้เกิดพระพร)  ในฐานะคริสตชน  เราแต่ละคนถูก  (พระเจ้า)  เรียกให้ปฏิบัติกิจการ  ให้เลือกและให้พูดเป็นพยานถึงความรักเมตตา  และสัจธรรมของพระคริสต์ในชุมชนของเรา  ดังที่นักบุญเปาโลสอนเราว่า  พยานแท้ต่อพระคริสตเจ้า  จะแสดงความเชื่อด้วยกิจการ  ดำเนินชีวิตในความหวัง  และทำการงานด้วยความรัก   แล้วเรื่องการเสียภาษีเล่า  พระเยซูเจ้าทรงเตือนผู้ฟัง  เตือนเราว่าในฐานะเป็นประชาชนในสวรรค์  และเป็นประชาชนในโลกนี้ด้วย  จึงเป็นสิ่งสำคัญต้องสนับสนุนรัฐบาล  การจ่ายภาษี  ในตัวมันเอง  มิใช่บาป  ตราบเท่าที่มิได้เป็นสาเหตุให้เราประนีประนอม  หรือละทิ้งความรับผิดชอบคริสตชน  หรือเป็นการยึดคุณค่าที่ขัดแย้งกับพระอาณาจักรสวรรค์  เมื่อไรที่ทั้งสองปะทะกัน  เราต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าก่อน

          บ่อยครั้ง  เราต้องกล้าปกป้องคุณค่าพระวรสาร  ทั้งด้วยคำพูดและการกระทำ  ให้เราพยายามติดตามแบบอย่างของนักบุญโทมัส  โมร์  (ค.ศ. 1477-1535)  ในสมัยถูกเบียดเบียนศาสนาในประเทศอังกฤษ  ท่านนักบุญได้ยอมถวายชีวิต  มากกว่าการยอมประนีประนอมความเชื่อ  ท่านกล่าวประโยคอมตะว่า  “ข้าพเจ้ายอมตาย  ในฐานะผู้รับใช้ที่ดีของพระมหากษัตริย์  แต่ของพระเจ้าก่อน”

พระสังฆราชวีระ  อาภรณ์รัตน์ แปล
จาก  Homilies  โดย Catholic  Diocese  of  Lansing,
Vol. 44  No. 4  (Oct.-Dec. 2011),  หน้า  405-406.